บทที่ 653 สั่งสม (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

 

บทที่ 653 สั่งสม (1)

 

“พระเจ้าช่วย…!” รุ่ยสยงเอามือปิดหน้า ทนดูไม่ได้อีกต่อไป วาดร่างเปลือยของหญิงสาวยังพอว่า แต่เขาเป็นผู้ชายนะ แม้แต่จุดสำคัญของเขาก็วาดซะชัดแจ๋วเชียว…

 

ลู่เซิ่งเองก็เบือนหน้าหนีเพราะมองตรงๆ ไม่ไหวเช่นกัน

 

เหลือแต่ไอรีนที่หน้าแดงก่ำและคอร้อนผะผ่าว เธอเอื้อมมือหาเก้าอี้ไม้ที่อยู่ด้านข้าง คิดว่าวินาทีถัดไปจะฟาดใส่หัวของจัวซือชิ่ง

 

ความขัดแย้งเกิดขึ้นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไอรีนจะฟาดเก้าอี้ใส่จัวซือชิ่งให้ตาย แต่รุ่ยสยงห้ามไว้ก่อน

 

ลู่เซิ่งหมดคำพูดเล็กน้อย

 

สำหรับเขาแล้ว การแข่งขันนิทรรศการภาพวาดนี้เป็นแค่เกมเล็กๆ เหมือนเล่นพ่อแม่ลูกเท่านั้น

 

ตอนนี้ แม้จะมีสถานที่บางแห่งที่สามารถหาประโยชน์ได้ แต่โดยรวมแล้วยังถือว่าใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์อยู่ดี

 

เขามาที่นี่เพื่อใช้เวลาทำความเข้าใจและยกระดับขอบเขต

 

หลังจากรุ่ยสยงพยายามเกลี้ยกล่อมและจัวซือชิ่งขอโทษขอโพย ในที่สุดไอรีนก็ล้มเลิกความคิดจะเสี่ยงชีวิตกับจัวซือชิ่ง เพียงแต่เมื่อเป็นแบบนี้ ภาพวาดนี้ก็ไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขันได้อีกแล้ว

 

ไม่ว่าเขาจะวาดภาพได้ดีหรือไม่ แค่หัวข้อนี้ก็ทำให้กรรมการแทบทุกคนหักคะแนนได้แล้ว ที่ไม่ถูกไล่ออกจากนิทรรศการเป็นเพราะเขาโชคดีและมีเพื่อนเยอะก็เท่านั้น

 

ครืดๆ

 

ลู่เซิ่งเดินเข้าไปละเลงภาพวาดของจัวซือชิ่ง ภาพบนผืนผ้าแคนวาสพลันลายหูลายตา อย่างน้อยก็มองไม่เห็นรายละเอียดร่างเปลือยของทั้งสามคนแล้ว

 

“เฮ้ยๆๆ! เจ้าลูกคนนี้!” จัวซือชิ่งร้อนใจ พุ่งเข้าไปคิดห้ามปราบ แต่ลู่เซิ่งใช้แขนหนึ่งกันไว้ด้านนอกจนขยับเขยื้อนไม่ได้

 

“ความพยายามของฉัน!” จัวซือชิ่งร้องเสียงดัง

 

ลู่เซิ่งวางภาพที่ละเลงเสร็จแล้วไว้ที่เดิม เขาที่เดิมทีสนใจเรื่องวาดภาพอยู่บ้าง ตอนนี้พอเห็นปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์เมื่อครู่ ก็พลันเกิดความฉงนฉงายต่อภาพของพวกจิตรกรที่เก่งกว่าไม่น้อย

 

อีกไม่นานนิทรรศการภาพวาดจะเริ่มขึ้นแล้ว ผลงานของกลุ่มทั้งสามคนถูกแขวนไว้บนผนังฝั่งตรงข้าม กรรมการกับคนทั่วไปจะลงคะแนนโหวต

 

ลู่เซิ่งไม่สนใจพวกรุ่ยสยง แต่อาศัยจังหวะที่ทั้งสามกำลังคุยกันเรื่องผลงานออกไปชมนิทรรศการ

