บทที่ 703 มังกร (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 703 มังกร (1)

“ลำนี้ไม่เลว!” ลู่เซิ่งหมายตาเรือเหาะสีขาวที่เหมือนกับตราชั่งลำหนึ่งไว้ทันที

เรือเหาะมีโครงสร้างเหมือนกับสถานีอวกาศ

ตรงกลางมีผลึกทรงขนมเปียกปูนสีม่วงเข้มเม็ดหนึ่ง ส่วนปลายเป็นสามง่าม ส่วนหางเป็นแผ่นที่หมุนวนอย่างช้าๆ เหมือนกับพัดลม

มองดูก็รู้ว่าบินได้เร็ว

แค่เทียบกับเรือเหาะรอบๆ ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการขับเคลื่อนหรือการเปลี่ยนแปลงของพลังขับเคลื่อน เรือเหาะลำนี้ล้วนเหนือกว่าระดับธรรมดาในทุกๆ ด้าน

“เอาลำนี้นี่แหละ!” ลู่เซิ่งค่อนข้างพอใจที่ตนเองหาเรือเหาะที่ไม่เลวแบบนี้ได้

ปกติเรือเหาะแบบนี้ไม่แน่ว่าจะหาเจอได้ง่ายๆ

“ฮือๆ…ฮือๆๆๆ…ข้าจะไม่…ข้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว! ไม่แน่นอน! ไม่กลับอีกตลอดชีวิต!” บันไซ เบอนงคลุมโปงในผ้าห่ม ขดตัวในกระสวยอวกาศที่เร้นลับที่สุดของเรือเหาะ

ประตูปิดแน่น นอกจากตุ๊กตากับสิ่งมีชีวิตสติปัญญาต่ำสองสามตัวแล้ว ในเรือเหาะก็ไม่มีใครอีก

ในฐานะบุตรของหัวหน้าสมาคมการค้าเบอนง เขาแบกรับภาระและความหวังที่หนักอึ้งซึ่งไม่อาจปลดออกได้ตั้งแต่เกิด

แม้เขาจะไม่ใช่บุตรคนเดียว มีพี่ชายสองคนกับพี่สาวคนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ในฐานะบุตรชายของหัวหน้าสมาคมการค้าเบอนง เงื่อนไขพื้นฐานสุดคือต้องศึกษาศาสตร์ความรู้จำนวนมากซึ่งเป็นความรู้เฉพาะทางอย่างเช่น การค้า การเงิน สังคมวิทยา และการไหลเวียนระหว่างดวงดาว

ดังนั้นเขาจึงถูกสอนเนื้อหาที่ซับซ้อนและลึกซึ้งมากมายตั้งแต่ยังเด็ก แต่สิ่งที่จนปัญญาก็คือบันไซไม่ได้มีพรสวรรค์เท่าพี่ชายและพี่สาวของเขา และไม่ได้รับสืบทอดสายเลือดที่โดดเด่นจากพ่อแม่

กระนั้นเป็นเพราะเขาคือบุตรเพียงคนเดียวของมารดาที่โดดเด่นสง่างาม เบื้องหลังครอบครองขุมกำลังและทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่มีความยิ่งใหญ่เหลือปราณ ดังนั้นต่อให้เขาไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีคุณสมบัติ ก็ไม่มีใครว่าอะไรอยู่ดี

‘แต่ว่า…ข้าไม่อยาก…ข้าไม่อยากไปเจอสิ่งนั้นอีกแล้วจริงๆ!’ พอบันไซนึกถึงคาบเรียบพิเศษที่โดนบังคับไปเรียนเมื่อก่อนหน้านี้ ในใจก็เกิดความเจ็บปวดหดหู่อย่างรุนแรง

‘เรียนวิชาอื่นยังพอว่า ยังต้องเรียนการขับเรือเหาะในจักรวาลอีก เรียนขับข้ายังพอทนได้ แต่ไอ้นั่น…ไอ้นั่นข้าไม่มีคุณสมบัติจริงๆ นี่นา! จริงๆ นะ…! ทำไม ทำไมต้องบังคับข้าด้วย!?’

พอบันไซหวนนึกถึงเหตุการณ์อันแสนเจ็บปวดครั้งนั้น จิตใจก็สั่นระริกด้วยความกลัว

เขาไม่สามารถทำร้ายคนอื่นได้!

แต่วันนั้นพวกเขากลับต้องการให้เขาฝึกฝนการต่อสู้ในภาพจำลอง ฉากที่เหี้ยมโหดอำมหิตอันนองเลือดนั้น เล่นย้อนกลับไปมาด้านหน้าเขาเป็นฉากๆ

เพียงแค่วันแรกของการฝึกฝน เขาก็อาเจียนแล้ว อาเจียนจนหน้ามืดและไร้เรี่ยวแรง

แต่ไม่มีประโยชน์ ผู้อาวุโสของตระกูลยังคงบังคับให้เขาฝึกฝนต่อไป

ทว่าเขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!

จริงๆ!

หลังจากอดทนจนถึงขีดจำกัด ในที่สุดเขาก็สติแตก แอบขับเรือเหาะพิเศษลำหนึ่งที่ตนเองแอบปรับแต่งหนีมา พอดีว่าตัวเขามีความสามารถด้านอักขระค่ายกลชนิดพิเศษในด้านการขับและการปรับปรุง ทำให้ในที่สุดก็ทะลวงแนวป้องกันของตระกูลได้สำเร็จ จากนั้นก็มาถึงท่าดวงดาวแห่งนี้โดยปลอมแปลงเป็นเรือค้าขายธรรมดา

บันไซมุดศีรษะเข้าผ้าห่ม ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

เขาผิดหวังในตัวเองมาก ถึงขั้นจินตนาการสีหน้าผิดหวังที่มารดาของตนจะแสดงออกมาได้ หลังจากทราบว่าเขาหลบหนีการฝึก

พวกเขาได้วางแผนชีวิตในอนาคตที่เกือบสมบูรณ์แบบไว้ให้เขาแล้ว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาชื่นชอบ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเสียหน่อย

ความจริงตัวบันไซเข้าใจดีว่า การฝึกฝนที่น่ากลัวในครั้งนี้เป็นแค่ชนวนเท่านั้น สิ่งที่ถูกกระตุ้นให้ระเบิดจริงๆ คือความอดทนอดกลั้นต่อโลกภายนอกของเขาที่เก็บสะสมมานานต่างหาก

‘ข้า…ต้องการอิสรภาพ! อยากจะใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ!’บันไซพยายามหดร่างตัวเองเท่าที่จะทำได้ น้ำตาไหลพรากๆ

บิดามารดาต้องการเลี้ยงดูให้เขาเป็นผู้รับช่วงต่อที่สมบูรณ์แบบ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

รับสืบทอดสมาคมการค้าอะไรกัน มีพี่ชายที่เก่งกาจก็พอแล้วนี่ ต่อให้พี่ชายคนเดียวไม่ไหว ก็ยังมีพี่สามอีกไม่ใช่หรือ

เขาไม่ชอบการค้าขาย ไม่ชอบแม้แต่นิดเดียว!

ในขณะที่บันไซกำลังต่อว่าต่อขานตนเองอยู่ อยู่ๆ ก็มีเสียงโลหะเบาๆ ดังมาจากด้านในตัวเรือเหาะ

เหมือนกับมีอะไรบางอย่างแตกออก

บันไซที่เชี่ยวชาญในการปรับปรุงเรือเหาะ แยกแยะได้ทันทีว่า นี่เป็นเสียงที่แผ่นโลหะผสมแตกออก

นอกจากนั้นยังไม่ใช่เสียงธรรมดา อย่างไรตรงนี้ก็เป็นห้องโดยสารที่แยกตัวออกมา ถ้าไม่ใช่เสียงที่เสียดหูเป็นพิเศษก็จะไม่มีวันดังมาถึงที่นี่

‘เกิด…เกิดอะไรขึ้นกัน!?’ บันไซค่อยๆ มุดหัวออกจากผ้าห่ม

ตู้ด…ตู้ด…

อยู่ๆ เสียงเตือนภัยในเรือเหาะก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน

บันไซตัวสั่น

‘เกิด…เกิดอะไรขึ้นกัน!? ที่นี่ยังอยู่ใกล้ๆ ท่าเทียบดวงดาวอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?!’

เปรี้ยง!

เกิดเสียงดังมาจากด้านนอกในทันใด เสียงเตือนภัยหยุดลงอย่างฉับพลันและไม่มีเสียงใดๆ ดังมาอีก

บันไซตั้งใจฟัง กลับพบว่าไม่มีเสียงใดๆ ลอยเข้ามาอีก

เขารออยู่สักพัก ยังคงไม่ได้ยินเสียงใด ร่างกายจึงค่อยๆ ผ่อนคลาย

‘ดูเหมือนจะเกิดอุบัติเหตุมีความผิดพลาดขึ้น ต้องซ่อม ต้องรีบซ่อมแล้ว!’ บันไซเกิดความกังวล เกิดว่าความผิดพลาดนั้นทำให้เรือเหาะไม่อาจบินหนีอย่างรวดเร็วได้ ก็เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่จะถูกคนของตระกูลไล่ตามมาจับกลับไป

พอนึกถึงเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นหลังถูกจับกลับไป เขาก็รีบลุกจากเตียงด้วยร่างสั่นเทา แล้วเดินไปเปิดสลักประตูมากมายด้านหน้าประตู

แสงสว่างไสวมากมายถูกปล่อยใส่สลักประตูอย่างต่อเนื่อง

ไม่นานนัก หลังจากสลักประตูอันที่หกถูกปลดออก บันไซก็ค่อยๆ แง้มประตู แล้วมองไปด้านนอกผ่านร่องแยก

ด้านในโถงหลักนอกประตูว่างเปล่า

เฮ้อ!

บันไซพลันโล่งใจ

เขานึกว่าจะมีคนเลวที่ไหนขึ้นเรือเหาะมาเสียอีก ตกใจแทบแย่

“ตรงนี้มีคนด้วยหรือ” อยู่ๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งก็คว้าจับศีรษะของเขาไว้อย่างแม่นยำจากด้านบน จากนั้นก็หิ้วตัวเขาขึ้นมา

บันไซหน้าเขียว ตะกุยแขนขาไปมาอย่างบ้าคลั่ง และส่งเสียงร้องเหมือนเด็กผู้หญิง

กรี๊ดดดด!

เปรี้ยง!

ลู่เซิ่งที่สวมชุดคลุมสีดำต่อยใส่ท้องเขา ทุกสิ่งจึงค่อยเงียบสงบลง

ซ่า

บันไซค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา เขาถูกน้ำเย็นถังหนึ่งสาดปลุก

ตัวเขานอนอยู่บนแผ่นโลหะในโถงหลัก บุรุษร่างสูงใหญ่บึกบึนผู้หนึ่งนั่งบนที่นั่งควบคุมหลัก

เขาสาบานว่า เขาไม่เคยเห็นบุรุษเพศน่าเกรงขามที่สูงใหญ่แบบนั้นมาก่อนในชีวิต

บันไซมองดูเงาที่นั่งไขว่ห้างบนที่นั่งด้านหน้าอย่างสับสน

“เจ้าเป็นเจ้าของเรือเหาะลำนี้หรือ” บุรุษไว้ผมยาวถึงเอว กล้ามเนื้อทั่วร่างแข็งแกร่งอย่างกับโลหะหรือก้อนหิน ต่อให้จะสวมเสื้อคลุมสีดำตัวโคร่ง แต่ก็อำพรางเส้นสายอันชัดเจนที่นูนขึ้นบนร่างกายของเขาไม่ได้

แสงสว่างทิ้งเส้นสายสีดำขาวที่ตัดกันชัดเจนไว้บนใบหน้าของเขา กอปรกับนัยน์ตาที่น่ากลัวดั่งสิงโต

บันไซเพียงแค่สบตา ก็รู้สึกว่าอีกเดี๋ยวตนคงถูกขย้ำเละเป็นชิ้นแน่

นี่มันมนุษย์ที่เหมือนกับสิงโตชัดๆ!

บันไซนึกถึงคำบรรยายนี้ในใจอย่างอธิบายไม่ได้

“ขอถามคำถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเป็นเจ้าของเรือลำนี้ใช่ไหม” บุรุษบนที่นั่งก้มมองบันไซ น้ำเสียงเกียจคร้าน เหมือนกับสัตว์ดุร้ายที่เพิ่งตื่นขึ้นจากการงีบหลัก

“…ขะ ขอรับ!” บันไซตกใจจนตัวสั่น รีบตอบเสียงดังโดยอัตโนมัติ

“ชื่ออะไร” ลู่เซิ่งถามสบายๆ

“บะ…บันไซขอรับ!” เวลานี้บันไซจึงค่อยนึกได้ว่า ตนน่าจะถูกปล้นเรือไปแล้ว…

ปล้นเรือหรือ!?

เขาหน้าซีดในบัดดล สองขาอ่อนระทวยจนเกือบทรุดนั่งกับพื้น

หัวใจเต้นกระหน่ำ เหมือนกับเลือดทั่วตัวต้องการไหลไปยังเส้นเลือดทั้งหมดในเวลาไม่กี่วินาทีสั้นๆ

เหงื่อกาฬไหลซึมออกจากหลัง ความรู้สึกถูกทิ่มแทงและคันยิบส่งมาจากผิวหนัง

‘จบ…จบเห่แล้ว!’

โจรสลัดดวงดาวโหดเหี้ยมขนาดไหน เขาเคยอ่านเจอจากนิยายมามากมาย

‘ถูกฆ่าแน่ๆๆๆ!’

“ต่อจากนี้เจ้าเป็นต้นเรือของข้า!” มิคาดบุรุษบนที่นั่งโบกมือใหญ่ขึ้น พร้อมกับชี้มาที่บันไซซึ่งอยู่ด้านล่าง

“…หือ? เอ๋!?” เดิมทีบันไซตกใจจนตัวเย็นเฉียบและเหงื่อแตกโซก พอได้ยินคำพูดนี้เข้า

พรูด

เขาพลันตาเหลือกแล้วล้มลงกับพื้น

ลู่เซิ่งมองด้านล่างอย่างงุนงง เจ้าหนุ่มผู้นี้ตัวสั่นตั้งแต่โดนลากออกมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องขู่ก็ไม่เหลือความกล้าอีกแล้ว

ตอนแรกนึกว่าพออีกฝ่ายได้ยินว่าตนจะไม่สังหาร ก็อาจจะผ่อนคลายลงและสงบใจได้หน่อยนึง

นึกไม่ถึงว่าจะสลบไปเลยแบบนี้

“ทัวหลัน ปลุกที” ลู่เซิ่งดูเวลา เขาต้องการคนควบคุมเรือเหาะคนหนึ่ง

เรือเหาะส่วนตัวควบคุมได้ง่ายเพราะว่ามีรูปแบบเรียบง่าย แต่ระบบการควบคุมของเรือเหาะลำนี้ซับซ้อนถึงขีดสุด

แสดงให้เห็นว่าผ่านการปรับแต่งมาก่อน หนำซ้ำระดับการปรับแต่งยังไม่เลวเสียด้วย

เขาไม่มีเบาะแส จึงได้แต่ปล่อยให้เรือเหาะบินไปยังตำแหน่งที่ตั้งไว้ ตอนนี้อุตส่าห์เจอคนเป็นๆ บนเรือแล้ว

ดูจากการแต่งตัว อีกฝ่ายน่าจะเป็นเจ้าของตัวจริงของเรือเหาะลำนี้

เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมคนผู้นี้ถึงขวัญอ่อนนัก

ทัวหลันปาเฮ่อเดินเข้าไปเทน้ำเย็นที่เตรียมไว้ด้านข้างใส่เขาอีกรอบ

ซ่า

น้ำเย็นที่เสียดกระดูกกระแทกบันไซจนตัวสั่น เขาค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ดวงตายังมีความสับสนงุนงงอยู่

“ตื่นแล้วก็ไปทำงานเสีย” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิด “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว”

บันไซสะดุ้ง ไม่มีค่าหรือ!? ไม่มีค่าต้องถูกสังหารแน่! ถูกสังหารแน่เลย!

“ขอรับ!” เขาร้องเสียงดัง ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปนั่งลงบนแท่นควบคุมหลัก

จากนั้นสองมือก็กลายเป็นเงา

เรือเหาะสั่นไหวและเปลี่ยนแปลงเส้นทางการบินอย่างรวดเร็ว โดยเร่งความเร็วบินไปยังนภาดาราอีกแห่งหนึ่ง

“กระโดดข้ามไปยังชายขอบของสำนักนทีครามใกล้ๆ ระบบดาวแห่งความแห่งความเจ็บปวดซะ” ลู่เซิ่งสั่งการ

แม้สำนักนทีครามจะถือว่าเคยทำร้ายเขาเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าหายกันไปแล้ว เพียงแค่อีกฝ่ายไม่รู้เรื่องที่ถูกเขาทำลายดาวเคราะห์ไปดวงหนึ่งเท่านั้น

เนื่องจากเขาเป็นศัตรูกับมารดาแห่งความเจ็บปวด ดังนั้นการไปที่นั่นจึงนับว่าปลอดภัย

“…ขอรับ!” บันไซรีบตอบรับ

เห็นได้ชัดว่าเรือเหาะควบคุมด้วยระบบการควบคุมที่ตัวบันไซออกแบบขึ้นเอง ซึ่งเหมาะจะใช้กับเรือเหาะลำนี้เท่านั้น

ตอนแรกลู่เซิ่งคิดจะใช้พลังอาวรณ์ศึกษาดู แต่หลังจากถามแล้วพบว่ามีประโยชน์ใช้สอยต่ำมาก ก็เลยทิ้งความคิดนี้ไป

ถึงอย่างไรขอแค่เข้าใจแผนที่ดวงดาวคร่าวๆ และอ่านทิศทางการบินเป็นก็พอ

เรือเหาะมีพลังงานจากเตากำเนิดพลังงานอยู่เต็มเปี่ยม ถึงขั้นที่ยังได้ติดตั้งเตากำเนิดแหล่งพลังงานหมุนเวียนสูงแบบล่องหนเพิ่มเติมเข้าไปจากการปรับแต่งด้วย

เตากำเนิดแหล่งพลังงานชนิดนี้เป็นผลึกที่มีระดับวิทยาการสูงที่สุดในนครตราชั่ง มันดูดซับสสารและรังสีพลังงานส่วนใหญ่ในความว่างเปล่ามาเป็นพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง

ทำให้ประหยัดพลังงานส่วนใหญ่และยืดเวลาการบินออกไปได้

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท