บทที่ 717 อาวุธกึ่งเทพ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 717 อาวุธกึ่งเทพ (1)

“นี่คืออุปกรณ์ระดับตำนาน กำไลแห่งความเศร้าอย่างนั้นหรือ?!”

ด้านในห้องนอน ลู่หงเย่ลืมตาโตพลางจ้องมองกำไลข้อมือสีทองเข้มที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง นัยน์ตาฉายแววตกตะลึงอย่างช้าๆ

“เพคะ…” กิ้งก่าสีทองแนนนี่เอ่ยเสียงแผ่วต่ำ “มันเป็นสมบัติลับแห่งราชวงศ์ที่มารดาของท่านทิ้งไว้ให้ท่านก่อนจะจากไป เป็นสัญลักษณ์ของความอิสระ ความรัก และบทสรุปอันน่าโศกสลดที่สุด”

“บทสรุปที่โศกสลดหรือ” ลู่หงเย่ผุดสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย ในช่วงเวลาที่ผ่านมานางได้ทราบถึงความเจิดจรัสใน อดีต รวมถึงความเจ็บปวดที่ผ่านมาของราชวงศ์มังกรทองจากการชักนำของกิ้งก่าน้อยแล้ว

“ฝ่าบาทฌาร์ ข้าขอถามท่านอีกครั้ง ท่านยินดีจะแบกรับภาระการปลดปล่อยและความหวังของราชวงศ์มังกรทองจริงๆ หรือไม่” แนนนี่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

แสงสีทองที่ดูน่าเกรงขามค่อยๆ ลอยขึ้นจากกำไลในมือ

ลู่หงเย่แสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมา นางเหมือนจะเห็นภาพที่ราชินีมังกรทองนำเผ่ามังกรทองเข้าสู้กับปีศาจจากยมโลกอย่างสุดกำลังจากแสงในกำไลได้

“ข้าจะลองดู…”

ฟ้าว!

อักขระสีทองเข้มกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ลอยขึ้นในมือแนนนี่ อักขระและเส้นสีทองนับไม่ถ้วนกะพริบอยู่ด้านใน ลำแสงที่เหมือนสายน้ำไหลเวียนและทะลักอย่างต่อเนื่อง

“ต่อจากนี้…จงใช้ความกล้าและความตั้งใจของท่าน”

ลู่หงเย่ค่อยๆ ยื่นสองมือออกไป

“ข้าขอรับความหวังของเผ่ามังกร…”

“ลู่หงเย่!”

เปรี้ยง!

ประตูห้องนอนสั่นสะเทือน เศษหินจำนวนมากร่วงกราวลงมาจากเพดานห้อง

ทั่วทั้งคฤหาสน์ได้ยินเสียงคำรามปานสายฟ้าร้องระเบิดขึ้นนอกประตู

“สอบกลางภาคของเจ้าเมื่อวันก่อนได้คะแนนแค่ C อย่างนั้นหรือ!”

เปรี้ยง!

ลู่หงเย่ยังไม่ทันตอบสนอง เพิ่งหันหน้าไป ก็เห็นประตูถูกชนพัง ท่านพ่อที่กล้ามเนื้อกำยำกำลังขยับขยุกขยิกสาวเท้าเข้ามาจิกผมของนางแล้วเดินออกไปด้านนอก

กรี๊ด!

นางกรีดร้องและล้มหงายหลัง ถูกลากออกจากห้องไปกับพื้นทั้งอย่างนั้น

“ยังทำการบ้านไม่เสร็จก็กล้าเล่นเกมหรือ! บังอาจนักนะ!”

“ไม่…! ข้าไม่กล้าแล้ว!”

“ทุกครั้งก็พูดแบบนี้! คล่องปากแล้วสิท่า!”

เปรี้ยง!

โอ๊ย!

เปรี้ยง!

อ๊า!

เสียงร้องที่น่าเวทนาสงสารดังไปทั่วคฤหาสน์อย่างต่อเนื่อง

ที่อยู่อาศัยรอบๆ ที่อยู่ใกล้หน่อยรีบปิดประตู ไม่กล้าส่งเสียง เจ้ากิ้งก่าน้อยที่เพิ่งซ่อนตัวแค่ได้ยินเสียงก็เจ็บปวดไปทั่วร่างแล้ว

ครึ่งชั่วโมงต่อมา…

“อย่ามัวแต่เล่นอะไรไร้สาระ ถ้าครั้งหน้าคะแนนไม่ถึง B พ่อจะตีให้ตาย!” ลู่เซิ่งเก็บกระบองเหล็ก พลิกมือปิดประตูดังโครม จากนั้นก็จากไปด้วยฝีเท้ารีบเร่ง

ฟ้าว!

เวลานี้ด้านนอกหน้าต่างมีแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งลอยขึ้น เป็นแนนนี่นั่นเอง

“รอเดี๋ยว ข้ามาช่วยท่านแล้ว!” กิ้งก่าน้อยรีบบินไปยังห้อง

ตูม!

เจ้ากิ้งก่าน้อยหายไปทันที

ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งกระแทกใส่ตัวมันจากด้านล่าง พละกำลังอันมหาศาลพามันกระเด็นไปที่ไหนก็ไม่ทราบ

“ใครกล้ามาจุดพลุหน้าประตูบ้านข้า! บอกตั้งหลายรอบแล้วว่าห้ามจุดพลุรอบบ้าน! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง”

เสียงคำรามของลู่เซิ่งระเบิดขึ้นจากด้านล่าง

ที่อยู่อาศัยรอบๆ เงียบสงัด ไม่มีใครกล้าส่งเสียง

ลู่หงเย่สีหน้าเหยเก นั่งอยู่ที่มุมกำแพง ความหวังที่เพิ่งผุดขึ้นมามอดดับลงในพริบตา

“…ข้าไม่อยากเป็นเจ้าหญิงแล้ว…ฮือๆๆ…พวกเจ้าไม่ต้องมาหาข้าแล้ว ไม่ต้องมาอีกนะ! ข้าจะทำการบ้าน!” นางซุกหน้าเข้ากับอ้อมอกพร้อมกับร้องไห้

ไม่ไกลจากคฤหาสน์

หญิงคลุมหน้ามีซูลากแนนนี่ออกมาจากใต้หินก้อนใหญ่

“แนนนี่แข็งใจไว้ก่อน! อย่าตายนะ!” นางรีบหยดของเหลวสีขาวน้ำนมหยดหนึ่งใส่ปากของกิ้งก่าน้อยอย่างร้อนใจ

ครู่ต่อมา แนนนี่ที่อยู่ในสภาพสลบไสลก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา

“ข้า…เมื่อครู่…เป็นอะไรไป” แนนนี่ถามเบาๆ ด้วยสายตาสับสน

“เจ้าโดนกระแทกจนสลบน่ะสิ” มีซูกล่าวพลางกลืนน้ำลาย

“โดนกระแทกจนสลบหรือ ข้าเนี่ยนะ” แนนนี่อึ้งไป

“ก้อนหินที่ไม่รู้ลอยมาจากไหนกระแทกตัวเจ้าเข้า ข้าเพิ่งมาถึงเหมือนกัน เจ้าเอากำไลสืบทอดไปให้เจ้าหญิงไม่ใช่หรือ” มีซูถามอย่างจนใจ

“ใช่…ใช่แล้ว กำไลสืบทอดของข้ายังไม่ได้มอบให้ฝ่าบาทฌาร์เลย!?” แนนนี่พลันได้สติ รีบบินออกจากมือของมีซู

“อย่าเพิ่งไปดีกว่า…พวกเราต้องรีบกลับไปรายงานเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าลู่เซิ่งนั่นกำลังขัดขวางไม่ให้พวกเราคุยกับเจ้าหญิงอยู่!” มีซูเอ่ยอย่างจริงจัง

“ถูกต้อง! รีบกลับไปรายงานเถอะ!” พอแนนนี่คิดได้ก็เอ่ยพลางกัดฟันกรอดๆ

“วัยรุ่นต้องตั้งใจเรียนและนอนหลับให้เพียงพอ อย่าเอาแต่ฝันกลางวันน้ำลายยืด! ฝันไปแล้วจะมีอนาคตหรือ ฝันแล้วมีข้าวให้เจ้ากินไหม พ่อเจ้ายังหวังให้เจ้าเลี้ยงดูตอนแก่นะ! หากเจ้าทำตัวแบบนี้ วันหน้าคงไม่มีเงินซื้อข้าวให้พ่อด้วยซ้ำ! รีบกลับไปเรียนได้แล้ว!”

ลู่เซิ่งตบมือลงบนโต๊ะด้านหน้าลู่หงเย่ ห้องทั้งห้องส่งเสียงดังครืนครัน

ลู่หงเย่สองตาซึมเซา นางถูกตบศีรษะจนมึนงงไปหมดแล้ว

ลู่เซิ่งกำลังบ่มเพาะความคิดให้นาง ไม่อยากให้นางเอาแต่เล่นไร้สาระไปวันๆ รีบไสหัวกลับไปตั้งใจเรียนและตั้งใจฝึกพิณ

“รู้ไว้นะ สมัยพ่อเจ้ายังหนุ่ม ผ่านเรื่องต่างๆ มาหมดแล้ว! แถมยังประคับประคองธุรกิจได้ตั้งแต่อายุเท่าเจ้าด้วยซ้ำ!”

น้ำลายลู่เซิ่งกระเซ็นซ่าน ตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้จะต้องทำให้ลูกสาวรู้ให้ได้ว่าด้านนอกเป็นที่ที่อันตรายมาก คนที่รักนางมากที่สุดบนโลกใบนี้มีแต่พ่อของนางเท่านั้น

หลังจากดุด่าทุบตีและสั่งสอนอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ลู่หงเย่ก็ออกจากห้องสมุดมาด้วยสีหน้าเฉยชา

รู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกเสียงดังสนั่นกับเสียงตบโต๊ะกระแทกจนชาดิกไปหมดแล้ว

ตอนที่เดินออกจากห้องสมุดนางยังได้ยินเสียงสนทนาของท่านตาแฮงค์กับท่านพ่อได้อยู่

“…หยกไม่บุบสลายไม่เป็นภาชนะ เด็กผู้หญิงไม่ฟังคำต้องตี! เจ้าไม่เข้าใจ! ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงยิ่งต้องตี! เหมือนกับก้อนแป้งนั่นแหละ เจ้าต้องนวดต้องตีถึงจะทำให้นางรู้จักอดทนกว่าเดิม! ขอบอกเลยนะว่าถ้านางไม่ใช่ลูกสาวของข้า ข้าจะเอาแส้ฟาดให้เนื้อหลุดออกมาสักครึ่ง! แล้วจะเอาเนื้อที่หลุดออกมาไปแกล้มเหล้า!”

เสียงคำรามกระท่อนกระแท่นยังคงดังออกมาจากห้องสมุด

ลู่หงเย่ตัวสั่น รีบวิ่งเหยาะๆ กลับห้องนอนตัวเอง

“ฝ่าบาท…” มีซูหญิงคลุมหน้าที่อยู่ในห้องนอนมองนางอย่างลำบากใจและทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง

“ไม่…ไม่เป็นไร…เป็นแบบนี้แต่เด็กแล้ว ชินเสียแล้วล่ะ…แต่ข้ารู้ว่าท่านพ่อรักข้า” นางเงยหน้ายิ้มอย่างขมขื่น แม้หน้าซีกซ้ายจะบวมเหมือนหัวหมู แต่รอยยิ้มนางยังคงบริสุทธิ์เหมือนเดิม

“นี่มันเป็นการใช้ความรุนแรงในครอบครัวชัดๆ!” มีซูข่มความโกรธในใจไม่ได้ นี่คือเจ้าหญิงแห่งเผ่าราชามังกรทองเชียวนะ! ไม่นึกว่าจะถูกมังกรสีรุ้งตัวหนึ่งทุบตีจนกลายเป็นแบบนี้!

“ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าข้าจะถูกตีจนกลายเป็นแบบไหน อีกวันหนึ่งก็จะกลับเป็นปกติ” ลู่หงเย่ฉีกยิ้ม

ตูม!

ประตูเหล็กด้านล่างส่งเสียงดังลั่น ลู่หงเย่รีบลุกพรวดพุ่งไปถึงหน้าต่าง เห็นท่านพ่อออกไปด้วยความหงุดหงิด ขึ้นรถม้าสีดำคันหนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังนอกเมือง

“ในที่สุดก็ไปแล้ว ท่านพ่อไปเปิดร้านแล้ว!” นางโล่งอก

“ฝ่าบาท…ให้ข้ารักษาท่านเถอะเพคะ…” มีซูมองฝ่าบาทที่ทั้งตัวบวมเป่ง ในใจเกิดความเศร้าอย่างไม่รู้ตัว

“ไม่เป็นไรๆ” ลู่หงเย่โบกมือ “ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นเอง รอท่านพ่อข้าแก่ตัวแล้ว ข้าจะเป็นฝ่ายอัดท่านพ่อทุกวันบ้าง”

พอนางพูดจบก็เหมือนนึกถึงภาพในวันหน้า ก่อนจะหัวเราะอย่างได้ใจ

“…”

“เอาล่ะ ข้าขอทำการบ้านก่อน เจ้ารีบไปหาแนนนี่เถอะ ดูว่านางบาดเจ็บหรือไม่”

ด้านในรถม้า

“ไอ้แมลงพวกนี้ ฉวยโอกาสตอนข้าไม่ได้ระวังตัวกล้าสวมกำไลที่มีจิตวิญญาณราชามังกรฝังตัวอยู่ให้หงเย่! หาที่ตายโดยแท้!”

ลู่เซิ่งหน้าเขียวคล้ำ ประกายวิญญาณสีดำกลุ่มหนึ่งวนเวียนรอบตัว

เขากำลังย่อยลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งได้มาอยู่ในห้องใต้ดิน เนื่องจากเพิ่งกินจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีระดับเจ็ดไป ยังไม่ทันย่อยเสร็จก็สัมผัสได้ว่าหงเย่เกิดเรื่อง เลยรีบพุ่งออกมา

สุดท้ายก็เลยกลายเป็นเหตุการณ์เมื่อครู่

กำไลที่มีจิตวิญญาณของราชามังกรฝังตัวอยู่นั้น สั่งสมความบ้าคลั่งกระหายเลือดของราชามังกรรุ่นก่อนๆ ไว้เป็นจำนวนมาก เกิดว่าสวมใส่ หงเย่ที่มีสายเลือดจากแหล่งเดียวกันจะถูกความคลั่งและความกระหายเลือดเหล่านี้แทรกซึมจนนิสัยเปลี่ยนแปลงไป ค่อยๆ กลายเป็นองค์ประกอบรวมของลู่หงเย่และเหล่าราชามังกรรุ่นก่อน

นี่ความจริงเทียบเท่ากับถูกจิตวิญญาณในกำไลกัดกร่อนวิญญาณ!

“นายท่าน จะให้…” สัตว์ประหลาดสีดำสนิทที่มีรูปร่างเหมือนเสือดาวและใบหน้ามีลูกตางอกอยู่นับไม่ถ้วนตัวหนึ่งในรถม้าส่งเสียงกระซิบดุดันเบาๆ

ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งเพื่อให้เยือกเย็นลง พร้อมกับใคร่ครวญ

“ช่างเถอะ ไม่ต้องรีบ เจ้าช่วยข้าจับตาในที่ลับก็พอ หากมีครั้งหน้าอีก จะกินให้หมด!”

“เอ่อ…”

เสือดำพันเนตรตัวนี้มีชื่อว่าเวสตัน เป็นจอมอสูรแห่งห้วงอเวจีระดับสี่ที่ลู่เซิ่งอัญเชิญมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

แต่ว่าจอมอสูรผู้นี้แตกต่างกับจอมอสูรคนอื่นๆ ตรงที่คุกเข่าวิงวอนร้องขอชีวิตหลังจากเห็นลู่เซิ่งกินจอมอสูรระดับล่างที่แข็งแกร่งกว่าเขาทั้งเป็น

จากนั้นภายใต้การควบคุมด้วยชิ้นเนื้อจากร่างหลักของลู่เซิ่ง บวกกับเขามอบด้ายกระตุ้นวิญญาณให้ไม่น้อย พลังของจอมอสูรผู้นี้จึงไม่ได้รับการจำกัดในมิติหลักอีกต่อไป กลายเป็นสุนัขรับใช้ที่ทรงพลังที่สุดใต้อาณัติของลู่เซิ่งทันที

ถึงอย่างไรก็เป็นจอมอสูรแห่งห้วงอเวจี ต่อให้ย่ำแย่อย่างไรก็เป็นตัวตนระดับกึ่งเทพอยู่ดี

เวสตันได้รับฉายาผู้เฝ้ามองในตำนานที่แพร่หลายอยู่ภายนอก หากลูกตานับพันดวงบนใบหน้าของเขาจ้องมองสิ่งมีชีวิตใดๆ สิ่งมีชีวิตนั้นๆ จะเจอการกัดกร่อนอันน่ากลัวจากภาพหลอนทางจิต

ถ้าหากไม่อาจหลุดจากภาพหลอนได้ สิ่งมีชีวิตที่ถูกจ้องมองก็จะกลายเป็นทาสของเวสตันทันที

เป็นเพราะความสามารถนี้ ลู่เซิ่งเลยยอมไว้ชีวิตเขา

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ออกจากประตูเมือง แล้วเร่งความเร็วไปยังทางตะวันออกของเมืองแสงอรุณ

ครั้งนี้ลู่เซิ่งออกมาเพราะข่าวที่ส่งมาอย่างกะทันหัน

โบสถ์รุ่งอรุณที่เป็นขุมกำลังของศาสนจักรที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนี้มีการขนย้ายอาวุธกึ่งเทพที่แท้จริงชิ้นหนึ่งเข้ามา เป็นกระบี่แห่งแสงอรุณที่มีชื่อว่าอัคลาเซียร์

การขนย้ายกระบี่แห่งแสงอรุณมายังเมืองแสงอรุณเกิดขึ้นเพื่อรับมือภัยพิบัติออร์คที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

เนื่องจากขาดแคลนอาหาร ทุกๆ สองสามปี ออร์คจำนวนมากที่อาศัยอยู่บนทุ่งราบอันกว้างขวางทางทิศเหนือจะบุกโจมตีป้อมปราการของเมืองแสงอรุณเป็นจำนวนมาก เพื่อฝ่าป้อมปราการเข้าไปแย่งชิงอาหารและทรัพยากรใจกลางเมือง

ดังนั้นเมืองแสงอรุณจึงเป็นแนวป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดทางทิศเหนือของประเทศนี้

ลู่เซิ่งต้องตา กระบี่แห่งแสงอรุณ อาวุธกึ่งเทพเล่มนี้

กระบี่แห่งแสงอรุณเป็นอาวุธกึ่งเทพอันเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เคยแสดงความสามารถสำคัญในศึกใหญ่ระหว่างมนุษย์และออร์คมาแล้วหลายครั้ง

เพื่อเพิ่มอิทธิพลให้กับเทพแห่งรุ่งอรุณและเผยแพร่คำสอนแห่งรุ่งอรุณ ก่อนที่จะใช้อาวุธกึ่งเทพ ศาสนจักรจะต้องนำกระบี่แห่งแสงอรุณไปจัดแสดงในเมืองแสงอรุณเป็นระยะเวลาหนึ่ง

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท