บทที่ 690 หยั่งเชิง (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 690 หยั่งเชิง (2)

“น่าจะเป็นเพราะเมื่อครู่ข้าลืมกางลวดลายค่ายกลรองที่ใช้เชื่อมต่อหลอมรวม ขออีกรอบ อีกรอบน่าจะใช้ได้แล้ว ท่านคงเห็นว่าโซ่อักขระบนตัวข้าไม่เป็นอะไร แต่ความจริงด้านในถูกวิญญาณค่ายกลของข้ากระแทกจนเป็นรูพรุนเหมือนธนูแรงปลายเสียแล้ว ขอแค่เสริมอีกนิดหน่อย ก็จะหลุดไปได้ง่ายๆ” ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าเยือกเย็น

“…”

อมนุษย์สองหัวยืนมองเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์อยู่ด้านข้าง

“ช่างเถอะ จะให้ท่านได้เห็นระดับสุดยอดค่ายกลที่ข้าฝึกฝนมาหลายปีจนสำเร็จเป็นปรมาจารย์เอง!” ลู่เซิ่งรู้สึกว่าควบคุมสีหน้าไม่ได้แล้ว

“วิญญาณกวางโบราณ! เปิด!”

เกิดเสียงดังกระหึ่ม กวางตัวผู้สีดำตัวหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า ก่อนจะหายไปในชั้นเมฆหนาทันที

โซ่อักขระบนตัวลู่เซิ่งส่องแสงสีทองเจิดจ้า

“น่าสนใจ ดูเหมือนข้าจะต้องใช้ความสามารถที่แท้จริงแล้ว” ลู่เซิ่งก้มมองผนึกบนตัวครู่หนึ่ง อยู่ๆ ก็หัวเราะเสียงเย็น

ควันดำจำนวนมากรวมตัวกันอีกครั้ง

ไม่นานนักก็เกิดเสียงดังโครม ชั้นเมฆถูกทะลวงอีกรอบ งูยักษ์สามหัวบินขึ้นฟ้า แล้วพุ่งหายเข้าไปในอากาศ

ลู่เซิ่งยืนหอบเล็กน้อย

“ข้า…ข้าดูถูกพวกท่านไปหน่อย…ดูเหมือนครั้งนี้จะต้องเอาจริงแล้ว…”

เขาหันไปมองอมนุษย์สองหัวที่อยู่ไม่ไกล

อมนุษย์กำลังใช้สายตาสมเพชเวทนามองเขา

“ลืมบอกเจ้าไป…ค่ายกลสุสานสวรรค์ย้อนคืนนี้มีร่างแปลงของเจ้าลัทธิบนโลกเบื้องบนคอยควบคุม อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้เป็นคุรุสวรรค์สิบสามคนจากสำนักวสันต์สารทมาหมด เมื่อเข้ามาในนี้ก็อย่าคิดไปไหนอีกเลย…” อมนุษย์สองหัวส่ายหน้าและกล่าวอย่างเอือมระอา

“พอได้แล้ว ส่งคนมาพาเขาไปซิ” อมนุษย์สองหัวมองด้านหลัง ฝูงชนที่ชมดูความคึกครื้นเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหลือนักพรตเคราดำคนเดียวที่ยังรอเขาอยู่

“เจ้ารีบหน่อย ข้ายังมีโอสถทองม่วงอีกเตาที่ยังหลอมไม่เสร็จ หากมีหินเหล็กไฟไม่พอเตานี้ได้ล้มเหลวแน่!” นักพรตเคราดำกล่าวเร่ง

“รู้แล้วๆ!” อมนุษย์สองหัวขานตอบอย่างหน่ายใจเล็กน้อย

เขารีบเข้าไปจับตัวลู่เซิ่งก่อนจะเหาะกลับ

ลู่เซิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้า เขารู้ว่ารอบนี้ตัวเองลำบากแล้วจริงๆ เดิมทีนึกว่าการมาในครั้งนี้จะถ่วงเวลาลัทธิไม่จีรังได้ชั่วคราว ถือโอกาสทดสอบพลังในปัจจุบันของตนด้วย

น่าเสียดาย…

แต่ยังดีที่เขาวางแผนเผื่อไว้แล้วก่อนจะมา ร่างกายร่างนี้ไม่ได้ใช้ใบหน้าตัวเอง

‘สถานที่แห่งนี้มีความลึกลับมากอย่างที่คิดไว้เลย…’ เขาลอบถอนใจยาว เมื่อครู่ตนประสานค่ายกลเข้ากับปราณมารของร่างหลักเพื่อระเบิดพลังทั้งหมดออกมาแล้ว ทว่าแม้แต่ค่ายกลคุ้มกันเขาก็ยังเจาะไม่ได้ สุดท้ายสูญเสียความสามารถไปจนหมดสิ้น แถมยังถูกคนจับโยนเข้าคุกเป็นครั้งแรกอีกต่างหาก

เคร้ง

ประตูโลหะส่งเสียงดัง ลู่เซิ่งถูกโยนเข้าไปในห้องขังที่สะอาดและโล่งกว้างแห่งหนึ่ง

ประตูโลหะถูกลงสลักดังแกร๊ก

“เจ้ารออยู่ตรงนี้ไปก่อนก็แล้วกัน” อมนุษย์สองหัวที่จับตัวเขามากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องขังไป

ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ ห้องขัง ลวดลายค่ายกลที่คลุมเครือกลุ่มใหญ่ใช้สีเทาที่เหมือนกับกำแพงสลักไว้ มีจำนวนเยอะสุดขีด ด้วยระดับของเขาถึงกับรู้จักแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น

‘ดูเหมือนจะเหยียบตอเข้าซะแล้ว…’ ลู่เซิ่งเคร่งเครียด

แค่คลื่นพลังที่กระจายออกมาจากผนึกลวดลายค่ายกลของที่นี่ก็ทำให้ทั่วทั้งตัวเขาเหมือนแบกรับวัตถุที่หนักอึ้งถึงสุดขีดแล้ว อย่าว่าแต่ปราณมารและปราณจริงแท้ในตัว ต่อให้เป็นรูปจิตแห่งวัฏจักรที่บรรลุแล้วก็ยังได้รับการรบกวนเช่นกัน

แม้เขาจะไม่ได้ใช้รูปจิตแห่งวัฏจักร เพียงแค่ใช้พลังของร่างหลักในขอบเขตลวงตาสู้กับค่ายกลใหญ่นี้เท่านั้น แต่การถูกจับเข้ามาง่ายๆ แบบนี้ก็ยังอยู่เหนือความคาดหมายของลู่เซิ่งไปไกลโขอยู่ดี

หนำซ้ำเขายังมีลางสังหรณ์ด้วยว่า ต่อให้เขาใช้รูปจิตพันเทวะในระดับกึ่งมายาพิศวง ก็เกรงว่าอย่างมากสุดคงได้แค่ดิ้นรนอยูสักพักเท่านั้น

นักพรตเหล่านั้นยังพอว่า ไม่นับว่าแข็งแกร่ง หลักๆ คือค่ายกลนี้พิสดารเกินไปมากกว่า

โลกเบื้องบน วังเซียนสำราญแห่งลัทธิไม่จีรัง

ในวังกว้างขวางสีขาวบริสุทธิ์ ชายชราอาภรณ์ขาวที่มีแสงสีลอยอยู่ด้านหลังยืนอยู่ด้านหน้าบึงน้ำโปร่งแสงที่เหมือนกับทะเลสาบ

ชายชราผมหงอกขาวแต่ใบหน้าเยาว์วัย สองตาเปล่งประกายสีเงินที่ลึกล้ำเหมือนกับมหาสมุทร เชือกหนาสีขาวที่ไม่สะดุดตารัดพันหน้าผาก บุคลิกโบราณและลึกลับยากหยั่งคาด

ตอนนี้เขากำลังมองบึงน้ำด้านหน้าอย่างประหลาดใจ บึงน้ำแสดงการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ลู่เซิ่งคิดทลายค่ายกลก่อนหน้านี้ออกมาขณะกระเพื่อมช้าๆ

‘มิน่าไม่นานมานี้ถึงได้รู้สึกว่าวังวนมิติเวลารอบๆ มีความผิดปกติ…ที่แท้ก็มีคนมาจากโลกมารสวรรค์นี่เอง…’ ชายชราส่ายหน้าน้อยๆ พร้อมกับอดหัวเราะไม่ได้ เขาพิจารณาลู่เซิ่งอย่างละเอียด

‘น่าสนใจ รูปจิตไม่ดับสูญ กายแท้ก็ไม่ตายหรือ มิน่าถึงได้ไร้ความเกรงกลัว เพียงส่งร่างแยกมาเท่านั้น…’

เขาไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นหนวดเคราสีขาวใต้คางก็หลุดออกมาเส้นหนึ่ง

เคราสีขาวลอยไปถึงกลางบึงน้ำ ก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีขาวหายเข้าไปด้านในในพริบตา

เหนือยอดเขากลางนภาของลัทธิไม่จีรัง

พายุระเบิดออก พลังวิญญาณนับไม่ถ้วนกลายเป็นพายุวังวนฉีกกระชากชั้นเมฆของมิติ

ไอเมฆจำนวนมากไม่ได้อ่อนโยนสงบนิ่งเหมือนที่เห็นบนพื้นโลก สายฟ้าเล็กๆ นับไม่ถ้วนแยกตัวไหลไปทั่วด้านในไอเมฆ บางครั้งก็รวมกันกลายเป็นแสงสายฟ้าสายใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม

ซู่!

ชั่วขณะที่พร่ามัว แสงสีขาวเล็กบางสายหนึ่งพุ่งจากจักรวาลด้านนอกเข้ามา ทะลุชั้นเมฆ ทะลุสายฟ้า ทะลุพายุพลังวิญญาณและวังวนกระแสอากาศที่ขวางอยู่ด้านหน้าทั้งหมด

ก่อนจะพุ่งเข้าไปในค่ายกลสีทองขนาดยักษ์บนยอดเขากลางนภา

พวกนักพรตของลัทธิไม่จีรังที่คอยเฝ้าค่ายกลไม่รู้สึกตัว เซียนจริงแท้สิบสามคนออกไปด้านนอก ในสาขาหลักมีแค่พวกไม่เอาไหน อย่างไรขอแค่ค่ายกลทำงาน ก็ไม่มีใครกล้าทะลวงใจกลางสาขาหลัก

แสงสีขาวรวดเร็วว่องไว นักพรตที่เป็นคนเฝ้ายังไม่ทันรู้ตัว มันก็ทะลวงการกีดขวางของค่ายกลหลายชั้นมาถึงสถานที่ที่ห้องขังตั้งอยู่แล้ว

แทนที่จะบอกว่าค่ายกลทั้งหมดถูกทะลวง ควรบอกว่ามันแยกออกเพื่อหลีกทางให้แก่แสงสีขาวมากกว่า

แสงสีขาวมุดเข้าห้องขังไปในพริบตา ทะลวงข่ายอาคมผนึกซ่อนเร้นนับไม่ถ้วนอีกครั้ง ก่อนจะพุ่งผ่านกรงขังผู้บำเพ็ญและจอมปีศาจที่ถูกคุมขัง ไม่นานก็มาถึงหน้ากรงขังใหม่สุดในนี้

แสงสีขาวหล่นลงพื้นแล้วกลายเป็นชายชราอาภรณ์ขาวที่ผมเผ้าหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่งทันที ใบหน้าเหมือนกับชายชราบนโลกเบื้องบนไม่มีผิด

ชายชรายิ้มอย่างเป็นมิตรขณะมองลู่เซิ่งที่กำลังลุกขึ้นจากในกรงขัง

“สหายน้อยทราบไหมว่าฟ้าดินของที่นี่มีรากกำเนิดเพราะอะไร” เสียงของเขาเหมือนทะลุจิตวิญญาณ คำพูดที่เหมือนไร้ที่มากลับทำให้คนเข้าใจความหมายของเขาในพริบตา

ลู่เซิ่งผุดสีหน้าเคร่งขรึมขณะลุกขึ้นจากพื้นกรงขัง

“ขอบังอาจถามว่าท่านผู้เฒ่าเป็นใคร”

ชายชรายิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร

ลู่เซิ่งเกิดการคาดเดามากมายในพริบตา แต่เปลือกนอกกลับไม่แสดงออก ตอนแรกที่เขามาที่นี่ ก็เคยมีการคาดการณ์ทางนี้มาก่อนแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ร่างแยกเท่านั้น หากว่าเหยียบย่ำทำลายลัทธิไม่จีรังได้จริงๆ นั่นถึงจะทำให้เขาประหลาดใจ

การถูกจับขังคุกในตอนนี้ก็อยู่ในการคาดการณ์ของเขาเช่นกัน เดิมทีเขาจะทำอะไรสักอย่างเพื่อหยั่งเชิงว่าพลังของสาขาหลักลัทธิไม่จีรังเป็นอย่างไรอยู่แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเพิ่งเข้ามา ก็มีผู้ยิ่งใหญ่สังเกตเห็นตนเองทันที

“ท่านผู้เฒ่ามาไม่ทราบว่ามีคำแนะนำใดหรือ…” ลู่เซิ่งหยีตา

“จิตวิญญาณของสหายน้อยแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับพวกมารสวรรค์ที่ข้าเคยเจอมาก่อน จะว่าไป โลกมารสวรรค์เชื่อมต่อกับหมื่นพิภพ แม้จะไม่ได้กว้างเท่าพิภพลี้ลับแห่งนี้ แต่ก็ถือว่ามีเทพมารเหมือนกัน ทว่าจิตวิญญาณที่มีธรรมชาติอย่างสหายน้อยคงจะไม่ได้มีต้นกำเนิดดั้งเดิมในโลกมารสวรรค์กระมัง” ชายชราหยีตาพลางเอ่ยเบาๆ

ลู่เซิ่งตกตะลึง

อีกฝ่ายไม่เพียงรู้จักมารสวรรค์เท่านั้น ถึงขั้นรู้ว่าจิตวิญญาณของเขาไม่ใช่คนในโลกมารสวรรค์แต่กำเนิดด้วย

เขาตื่นตกใจอยู่บ้าง ชายชราผู้นี้เป็นเทพเทวามาจากไหน ที่นี่คือลัทธิไม่จีรัง คนที่มีความรู้ระดับนี้ได้ในลัทธิไม่จีรัง เกรงว่าจะมีแค่ระดับเจ้าลัทธิเท่านั้น

“ผู้อาวุโสกล่าวล้อเล่นแล้ว ผู้เยาว์เพิ่งมาใหม่ กลับไปรบกวนผู้อาวุโสเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ ต้องขออภัยด้วย” เขาทำหน้าจริงจังพลางกล่าวเสียงทุ้ม “แต่ผู้อาวุโสตั้งใจมาหาผู้เยาว์ ไม่ทราบมีคำชี้แนะใด โปรดบอกกล่าวตามตรงเถอะ”

เขาไม่เชื่อว่าสุดยอดผู้เข้มแข็งแบบนี้จะมาหาเขาโดยไม่มีเหตุมีผล มิหนำซ้ำแม้ชายชราตรงหน้าจะแข็งแกร่ง แต่พริบตาที่สัมผัสกับจิตวิญญาณ เขาก็สัมผัสได้คร่าวๆ ว่า ขอบเขตของอีกฝ่ายอยู่ในจุดสูงสุดของมายาพิศวงเช่นกัน

ระดับมารสวรรค์มีการแบ่งแยกสูงต่ำเช่นกัน อย่างเช่นขอบเขตมายาพิศวงในจุดสูงสุดจะถูกเรียกว่าผู้ปกครอง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชราน่าจะอยู่ในระดับผู้ปกครอง

พลังวิญญาณบนร่างอีกฝ่ายมีไม่มาก แสดงว่าเป็นวิชาแยกร่างคล้ายๆ กัน

“ข้าสร้างลัทธิไม่จีรังมาเป็นเวลาสามแสนหกหมื่นเจ็ดพันปีแล้ว ระหว่างนี้ได้เจอมารสวรรค์ไม่น้อย แต่จิตวิญญาณแปลกแยกอย่างสหายน้อยกลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ที่ลงมาในครั้งนี้ เพราะหวังว่าสหายน้อยจะลงมือช่วยเหลืองานเล็กๆ น้อยๆ ได้”

“อ้อ ด้วยความสามารถของผู้อาวุโสก็ยังต้องการให้ผู้เยาว์ช่วยเหลือหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง เขารู้สถานะของชายชราตรงหน้าแล้ว

เจ้าลัทธิไม่จีรัง หนึ่งในสองเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาเขตนี้

“ไม่เหมือนๆ” เจ้าลัทธิไม่จีรังเอ่ยพลางโบกมือ “สหายน้อยยังไม่รู้ ตอนนี้ตี้วาอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน การลอกคราบจิตวิญญาณได้ไปถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว แต่เพราะพลังของนางแข็งแกร่งเกินไป ข้ากับสหายผนึกกำลังกันก็แค่กัดกร่อนร่างของนางได้นิดหน่อยเท่านั้น ทว่าถ้าหากสหายน้อยลงมือช่วยเหลือด้วยจิตของมารสวรรค์ อาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมก็ได้”

“ตี้วา? กัดกร่อนร่างหรือ” ลู่เซิ่งงุนงง

“สหายน้อยยังไม่รู้…ราชวงศ์ซีหยารวมถึงแปดอาณาจักรใหญ่ที่อยู่รอบๆ อยู่บนไหล่ซ้ายของร่างตี้วา เทียบได้กับอาณาเขตขนาดเท่าเล็บนิ้วของนางเท่านั้น” เจ้าลัทธิไม่จีรังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าหากเรื่องนี้สำเร็จ พวกเราย่อมได้รับผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวง แต่สหายน้อยจะไม่ได้กลับไปมือเปล่าแน่ ร่างจริงของตี้วาเกิดจากการรวมกลุ่มกันของแก่นพายุมิติเวลามากกว่าร้อยล้านปี ต่อให้เป็นเผ่าพันธุ์สัตว์โบราณ เผ่าตี้วาก็เป็นสัตว์โบราณระดับสูงจำนวนน้อยสุดขีดที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุด” พูดถึงตรงนี้ เจ้าลัทธิไม่จีรังก็ยิ้มพลางแบมือ ควันสีเหลืองเข้มสายหนึ่งวนเวียนอย่างช้าๆ อยู่กลางฝ่ามือ

ควันสายนั้นเหมือนกับมีชีวิต รวมตัวกันกลายเป็นรูปลักษณ์ของเจ้าแม่หนี่ว์วาที่มีหัวเป็นคนตัวเป็นงูตลอดเวลา

“นี่เป็นแก่นร่างจริงของตี้วาเพียงสายเดียว ขอมอบให้สหายน้อย แม้จะมีส่วนช่วยไม่มาก แต่ก็ลองลิ้มรสประสิทธิผลที่แท้จริงของสมบัติชิ้นนี้ดูได้” เจ้าลัทธิไม่จีรังกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะโยนควันสีเหลืองเข้มสายนั้นมาถึงด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างแม่นยำ

ลู่เซิ่งยื่นมือออกไปจับควันสีเหลืองไว้ในมือ หลังจากตรวจสอบสักเล็กน้อยก็พบว่าในนี้ไม่มีเล่ห์กลใดๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีแค่พลังงานชนิดหนึ่งกำลังพลิกม้วนและดิ้นรนอยู่เท่านั้น

เขาอ้าปากสูดลม

ควันพลันหายเข้าไปในปากของเขา ก่อนจะหายสาบสูญไปตรงลำคอ

แทบจะเป็นในเวลาเดียวกัน ด้านในบ้านฟางบนภูเขาลึกแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากยอดเขากลางนภาออกมาหมื่นลี้ ร่างหลักของลู่เซิ่งลืมตาขึ้น ก่อนจะมองดูอินเตอร์เฟซดีปบลูที่ลอยอยู่ด้านหน้าอย่างตกตะลึง

‘เป็นแค่แก่นตี้วาเพียงสายเดียว แต่กลับ!?

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท