บทที่ 712 รูปแบบ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 712 รูปแบบ (2)

ลู่เซิ่งจัดเวทมนตร์ขั้นสามทั้งหมดออกเป็นเก้าสิบเก้าชนิด ทั้งหมดเป็นเวทมนตร์พิเศษที่ไม่ได้พึ่งพาความหนาแน่นของธาตุ จากนั้นก็เริ่มใช้พลังอาวรณ์เพิ่มความล้ำลึกและความแข็งแกร่งให้พวกมัน

กระบวนการนี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง แต่ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นก็น่าดูชมเช่นกัน

ระดับการร่ายเวทไม่ได้บ่งบอกถึงทุกสิ่ง เหมือนกับเวทอัคคีมังกรเมื่อก่อนหน้านี้

“จะว่าไป…ช่วงนี้เป็นเพราะสินค้าของพวกเราบุกตลาด ร้านค้าของใช้เวทมนตร์หลายร้านจึงสืบความลับของพวกเรา…” พ่อค้าคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

“สบายมาก” ลู่เซิ่งมองมนุษย์หมีสีแดงที่กำลังสางขนอยู่ไม่ไกลออกไป

“โมเซอ เจ้าไปเตือนร้านพวกนั้นหน่อย”

มนุษย์หมีสูงสองเมตร ขนทั่วร่างดงามดั่งเปลวเพลิง

เขาเป็นตัวทดลองแรกที่ลู่เซิ่งทดลองสำเร็จ ลู่เซิ่งได้บันทึกเส้นทางการใช้เวทอัคคีมังกรเข้าไปในตัวมนุษย์หมีตัวนี้ ขณะเดียวกันก็ใช้ลวดลายวงแหวนเวทชนิดพิเศษยกระดับความสามารถต้านไฟของมันไปด้วย

ดังนั้น นักรบเวทมนตร์ผู้แข็งแกร่งที่รวมเวทมนตร์กับวรยุทธ์เป็นหนึ่งจึงถือกำเนิดขึ้น

มนุษย์หมีโมเซอใช้ขวานศึกและโล่ศึกได้อย่างช่ำชองในขณะที่สวมเกราะกันเวท ในขณะเดียวกันเวทอัคคีมังกรที่พ่วงติดอยู่บนร่างเขายังทำให้เขาใช้เวทอัคคีมังกรได้สิบครั้งซ้อนในพริบตาด้วย

นี่เป็นผลงานการผสมอันสมบูรณ์แบบระหว่างด้ายกระตุ้นวิญญาณกับวิชาแพทย์อันน่ากลัวของลู่เซิ่ง

ขอแค่โมเซอมีกำลังกายเพียงพอ เขาจะใช้เวทอัคคีมังกรได้อย่างต่อเนื่อง และหลังจากใช้เสร็จแล้ว วงแหวนเวทบันทึกข้อมูลที่เป็นเวทเกาะติดจะดูดซับธาตุไฟเร่ร่อนในบริเวณรอบๆ โดยอัตโนมัติ และหลังจากเติมพลังงานเพียงสองวันก็จะใช้ได้ต่อ

“ขอรับ นายท่าน!” มนุษย์หมียืนขึ้นแล้วสะบัดขนยาวทั่วร่าง ก่อนจะเดินไปหยุดนิ่งอยู่ด้านหลังพ่อค้าทั้งสอง

ความสามารถของอารยธรรมก้าวกระโดดทำให้เขาใช้ภาษาพื้นฐานเป็นในเวลาไม่นาน แต่ก็จำกัดที่ศัพท์ง่ายๆ เท่านั้น ส่วนการต่อสู้ ก็แค่ใช้สัญชาตญาณ หลังจากสติปัญญาเพิ่มขึ้น แค่กระตุ้นเล็กน้อยก็สามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว

“เอาล่ะ แยกย้ายไปเถอะ” ลู่เซิ่งโบกมือ

พ่อค้ากับมนุษย์หมีค่อยๆ เดินออกจากทางออก

ลู่เซิ่งนั่งใคร่ครวญอยู่ริมลำธารตามลำพัง

หลังจากมาถึงโลกใบนี้ วัตถุโบราณกับอาวุธเวทมนตร์ที่เขารวบรวมไว้ก็มีไม่น้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังอาวรณ์มากมายเหมือนที่เขาจินตนาการไว้

ปัจจุบันเขารวบรวมพลังอาวรณ์ได้แค่ไม่กี่หมื่นหน่วย อาวุธเวทมนตร์กับวัตถุโบราณเหล่านั้น ที่มากหน่อยมีพลังอาวรณ์แค่ไม่กี่ร้อยหน่วย ที่น้อยหน่อยมีแค่สิบยี่สิบหน่วย

‘น้อยเกินไปแล้ว…ถ้าหากเป็นอาวุธวิเศษ…บางทีพลังอาวรณ์จะเยอะก็ได้…’ ลู่เซิ่งเกิดแผนการบางส่วนในใจ

‘เพียงแต่จะหาอาวุธวิเศษมาจากไหนดีนะ…’ ขอแค่มีพลังอาวรณ์มากพอ เขาจะต้องพัฒนาได้อีกขั้นแน่

ครั้งก่อนเขาใช้ไปเก้าล้านกว่าหน่วยจนเลื่อนสู่ขอบเขตมายาพิศวง และขอบเขตมายาพิศวงก็มีขอบเขตย่อยทั้งหมดสิบกว่าขอบเขต แบ่งเป็นสามช่วงใหญ่

ปัจจุบันเขาเพิ่งจะสร้างสภาพวัฏจักรความเป็นความตายในโลกรูปจิตของตัวเองได้

ต่อจากนี้จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปจิตจากลวงเป็นจริงทีละขั้นๆ จนมีอานุภาพใช้รูปจิตปกคลุมความเป็นจริงได้เหมือนเหล่าผู้ปกครอง

ถึงเวลานั้น มายาพิศวงถึงค่อยได้รับการเรียกขานว่าราชันระดับทำลายดวงดาว!

ดวงดาวดับสูญด้วยการโจมตีครั้งเดียว

‘หากเรียนรู้ตามสภาพของวิชาพันเทวะในตอนนี้ไปเรื่อยๆ ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะเปลี่ยนโลกรูปจิตเป็นเกราะและอาวุธ แล้วใช้ศัสตราแห่งพิภพทำลายโลกได้’

ลู่เซิ่งนึกถึงดาบยักษ์ผ่าดาวเคราะห์ซึ่งได้เห็นจากจวงจิ้ว ในใจเกิดความตื่นเต้น

ตอนนี้อย่างมากสุดเขาทำลายสิ่งมีชีวิตบนผิวดาวเคราะห์ได้ แต่หากจะทำลายดาวเคราะห์ทั้งดวง ยังคงทำไม่ได้อยู่ดี

หากดูจากการประเมินนี้ เหล่าผู้ปกครองในจุดสุงสุดของขอบเขตมายาพิศวงจะถึงขั้นทำลายดาวฤกษ์ แล้วใช้การระเบิดของดาวเคราะห์ที่ต่อเนื่องทำให้เกิดการพังทลายของระบบดาวได้

ส่วนเขาในตอนนี้ คิดจะทำลายดาวฤกษ์ แทบไม่มีวิธี

ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์ทั่วไปมากเกินไป เป็นคนละขนาดโดยสิ้นเชิง

‘หรือว่าการหาพลังอาวรณ์ในสังคมมนุษย์เพียงอย่างเดียวจะไม่พอแล้ว’ ลู่เซิ่งพลันเกิดความกระจ่างในใจ

‘ตอนนี้เราทำลายสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งได้สบายๆ อย่างนั้นถ้าจะอาศัยพลังอาวรณ์ยกระดับพลังของตัวเอง จะต้องใช้เยอะขนาดไหน แล้วการดูดพลังอาวรณ์จากสังคมสิ่งมีชีวิตในดาวเคราะห์สักดวง…ต้องใช้เวลานานขนาดไหน’

เขาลุกขึ้นอย่างหงุดหงิด

‘ดูเหมือนจะได้แต่ลงมือกับเทพของโลกใบนี้แล้ว…หรือไม่ก็เผ่าพันธุ์สัตว์โบราณ…’

เขาพลันตระหนักได้ว่าระดับของตนเองสูงเกินไปจนพลังอาวรณ์ที่สั่งสมมาหลายสิบหลายร้อยปีเหล่านี้ไม่อาจช่วยเหลือได้อีกแล้ว

มีแต่พลังอาวรณ์ที่รวบรวมจากสิ่งมีชีวิตในอารยธรรมทั้งหมดหรือในดาวเคราะห์ทั้งดวงเท่านั้นถึงจะมีส่วนช่วยต่อเขา

‘ดูเหมือนเราจะมองโลกแคบไปหน่อย…’ เขาพลันเกิดความเข้าใจ

“เดเวอลา” เขาเรียกเบาๆ

“นายท่าน!” เงาคนสีน้ำตาลอมเทาที่มีร่างผอมสูงสายหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากในความมืดมิดของถ้ำด้านข้าง

นี่คือมนุษย์กิ้งก่าที่มีศีรษะเป็นกิ้งก่าตนหนึ่ง

นี่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาของลู่เซิ่ง เขาได้เปลี่ยนมนุษย์กิ้งก่าที่ล้าหลังกลุ่มหนึ่งให้กลายเป็นสัตว์เวทมนตร์

เป็นเพราะสาเหตุมากมายเช่น อวัยวะเกิดการต่อต้านและกลายพันธุ์เนื่องจากความขัดแย้งของยีน ทำให้ถูกพลังเวทกัดกร่อนจนทนไม่ไหว ที่แล้วมาอัตราความสำเร็จในการสร้างสัตว์เวทมนตร์จึงตกต่ำสุดขีด

แต่ลู่เซิ่งมีด้ายกระตุ้นวิญญาณและการสนับสนุนของจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ ทำให้ระดับความละเอียดอ่อนของเขาก้าวข้ามจอมเวทส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ กอปรกับมีดีปบลูคอยช่วยเหลือ จึงเพิ่มอัตราความสำเร็จจนถึงเกือบเก้าส่วนได้อย่างง่ายดายยิ่ง

เวลานี้มนุษย์กิ้งก่าผู้แข็งแกร่งมากกว่าร้อยตัวคือกลุ่มองครักษ์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดข้างกายลู่เซิ่ง

“ถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้พาเผ่าพันธุ์กิ้งก่าทั้งหมดใกล้ๆ นี้มา แล้วข้าจะมอบชีวิตใหม่ให้พวกเขา” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม

“ขอบคุณนายท่าน! ขอบคุณนายท่าน!” มนุษย์กิ้งก่าร้องแหลมด้วยความยินดี

ลู่เซิ่งชอบมนุษย์กิ้งก่าพวกนี้มาก อาจเป็นเพราะชีวิตนี้เป็นเผ่ามังกร มนุษย์กิ้งก่าพวกนี้ถึงได้มีความยำเกรงต่อเขาอย่างล้ำลึกเป็นพิเศษ หลังจากได้รับการปรับเปลี่ยนและการควบคุมจากด้ายกระตุ้นวิญญาณแล้ว เผ่าพันธุ์กิ้งก่าก็ภักดีสุดขีด ชนิดเรียกได้ว่าเป็นนักรบเดนตาย

‘มิน่าบริวารที่เผ่ามังกรเผ่าอื่นๆ ชอบที่สุดถึงเป็นมนุษย์กิ้งก่ากับโคโบล์ด[1] มีเหตุผลจริงๆ ด้วย’ ลู่เซิ่งเอ่ยในใจ

มนุษย์กิ้งก่านำคำสั่งออกไปด้านนอกถ้ำอย่างรวดเร็ว ตอนที่ลู่เซิ่งกำลังจะพักงีบเล็กน้อย อยู่ๆ แสงสว่างสีม่วงสายหนึ่งก็ระเบิดขึ้นบนผนังถ้ำด้านข้างเขา

“หือ? มีคนบุกเข้ามาหรือ” เขาหันไปมองผนังถ้ำ ตรงนั้นคืออักขระเฝ้าระวังที่เขาติดตั้งไว้บนกับดักนอกถ้ำ

เสียงยังไม่ทันขาดลง แสงสีม่วงก็ระเบิดบนผนังถ้ำเป็นพรวน

“เร็วมาก!” ลู่เซิ่งลุกพรวดอย่างตกใจ เขาย่อมทราบดีว่ากับดักคาถาที่เขาติดตั้งไว้มีอานุภาพขนาดไหน สามารถบุกเข้ามาได้เร็วขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงขีดสุด

ตูม!

อยู่ๆ ผนังถ้ำทางขวามือของถ้ำมังกรก็ระเบิดอย่างฉับพลัน กรวดหินดินทรายจำนวนมากพุ่งเข้ามาแล้วกระจายตกเต็มพื้น

ผนังถ้ำแตกออกเป็นช่องยาวขนาดพอให้มนุษย์คนหนึ่งเข้าออก หญิงสาวผมเป็นลอนสีทองสวมเกราะสีเงินคนหนึ่งถือดาบใหญ่ที่เปื้อนเลือดเดินเข้ามาช้าๆ

จอมเวทเอลฟ์ที่สวมชุดคลุมเวทสองคนตามเข้ามาทีหลัง

“โอ้ว? ไม่เลวนี่? ถึงกับติดตั้งกับดักคาถาไว้มากมายขนาดนี้ ด้วยอายุของเจ้า ถือว่าไม่เลวมากแล้ว” หญิงสาวว่าพลางจ้องมองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าเย็นชา

“บุปผาธำมรงค์หรือ” ลู่เซิ่งจดจำสัญลักษณ์วงแหวนดอกไม้บนตัวทั้งสามได้ในพริบตา

“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว เอาล่ะเจ้าหนู ยอมให้จับเสียโดยดีเถอะ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” หญิงสาวยิ้มดุดัน

“ยอมให้จับหรือ” ลู่เซิ่งยกมือขึ้น เปลวเพลิงสีทองละลานตาสายหนึ่งระเบิดบนมือของเขาอย่างฉับพลัน

เปลวเพลิงพุ่งใส่หญิงสาวอย่างต่อเนื่องเหมือนกระแสน้ำ ขณะเดียวกันเขาก็อ้าปากพ่นสายฟ้าในสภาพก้อนกลมหลายร้อยก้อนออกมาด้วย

ตอนแรกก้อนสายฟ้าเล็กมาก หลังลอยออกมาแล้วก็ขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง

เพียงพริบตาเดียว ด้านในถ้ำมังกรก็กลายเป็นโลกเปลวเพลิงและสายฟ้า

“ไม่เลว! ดูเหมือนครั้งนี้จะมาถูกที่แล้ว!” สีหน้าของหญิงสาวฉายแววตื่นเต้น เปลวเพลิงกับก้อนสายฟ้ามากมายทำให้นางนึกถึงภาพที่ครั้งกระโน้นควบม้าพุ่งใส่กองทัพจอมเวทของฝ่ายศัตรูบนสนามรบได้

นางถือดาบใหญ่ชี้ลงพื้นและพุ่งออกไป กระโดดหลบหลีกไปมาระหว่างก้อนสายฟ้าจำนวนมากได้อย่างพลิ้วไหวและแม่นยำ ไม่กระทบก้อนสายฟ้าเลยสักก้อน

เปลวเพลิงที่ถูกพ่นออกไปก็ถูกนางใช้ดาบผ่าจนหายไปเช่นกัน

แสงสีม่วงอ่อนกะพริบขึ้นทั่วร่างหญิงสาวผมทอง อักขระสีดำอันแน่นขนัดไหลเวียนบนเกราะสีเงินที่นางสวมอย่างต่อเนื่อง ขวางกั้นความร้อนและสายฟ้าจากโลกภายนอกไว้สุดกำลัง

ยังไม่ถึงวินาที นางก็ตัดผ่านสายฟ้าและเปลวไฟ กระโจนไปถึงด้านหน้าลู่เซิ่ง แล้วฟันดาบลงอย่างหนักหน่วง

ลู่เซิ่งที่อยู่ใต้คมดาบเงยหน้าขึ้นและตั้งท่าประหลาด

“ดูเหมือนจะต้องลงมือด้วยตัวเองซะแล้ว…”

“หา?” ดวงตาของหญิงสาวฉายแววสงสัย ยังไม่ทันใคร่ครวญ นางก็พลันเบิกตากว้าง

มังกรน้อยตรงหน้าลอยตัวขึ้นและตวัดขาขวาตัดช่องโหว่ข้างใต้คมดาบดุจสายฟ้าฟาด ก่อนจะเตะใส่ท้องน้อยของนาง

โครม!

พื้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง วงกลมสีเทาอมขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นกลางอากาศ

ร่างของหญิงสาวผมทองหยุดชะงักกลางอากาศไปพริบตาหนึ่ง จากนั้นก็กระเด็นออกไปฝังตัวเข้ากับผนังถ้ำด้านหลังอย่างรุนแรง

ก้อนหินนับไม่ถ้วนระเบิดเป็นเศษเล็กเศษน้อย ผนังถ้ำของถ้ำมังกรถูกเจาะทะลุ เผยให้เห็นหินภูเขาที่อยู่ด้านหลัง

ก้อนหินถูกร่างหญิงสาวกระแทกจนระเบิดเป็นรู เผยให้เห็นหลุมสีดำสนิทที่ไม่ทราบว่าลึกเท่าไหร่

“เจ้าไม่เลวนี่” ลู่เซิ่งสะบัดหาง แล้วค่อยๆ เดินสองขาเข้าหาหญิงสาว “หลายปีแล้วที่ไม่มีใครกดดันให้ข้าใช้พลังที่แท้จริง…”

เขาแสดงสีหน้าชื่นชมจางๆ

“เป็นอย่างไร มาเป็นพวกข้าสิ ข้ามอบพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ให้เจ้าได้นะ” สายตาของลู่เซิ่งฝ่าความมืดและฝุ่นผงไปมองหญิงสาวผมทองที่ร่างอาบเลือด

“แฮ่ก…แฮ่กๆ…ข้ายัง…ไม่แพ้!” หญิงสาวฝืนหยัดร่างขึ้นพร้อมหอบหายใจคำโต

“โดนวิชาหมัดทำลายล้างในพริบตาของข้าเข้าไปแต่ยังยืนไหวอีกหรือนี่” ความชื่นชมในดวงตาของลู่เซิ่งฉายชัดกว่าเดิม

“เจ้า…เป็นใครกันแน่!?” หญิงสาวผมทองมองลู่เซิ่งอย่างตกใจระคนโมโห นางไม่เชื่อว่ามังกรน้อยตัวเดียวจะมีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้

“ข้าหรือ” ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า “นานมาแล้ว เคยมีคนเรียกข้าว่าเงามาร จักรพรรดิมวยเงามาร”

“จักรพรรดิ…มวย!?”

หญิงสาวผมทองตกใจ บนโลกใบนี้ไม่มีฉายาแบบนี้ ทว่าแค่ได้ยินคำนี้ นางกลับสัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดและจิตสังหารที่แฝงอยู่ด้านใน

……………………………………….

[1] โคโบล์ด สัตว์ประหลาดที่มีร่างเป็นมนุษย์หัวเป็นสุนัข

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท