บทที่ 348 ตะเกียงแห่งชีวิตล้ำบารมี
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็เงยหน้า มองฟ้าดินเลือนลางไกลๆ
“อาชิงน้อย เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะคืออาวุธของจักรพรรดิภูตคีรีใต้ คนที่รู้เรื่องนี้มีอยู่ไม่น้อยในมณฑลรับเสด็จราชัน แต่จากข่าวกรองของพันธมิตร อาวุธชิ้นนี้เหมือนจะถูกโยนทิ้งก่อนหน้าที่จักรพรรรดิภูตคีรีใต้จะตายในตอนนั้น
“จึงเล่าขานกันต่อมาว่าจักรพรรดิภูตในตอนนั้น ใช้อาวุธของตนเองสะกดความลับบางอย่างเอาไว้
“ในความเป็นจริงเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนี้ก็สั่นอยู่หลายครั้ง มีคนคาดเดาว่าสิ่งที่ถูกสะกดไว้สร้างความปั่นป่วน และมีคนคาดเดาว่าจักรพรรดิภูตกำลังจะคืนชีพ ส่วนก่อนหน้านี้ที่โถงครองกระบี่ลงมือกับเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา คิดแล้วข้อหลังน่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า”
สวี่ชิงครุ่นคิด
“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่สาขาหลักโถงครองกระบี่เลือกที่นี่ เหตุผลคือเพื่อการสะกดหรือ”
“ตามนั้นเลย ถึงอย่างไรจักรพรรดิภูตคนนั้น…แข็งแกร่งเกินไป แน่นอนว่าโถงครองกระบี่ต้องให้ความสำคัญ แต่ว่าเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา สิ่งที่พวกเราต้องพิจารณาตอนนี้ คือต้องกลายเป็นผู้ครองกระบี่ให้ได้” นายกองสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“การคัดเลือกผู้ครองกระบี่ครั้งนี้ใกล้เข้ามาแล้ว ข้าสืบค้นจนกระจ่างแจ้ง ขอแค่เป็นเผ่ามนุษย์อายุต่ำกว่ายี่สิบห้า ไม่จำกัดพลังบำเพ็ญ สามารถเข้าร่วมได้หมด
“และหลังจากถึงอาณาเขตเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ พวกเราไม่ต้องปิดบังตัวตนแล้ว โถงครองกระบี่มีกฎอยู่ ว่าในอาณาเขตเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะถ้าไม่ใช่เผ่ามนุษย์ห้ามย่างกรายเข้าไป นอกจากนี้ระหว่างเผ่ามนุษย์ด้านในด้วยกันสามารถประลองแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กันได้ แต่ห้ามสังหาร”
สวี่ชิงพยักหน้า
“ส่วนขั้นตอนการพิจารณา ข้าตรวจสอบเอกสารในพันธมิตรมามากมาย และตรวจสอบอย่างละเอียด การทดสอบในปีที่ผ่านๆ มาแบ่งออกเป็นสองส่วน
“ส่วนที่หนึ่งคือการรับรายชื่อเข้าร่วมการทดสอบผู้ครองกระบี่ ต้องแย่งชิงรายชื่อนี้กัน ปกติจะมอบให้จำนวนหนึ่งส่วนเท่านั้น การแข่งขันจึงดุเดือดมาก
“ส่วนที่สอง ถึงจะเป็นการทดสอบผู้ครองกระบี่ที่แท้จริง จำนวนที่รับในทุกครั้ง ถ้ามากหน่อยก็คือไม่เกินสิบคน ถ้าน้อยหน่อยก็แค่สี่ห้าคนเท่านั้น
“ดังนั้นผู้ครองกระบี่ทุกคนจึงไม่ธรรมดาเลย”
“น้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ” สวี่ชิงค่อนข้างประหลาดใจ วันนั้นที่เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา เขาเห็นผู้ครองกระบี่มากมาย เดิมคิดว่าคนที่ผ่านการทดสอบทุกครั้งจะมีมากมายเสียอีก
เหมือนจะเดาความคิดสวี่ชิงได้ นายกองจึงอธิบายต่อว่า
“ผู้ครองกระบี่กว่าครึ่งล้วนมาจากมณฑลอื่น มีเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นผู้บำเพ็ญในพื้นที่ นี่เป็นกฎของผู้ครองกระบี่
“หากพวกเราผ่านการทดสอบ หลังจากกลายเป็นผู้ครองกระบี่ ก็อาจจะเผชิญกับเรื่องอย่างการถูกส่งตัวไปมณฑลอื่น แต่นั่นก็ยังอีกยาวไกล เพราะผู้ครองกระบี่ใหม่ทุกคน ต้องไปยังวังครองกระบี่ที่เขตปกครองผนึกสมุทรตามเวลาที่กำหนด เพื่อไปรับวิชาลับกับการสืบทอดของผู้ครองกระบี่
“สุดท้ายค่อยแข่งขันเรื่องตำแหน่งงานตามสภาพร่างกายของผู้ครองกระบี่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเป็นผู้ครองกระบี่ ก็จะมีสิทธิ์ในการโดยสารเรือลำเลียงเผ่ามนุษย์ด้วย
“เจ็ดมณฑลของเผ่ามนุษย์คั่นด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ คนปกติเดินกันทั้งชีวิตก็ไม่มีวันถึง เว้นเสียแต่จะเป็นผู้บำเพ็ญผู้ยิ่งใหญ่ผู้มากความสามารถ ไม่เช่นนั้นก็ทำได้เพียงโดยสารเรือลำเลียงที่สุดยอดระหว่างพื้นที่เท่านั้น
“และศิษย์ในสำนัก ก็มีน้อยคนที่จะมีคุณสมบัตินี้”
สวี่ชิงฟังอย่างตั้งใจ เขารู้สึกว่าผู้ครองกระบี่มีส่วนช่วยในการออกไปด้านนอกของตนเองอย่างมาก
เหยียนเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน นางอยากเป็นผู้ครองกระบี่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็สามารถอยู่ข้างกายพี่สวี่ชิงได้ตลอด
หนึ่งเดือนผ่านไปเช่นนี้
เรือเวทของพวกเขาแล่นหวีดหวิวบนท้องฟ้าระหว่างที่นายกองแนะนำ ตรงไปทางเหนืออย่างต่อเนื่อง ใกล้เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะขึ้นเรื่อยๆ
และหนึ่งเดือนนี้ ในที่สุดสวี่ชิงก็เข้าใจความสามารถของเจ้าเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระหลังจากยกระดับได้อย่างถ่องแท้แล้ว
ความสามารถของบรรพจารย์สำนักวัชระคือการยกระดับของอาณาเขต ภาพรวมตอนนี้ไปถึงระดับแก่นลมปราณหนึ่งวังสวรรค์แล้ว
และเป็นเพราะไม่ได้ยกระดับสำเร็จอย่างสมบูรณ์ สวี่ชิงจึงรู้สึกว่าหลังจากที่อีกฝ่ายค่อยๆ แปรเป็นจิตวิญญาณศัสตราสำเร็จ น่าจะมีความสามารถมากกว่านี้
ขณะเดียวกันบรรพจารย์สำนักวัชระก็เชี่ยวชาญสายฟ้ากว่าที่เคยมากพอสมควร ความเร็วของสายฟ้าที่เขาปล่อยออกมาและตัวเขาเองล้วนเพิ่มขึ้นฉับพลัน นอกจากนี้ยังมีไม้ตายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งท่าด้วย
นั่นคือทัณฑ์สวรรค์สีชาด
สายฟ้านี้แฝงเจตจำนงทำลายล้างที่น่าตกตะลึงไว้ เมื่อปะทุก็มีพลังสังหารเหนือกว่าระดับวังสวรรค์ได้ และดูจากความเผด็จการของการโจมตีนี้เป็นไปได้ว่าจะถึงตายด้วยโจมตีเพียงครั้งเดียว
ส่วนเจ้าเงา หลังจากได้บรรพจารย์สำนักวัชระช่วยแปลให้ สวี่ชิงก็เข้าใจทั้งหมดอย่างราบรื่น
นอกจากวิชาลับของเจ้าเงาที่ดึงสวี่ชิงเข้าไปรวมร่างด้วยแล้ว ความสามารถแต่ก่อนทั้งหมดก็ยังคงอยู่ สามารถกลืนกินเงาคนอื่นเพื่อควบคุมได้ ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในการกลืนกินก็เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ดวงตาเหล่านั้นของมันก็ยังมีความสามารถใหม่
ความสามารถนี้คือการทำลายล้าง
อันที่จริงก่อนหน้านี้เจ้าเงาก็มีความสามารถดังกล่าว แต่เบาเกินไป สวี่ชิงจึงไม่สนใจ หลังจากยกระดับ วิชาทำลายล้างนี้ก็พลานุภาพเพิ่มมากขึ้นมหาศาล จึงโดดเด่นขึ้นมา
เจ้าเงาก็สร้างพลานุภาพทำลายล้างขึ้นมาผ่านการกะพริบตานับไม่ถ้วนได้ หลังจากที่สวี่ชิงสัมผัสก็เคร่งขรึมระหว่างที่มันระเบิดพลังสุดกำลัง
ทั้งหมดนี้ ทำให้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าพลังต่อสู้ของตนเองตอนนี้กับก่อนหน้าแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน และมีวิธีการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นด้วย
สิ่งนี้ทำให้เขาจัดกลุ่มวิชาต่อสู้ได้มากขึ้น เพื่อไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์ซับซ้อนรวมถึงศัตรูที่เจ้าเล่ห์เพทุบายได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
‘ไม่ต้องใช้พิษกับวิชาลับเจ้าเงา ต่ำกว่าห้าวังสวรรค์ ข้าสังหารได้!
‘ถ้าใช้วิชาลับของเจ้าเงา ต่ำกว่าหกวังสวรรค์ ข้าก็สะกดได้
‘และถ้าใช้พิษด้วย ต่อให้เป็นหกวังสวรรค์…ข้าก็สู้ได้ แม้หนึ่งวังสวรรค์ในระดับแก่นลมปราณจะแตกต่างกันมหาศาล ถ้าสู้กับเขาข้าคงจะเจ็บหนัก แต่อีกฝ่ายจะต้องตายด้วยพิษของข้าแน่นอน!
‘และถ้าหากต้องเปิดวิชาลับทั้งหมดออกมา…’ สวี่ชิงครุ่นคิด เขาไม่อยากจะเจอกับวันที่ต้องทดลองใช้วันนั้น เพราะนี่หมายถึงว่าศัตรูที่เขาพบเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างมากเป็นแน่
ตอนที่สวี่ชิงกำลังประเมินพลังต่อสู้ของตนเอง ในที่สุดสายลมหิมะที่พัดยาวนานกว่าหนึ่งเดือนก็สิ้นสุดลง ฟ้าดินที่ไกลออกไปเริ่มชัดขึ้น แสงบนท้องฟ้าสาดส่อง เป็นผลึกทอประกายทั้งพื้นดิน
ที่นี่ ไม่ใช่แค่หิมะอีกต่อไป แต่ยังมีที่ราบน้ำแข็งกับภูเขาหิมะด้วย
ภูเขาหิมะสูงต่ำหลายลูกสะท้อนเข้ามาในดวงตาสวี่ชิง ยังเห็นจุดสีดำบางแห่งบนภูเขาได้เป็นครั้งคราว นั่นคือหินผาที่ยื่นออกมาประปรายตามภูเขา
สายลมยิ่งหนาวเย็น พัดเข้ามาบนมือของสวี่ชิงที่ยื่นออกไป ราวกับว่าจะแช่แข็งเลือดเนื้อของเขา
ที่นี่ไม่มีรัฐเล็กๆ สามัญ เว้นเสียแต่จะเป็นผู้บำเพ็ญที่ต้านทานสภาพอากาศที่โหดร้ายไหว หากมนุษย์สามัญมาอยู่ในที่แห่งนี้จะถูกแช่แข็งจนตายในพริบตา
“สบายจริงๆ” หน้าเรือเวท มีเสียงโห่ร้องของนายกองดังมา
สวี่ชิงมองไป
นายกองยืนอยู่ที่หัวเรือ ร่างกายอยู่นอกเกราะคุ้มกัน หน้าปะทะกับสายลมหนาวที่พัดมา กางสองแขนออกกลางสายลม เปี่ยมความสุขสบายไปทั้งหน้า ราวกับว่าสายลมน้ำแข็งที่นี่ทำอะไรเขาไม่ได้เลย
ถึงอย่างไรวิชาทั้งหมดของเขาที่แผ่ออกมาก็ล้วนเป็นเจตจำนงน้ำแข็งเย็นเยียบทั้งสิ้น และเห็นได้ชัดว่าที่นี่ช่วยหนุนนำความสามารถของเขาเป็นอย่างดี
“อาชิงน้อย ข้าอยากมาที่นี่ตั้งนานแล้ว สบายกว่าในสำนักตั้งไม่รู้กี่เท่า”
นายกองหัวเราะร่า ขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความปีติ จู่ๆ สองตาของเขาก็แข็งค้าง หันหน้าไปมองเส้นขอบฟ้าอีกด้าน
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงก็สัมผัสได้เช่นกัน หันหน้าไปจ้องอย่างเคร่งขรึม
เหยียนเหยียนสัมผัสอะไรไม่ได้เลย แต่ก็หันไปด้วยตามสัญชาตญาณ เพียงแต่ที่เส้นขอบฟ้าไม่มีอะไรอยู่เลยในสายตาของนาง ทว่าในดวงตาสวี่ชิงกับนายกอง ที่จุดห่างออกไป มีเรือเหาะขนาดยักษ์นับสิบลำ กำลังแล่นหวีดหวิวเข้ามา
รูปร่างเรือเหาะเหล่านี้เหมือนกับใบหลิว ขณะที่เรียวยาวส่วนหัวเรือและหางเรือก็โค้งขึ้น ดูแล้วแปลกประหลาดมาก และทั้งลำยังสร้างขึ้นจากผลึกวารีและหินวิญญาณ เปล่งแสงเจิดจ้าใต้แสงตะวัน พร่างพราวไปหมด
ในบรรดานี้มีอยู่ลำหนึ่งที่อยู่ระหว่างกลุ่มเรือ ราวกับว่าเรือเหาะลำอื่นล้วนเป็นเรือองครักษ์
เรือลำนี้สีครามแตกต่างจากลำอื่น ยิ่งมีผ้าผืนยาวปักคำว่าล้ำบารมีเอาไว้ราวกับเป็นธงโบกสะบัดกลางสายลมด้านบน สะดุดตาอย่างมาก
เรือเช่นนี้ สวี่ชิงกับนายกองเคยเห็นมาแล้วที่แม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพ เป็นเรือของสำนักเซียนล้ำบารมี
เวลานี้บนเรือน้อยใหญ่นับสิบลำ มีร่างเงาคนชุดขาวบางส่วนยืนอยู่ บรรดาเหล่านั้นในมีทั้งหญิงและชายล้วนเผยเจตจำนงละทางโลกออกมา โดยเฉพาะเมฆหมอกที่ลอยอยู่ใต้ลำเรือ ทำให้พวกเขาประดุจเทพเซียน
และบนเรือลำสีคราม ก็มีคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยเช่นกัน
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่ม อยู่ในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินที่แตกต่างกับคนอื่นๆ ร่างสูงชะลูดราวกับต้นสน
ผิวขาวราวหยก คิ้วกระบี่ดุจยอดเขา ทั้งตัวดูสง่างาม
เขายืนมือไพล่หลังอยู่ที่หัวเรือสีคราม สีหน้าเรียบเฉย ราวกับเป็นตัวตนที่สูงค่ารวมถึงคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติ จนทำให้เขาเดินมาถึงจุดสูงสุดของชีวิตมนุษย์
ดังนั้นเรื่องราวบนโลกนี้ที่ทำให้เขาสั่นไหวได้จึงมีไม่มาก เรือเหาะของพวกเขาก็ลอยหวีดหวิวผ่านหน้าเรือเวทสวี่ชิงไปท่ามกลางความสงบเงียบ ไม่ชะลอความเร็วแม้แต่น้อย
เพราะว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของสำนักเซียนล้ำบารมี เพราะว่าสำนักเซียนล้ำบารมีเป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งเผ่ามนุษย์นอกจากโถงครองกระบี่ในมณฑลรับเสด็จราชัน
ดังนั้นเหล่าสำนักต่างๆ ล้วนต้องหลีกทางให้สำนักเซียนล้ำบารมี
คลื่นปราณที่เรือเหาะกลุ่มนี้โหมขึ้นแผ่ซ่านไปทั่วทิศในการเหาะเหินอย่างรวดเร็วนี้ กระแทกกับเรือเวทของสวี่ชิง ทำให้เรือเวทโคลงเล็กน้อย ต้องหลีกทางให้
สวี่ชิงกับนายกองหรี่ตาลง
ส่วนเรือเหาะของสำนักเซียนล้ำบารมีกลุ่มนั้นกับศิษย์ทั้งหมดบนเรือ ก็ไม่มีผู้ใดมองมาที่พวกเขา ความเย็นชาอย่างยิ่ง เหาะไปไกลเรื่อยๆ จากเสียงหวีดหวิวกึกก้อง
เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายคือเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะเช่นกัน
“องอาจเสียจริง!” นายกองเลิกคิ้ว มองเรือเหาะของสำนักเซียนล้ำบารมี
“กลับไปข้าจะไปหาข้อมูล ดูว่าสำนักเซียนล้ำบารมีมีอะไรดี”
นายกองไม่ค่อยพอใจกับความเผด็จการของคนพวกนี้อย่างเห็นได้ชัด
“คนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก” สวี่ชิงเอ่ยแช่มช้า เขาพูดถึงชายหนุ่มชุดคลุมสีน้ำเงินคนนั้น เมื่อครู่ที่มองไป เขาก็สัมผัสถึงคลื่นตะเกียงแห่งชีวิตบนตัวอีกฝ่ายได้รางๆ
หลายปีมานี้ นอกจากเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องแล้ว นี่เป็นคนที่สองที่เหมือนว่าจะมีตะเกียงแห่งชีวิต
“จางซืออวิ้นผู้สืบทอดมรรคาสำนักเซียนล้ำบารมี ในอดีตคนผู้นี้เป็นบุคคลที่สะกดเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องในมณฑลรับเสด็จราชัน ถือว่าเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานลำดับหนึ่งในกลุ่มศิษย์ยุคนี้ของมณฑลรับเสด็จราชัน”
“ตอนเขาสร้างฐานก็ทิ้งห่างเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องไปไกล หลังจากแก่นลมปราณก็ทิ้งห่างเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องแบบไม่เห็นฝุ่น
“ว่ากันว่าไม่ใช่แค่ครอบครองตะเกียงแห่งชีวิตหนึ่งดวง แต่ยังมีวิชาระดับจักรพรรดิอีกด้วย กระทั่งดาบสะบั้นไพศาลก็ครอบครองไปแล้วถึงเก้าดาบ ฝึกบำเพ็ญเมล็ดพันธุ์ระดับจักรพรรดิสำเร็จ”
“จากรายงานของพันธมิตร แม้จางซืออวิ้นคนนี้จะมีสี่วังสวรรค์ แต่พลังต่อสู้น่าจะไปถึงระดับหกวังสวรรค์แล้ว กระทั่งอาจจะสูงกว่าก็เป็นได้
“อาชิงน้อย เจ้าต้องตาตะเกียงแห่งชีวิตของเขาหรือ เช่นพวกเราหาโอกาสไปเล่นงานเขาดีหรือไม่”
สวี่ชิงส่ายหัว นายกองกะพริบตาปริบๆ หัวเราะแห้ง
“แต่ว่าเขาก็ยังเทียบกับเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องไม่ได้นี่นะ ถ้าเขาดับสูญไป สำนักเซียนล้ำบารมีจะต้องโมโหสูดขีดแน่ ตาเฒ่าคงจะแบกภาระนี้ไม่ไหวหรอก”