 

ภาพซึ่งมีการใช้ทักษะฝีมือสูงส่งมีอยู่ไม่น้อย แต่ว่าภาพที่สร้างความรู้สึกสั่นสะเทือนให้แก่เขาอย่างแท้จริงมีทั้งหมดสามกลุ่ม

 

พวกรุ่ยสยงถือเป็นกลุ่มหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีอีกสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีคนหนุ่มร่าเริงผู้มีผมสั้นสีเขียวเป็นหัวหน้า

 

อีกกลุ่มหนึ่งมีคุณชายที่มีดวงตาลึกล้ำเป็นหัวหน้า

 

คนหนึ่งใช้หยาดเหงื่อแรงกายเป็นภาพหลัก อีกคนหนึ่งใช้นักเรียนที่ได้รับคำสั่งสอนจากอาจารย์จนประสบความสำเร็จเป็นหัวข้อหลัก

 

ลู่เซิ่งพิจารณาภาพวาดของทั้งสองฝั่งอย่างละเอียด ภาพที่ทำให้เกิดความรู้สึกสั่นสะเทือนจริงๆ มีอยู่ไม่กี่ภาพ

 

ขณะที่กำลังเหม่อ ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าตอนตนกำลังชมภาพวาดที่ให้ความรู้สึกพิเศษเหล่านี้ เหมือนด้านในตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง มีความเข้าใจต่อวัตถุสิ่งของบางส่วนล้ำลึกขึ้นกว่าเดิม

 

นิทรรศการภาพจบลงอย่างรวดเร็ว ส่วนผลโหวตในการแข่งขัน ต่อให้ลู่เซิ่งจะลงมือเอง แต่ก็ยังแตกต่างกันมหาศาล จัวซือชิ่งได้อันดับสี่

 

ความจริงมีแต่สามอันดับแรกเท่านั้นที่มีประโยชน์ อันดับสี่กับอันดับห้าต่อจากนั้นไม่มีคุณค่าอะไร ดังนั้นนี่จึงนับเป็นรางวัลปลอบใจเท่านั้น

 

ถึงแม้ว่าจะได้แค่อันดับสี่ แต่จัวซือชิ่งก็ยังกลับบ้านอย่างดีอกดีใจทั้งยังคิดจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ราวกับได้เข้ารอบ แต่ก็ถูกลู่เซิ่งห้ามไว้เสียก่อน ผ่านไปหลายวันก็ยังคงไม่หายตื่นเต้น

 

หลังจากกลับมาจากนิทรรศการภาพวาด ลู่เซิ่งก็ยังจำความรู้สึกอันน่าอัศจรรย์ที่ภาพวาดกระทบกระเทือนจิตวิญญาณชนิดนั้นได้ไม่ลืมเลือน

 

แม้โลกใบนี้จะเป็นแค่ทางผ่าน เพียงแต่ถูกใจความแตกต่างของความเร็วการไหลของเวลาที่มากมายมหาศาล แต่ถ้าหากขุดค้นสิ่งที่จะมีประโยชน์ต่อตนได้มากกว่าเดิม ลู่เซิ่งเองก็ไม่ยอมปล่อยผ่านเช่นกัน

 

หลังกลับจากนิทรรศการภาพวาด เขาก็เกิดความสนใจต่อพวกจิตรกรที่วาดภาพได้อย่างยอดเยี่ยมจนส่งผลต่อจิตวิญญาณได้เป็นพิเศษ

 

หลังจากอ้างกับจัวซือชิ่งว่าจะออกไปเที่ยว ลู่เซิ่งก็แอบไปยังโถงนิทรรศการอีกครั้ง แล้วนำชื่อกับที่อยู่ของจิตรกรสามอันดับแรกมา

 

เขาเตรียมจะไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองเสียหน่อย

 

จิตรกรที่รังสรรค์ภาพวาดเหล่านี้ได้ จะต้องมีความพิเศษเหนือคนธรรมดาในด้านจิตใจอย่างแน่นอน

 

 

ชานเมืองเมืองดวงพักตร์ คฤหาสน์ไพรขาว

 

ลมสารทฤดูเย็นฉ่ำ ในป่าสีเหลืองอมเขียว ชายหนุ่มผมสั้นสีทองคนหนึ่งถือพู่กันไว้หลายแท่ง บนพื้นรอบๆ มีถาดสีขนาดต่างๆ วางอยู่

 

ภาพกวางปักกิ่งสีรุ้งซึ่งกำลังวิ่งตะบึงอยู่กลางป่ามืดสลัวที่อยู่ตรงหน้าเขา ได้วาดเนื้อหาออกมามากกว่าเก้าส่วนแล้ว

 

แค่กๆๆ…

 

ชายหนุ่มพลันก้มหน้าส่งเสียงไอ เขาคือเกอเลียน หรืออันดับหนึ่งประจำเขตในนิทรรศการครั้งนี้

 

เขาเป็นสุดยอดจิตรกรที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะอย่างแท้จริง น่าเสียดายที่เป็นโรคร้ายโดยอธิบายไม่ได้ในตอนที่กำลังจะจัดแสดงภาพยิ่งใหญ่ในวงการภาพวาด ตัดขาดอนาคตและเส้นทางในภายภาคหน้าของเขา

 

เขาในตอนนี้ แค่จับพู่กันก็ยังมือสั่น

 

ดังนั้นเขาจึงต้องบีบพู่กันโดยใช้แรงเยอะมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการสั่นจนทำให้เส้นที่ตนเองวาดออกมาสูญเสียเจตนาเดิมไป

 

“นี่เป็นภาพที่นายวาดเหรอ”

 

อยู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากส่วนลึกของป่า

 

ชายที่มีร่างสูงใหญ่กำยำจนยากจินตนาการคนหนึ่งเดินออกมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ เกอเลียน

 

“นึกไม่ถึงว่าเกอเลียน เดอรี่ที่ถูกเรียกว่าผู้นำแห่งภูตจะยินยอมมาอยู่ในเมืองเล็กๆ ห่างไกลผู้คนแบบนี้ น่าขำจริงๆ”

 

“นายเป็นใคร”

 

เกอเลียนผุดสีหน้างุนงง พอเห็นผู้มา ใบหน้าก็ฉายแววระวังตัวเล็กน้อย

 

“ฉันเหรอ ก็แค่คนชอบภาพวาดคนหนึ่ง” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงราบเรียบ

 

สำหรับข้อมูลทั้งหมดของอัจฉริยะตรงหน้า เขาได้ใช้วิชาจิตโน้มน้าวทำความเข้าใจมาพอประมาณแล้ว

 

โลกใบนี้ใช้อะไรไม่ได้เลย แต่วิชาจิตโน้มนำยังเป็นสิ่งที่ยังใช้ได้ แม้จะอ่อนแอลงบางส่วนเพราะกฎเกณฑ์ แต่ความสามารถส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา

 

“คนรักภาพวาดเหรอ นายมีจุดประสงค์อะไร” เกอเลียนกลับเป็นปกติ เขาเป็นคนใกล้ตายคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเผชิญอันตรายอะไร ก็รักษาความเยือกเย็นไว้ได้

 

ลู่เซิ่งเพ่งมองจิตวิญญาณอันแวววาวของคนตรงหน้า เขาแทบจินตนาการไม่ออกเลยว่า โลกที่มีระดับต่ำแบบนี้สร้างอัจฉริยะที่มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งและบริสุทธิ์แบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร

 

หากคนตรงหน้านี้ไปยังต้าอิน หรือไปยังโลกบำเพ็ญใบอื่น จะต้องเป็นอัจฉริยะระดับชั้นนำจากหนึ่งในล้านคนอย่างแน่นอน

 

ขนาดอยู่ในโลกระดับต่ำแบบนี้ ก็อาศัยเพียงการคลำทางของตัวเองฝึกฝนจิตวิญญาณจนถึงระดับผู้ถืออาวุธได้แล้ว

 

ถ้าหากพาดบันไดให้เขา ไม่ทราบว่าจะพัฒนาถึงระดับไหนได้

 

“ฉันรู้สึกเสียดายแทนนาย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ความอัจฉริยะของนาย ต่อให้จะเป็นการแข่งขันตัดสินเนตรแห่งเทพ ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะเทียบได้ แต่กลับเป็นเพราะสาเหตุทางกาย เลยได้แต่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่นี่”

 

“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว นายไปที่อื่นได้ไหม ฉันอยากพักผ่อนแล้ว” เกอเลียนตัดบทลู่เซิ่งอย่างตรงไปตรงมา

 

“ฉันรักษานายได้นะ” ลู่เซิ่งกล่าวเข้าประเด็น

 

เกอเลียนงุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะ “นายรู้ไหมว่าฉันเป็นโรคอะไร”

 

“โรคกล้ามเนื้อสลายถาวร” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ นี่เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ในโลกใบนี้

 

“แล้วนายยังจะ…” เกอเลียนสับสน

 

“เป็นเพราะฉันต้องการพลังของนาย” ในเมื่อลู่เซิ่งมายังโลกใบนี้แล้ว ก็ไม่มีทางยอมเสียเวลาไปตามขั้นตอนง่ายๆ เด็ดขาด

 

เขาต้องการวางรากฐานให้เร็วที่สุด จากนั้นค่อยดูดซับแก่นสารทั้งหมดของโลกใบนี้เพื่อนำมายกระดับให้แก่ตัวเอง

 

เกอเลียนกัดฟัน เขาอยากจะโต้แย้ง แต่อีกฝ่ายมีความน่านับถือที่ไม่ให้เขาโต้แย้งอยู่บนร่างอย่างเลือนราง ความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้นี้บวกกับความกดดันอันเหี้ยมหาญทำให้เขาจำเป็นต้องเชื่อ

 

“นายต้องการให้ฉันช่วยอะไรล่ะ ถ้านายรักษาฉันได้จริงๆ พลังของฉันก็จะเป็นพลังของนาย” เกอเลียนสัญญาอย่างจริงจัง

 

“ง่ายดายมาก ฉันต้องการให้นายช่วยฉันแก้ไขภาพภาพหนึ่ง”

 

ลู่เซิ่งยิ้ม

 

 

หลายเดือนต่อมา

 

ในตอนที่จัวซือชิ่งยังคงเข้าร่วมการแข่งขันนิทรรศการภาพวาดไปทั่วอย่างกระตือรือร้น องค์กรลึกลับชื่อหัตถ์สีเงินก็เริ่มมีชื่อเสียงไปทั่ววงการภาพวาดใต้ดินอย่างไม่รู้ตัว

 

พลังและขุมอำนาจขององค์กรนี้แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว นครศูนย์กลางในเขตเมืองใหญ่ๆ มากมายถูกสมาชิกขององค์กรนี้โจมตีจนแตกพ่าย

 

จิตรกรชั่วร้ายในอดีตที่เคยได้ชื่อว่าอันตรายที่สุดในวงการภาพวาดของโลก เป็นเหมือนเด็กทารกไร้เดียงสาเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาเท่านั้น

 

สมาชิกทุกคนของหัตถ์สีเงินต่างก็เป็นจิตรกรที่อันตรายและแข็งแกร่งที่สุดในวงการภาพวาดใต้ดินทั้งสิ้น

 

ภาพวาดของพวกเขา บ้างก็สร้างภัยพิบัติในระดับต่างๆ บ้างก็ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกจนควบคุมจิตใจคนได้ส่วนหนึ่ง

 

บ้างก็สามารถกระตุ้นโรคภัยทางชีววิทยาในร่างกายของคนและทำให้คนตายได้

 

เดิมพวกเขาก็มีพลังแข็งแกร่งถึงขีดสุดอยู่แล้ว แต่หลังจากเข้าร่วมกับหัตถ์สีเงิน พลังของพวกเขาก็ยกระดับขึ้นหลายเท่าตัวจนบรรลุถึงระดับน่ากลัวซึ่งแทบไม่มีใครสู้ได้เพียงชั่วข้ามคืน

 

ทวีปใหญ่ๆ ในสหพันธรัฐพ่ายแพ้แก่เกอเลียน สมาชิกของหัตถ์สีเงินเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อให้พวกเขามีคนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ถึงตอนสุดท้าย ทั่วทั้งสหพันธรัฐก็มีอาณาเขตมากกว่าครึ่งที่ถูกสมาชิกของหัตถ์สีเงินยึดครองอยู่ดี

 

ข้าราชการและทหารระดับสูงคิดจะสะกดความชั่วร้ายนี้ แต่ก็ไร้ประโยชน์

 

สมาชิกฉายาจิตรกรสีเงินในหัตถ์สีเงินแข็งแกร่งเกินไป คนและวัตถุทั้งหมดที่ขวางพวกเขาต่างถูกความสามารถควบคุมจิตใจของพวกเขาบดขยี้เป็นผุยผง

 

ในเวลานี้เอง ก็เริ่มมีข่าวลือข่าวหนึ่งกระจายออกมาจากตลาดมืด

 

ว่ากันว่าหัตถ์สีเงินผงาดขึ้นได้เพราะภาพภาพหนึ่ง เป็นภาพที่ลี้ลับพิสดารและมีความสามารถร้ายกาจ

 

ตอนแรกภาพภาพนี้ไม่สมบูรณ์ แต่ว่าผู้นำจากหัตถ์สีเงินซ่อมแซมมันส่วนหนึ่ง แล้วได้รับพลังสั่นสะท้านจิตใจที่แข็งแกร่งสุดเปรียบปานมา

 

ทั้งยังมีข่าวลือบอกว่า ถ้าหากซ่อมแซมภาพภาพนี้จนสมบูรณ์ได้ ก็จะครอบครองพลังที่แข็งแกร่งเหนือกว่าหัตถ์สีเงิน ถึงขั้นชิงพลังมหาศาลที่พวกเขาครอบครองอยู่มาได้

 

ข่าวลือนี้ยิ่งลือยิ่งจริง ไม่นานนัก ในที่สุดข่าวลือก็ไปถึงหูระดับสูงขององค์กรเนตรแห่งเทพ

 

 

ทะเลมากคารวะ ในคฤหาสน์ใจกลางเกาะร้าง

 

“นี่คือภาพวาดมารที่ว่ากันว่าทำให้หัตถ์สีเงินผงาดขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ”

 

ใบหน้าที่เหมือนสลักเสลาขึ้นมาของโอซีลิสดูเคร่งขรึมหล่อเหลากว่าเดิม ให้ความรู้สึกจริงจังที่ไม่อาจบรรยายเมื่ออยู่ใต้แสงอาทิตย์

 

เขาเป็นอดีตเนตรแห่งเทพสามสมัยซ้อน และเป็นผู้กุมหางเสือเบื้องหลังเนตรแห่งเทพ หรือจิตรกรที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก

 

ระดับสีของเขาได้รับการยกย่องเป็นสีราชันท้องฟ้า ในการแข่งเนตรแห่งเทพทุกครั้ง เขาจะเป็นบุคลระดับตัดสินซึ่งเข้าร่วมในฐานะกรรมการหลัก

 

ตอนนี้ตรงหน้าเขามีภาพวาดสีเทาที่ดูสับสนวุ่นวายอยู่บ้างวางอยู่

 

บนภาพวาดคือโครงล้อขนาดยักษ์ เส้นทุกเส้นของโครงล้อมีช่องว่างอยู่ผืนใหญ่ ต้องการให้คนเติมเนื้อหาเข้าไปเพิ่มเอง

 

“ว่ากันว่าจำเป็นต้องซ่อมแซมภาพนี้ให้สมบูรณ์ แล้ววางมันไว้บนสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ถึงจะได้รับพลังที่ยากจินตนาการ” ผู้หญิงผมยาวสีแพลตตินัมซึ่งสวมสูทสีขาวตัดเข้าตัวคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องเช่นกัน

 

……………………………………….

 

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท