บทที่ 349 เมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
คำพูดของนายกองมีคำเตือนด้วย
หากไม่เข้าใจนายกอง คงคิดว่านายกองห่วงสวี่ชิงจะอดออกไปช่วงชิงตะเกียงแห่งชีวิตของอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อเรื่องยุ่งยากใหญ่โต
แต่เมื่อคำพูดนี้ถึงหูสวี่ชิง เขาก็เข้าใจสิ่งที่นายกองจะสื่อเป็นอย่างดี
กำลังบอกกับเขาว่า จะลงมือไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าจะเหลือพยานไว้ไม่ได้และต้องวางแผนให้รัดกุม นอกจากนี้อย่าลืมเรียกเขาไปด้วย
แต่สวี่ชิงไม่มีความคิดจะไปแย่งชิงอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ แต่เพราะไม่เคยรู้จักกัน และไม่มีบ่วงกรรมที่จะต้องเอาชีวิตด้วย
สวี่ชิงจึงส่ายหน้า
“ข้าสู้เขาไม่ได้”
นายกองเลิกคิ้ว ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
“นี่ยังปิดบังข้าอีกหรือ อาชิงน้อย พลังต่อสู้ของเจ้าตอนนี้ น่าจะเทียบกับห้าวังสวรรค์ได้แล้วกระมัง”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร มองออกไปยังฟ้าดินไกลๆ จุดที่มองคือสุดปลายทางเหนือ ซึ่งเป็นทั้งสถานที่ที่ตั้งของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ และยังทางออกจากมณฑลรับเสด็จราชันอีกด้วย
“ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขารุ่งอรุณอยู่ที่ใด” สวี่ชิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“เขารุ่งอรุณ? ข้าคิดก่อนนะ…” นายกองชะงัก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เหมือนข้าเคยเห็นบนแผนที่ของเขตปกครองผนึกสมุทร อยู่ไม่ไกลจากเขตปกครองผนึกสมุทรเท่าไร ว่ากันว่าที่นั่นเคยเป็นสุสานของดวงตะวันบรรพกาลด้วย”
สวี่ชิงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอีกครั้ง เส้นทางถัดจากนี้ราบรื่นมาก ระหว่างนี้ยังพบกับเรือเหาะที่รูปร่างประหลาดอีกบางส่วน เป้าหมายล้วนเป็นที่เดียวกัน มีสัญลักษณ์หรือธงตัวแทนเผ่าต่างๆ ตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน
ผู้บำเพ็ญด้านในอายุไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นพลังบำเพ็ญก็ไม่ธรรมดา
การรับสมัครเข้ารับการทดสอบของโถงครองกระบี่ สำหรับขั้วอำนาจเผ่ามนุษย์ของมณฑลรับเสด็จราชันแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่ เหล่าอัจฉริยะฟ้าประทานที่มาจากสำนักน้อยใหญ่ล้วนตรงมายังที่แห่งนี้ในช่วงนี้เพื่อเข้าร่วมการทดสอบ
ถึงอย่างไรการกลายเป็นผู้ครองกระบี่ ไม่ว่าจะในสำนักหรือนอกสำนัก สถานะก็ล้วนแตกต่าง และยังมีอนาคตกับวาสนาที่ดีกว่าด้วย
ดังนั้นจึงผ่านไปอีกเดือนอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือไกลๆ ในที่สุดก็เห็นเสายักษ์ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสานั้น
เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะหนานับพันจั้ง สีดำสนิท สลักอักขระและรูปสักการะเอาไว้นับไม่ถ้วน แผ่พลานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาลที่ยากจะพรรณนาออกมา
มองอย่างละเอียด ในทุกลายอักขระล้วนแฝงท่วงทำนองเต๋าไว้ด้วย ราวกับก่อร่างฟ้าดินขึ้นมาด้วยตนเอง
รูปสักการะก็เช่นกัน สลักภาพอสูรกลายพันธุ์รวมถึงร่างเงาเอาไว้มากมาย ทุกๆ ร่างแผ่ซ่านแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา
ทั้งหมดนี้ เพียงพอที่จะทำให้คนที่เห็นอดเกิดความรู้สึกต่ำต้อยจนต้องเคารพบูชาไม่ได้
มองไป เสาที่ราวกับค้ำสวรรค์นี้จมหายไปในชั้นเมฆ มองไม่เห็นยอดด้านบน เห็นเหมือนมีตำหนักแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้าในหมอกเมฆรางๆ
คอยสะกดเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ คอยสะกดทุกสรรพสิ่ง
แต่พลังสะกดนี้ กลับไม่สามารถสกัดเจตจำนงต่อสู้โถมฟ้าของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะได้เลย ราวกับว่าเคยเป็นอาวุธที่สั่นสะเทือนฟ้า มีสรรพชีวิตที่ต้องตายเพราะมันมากมายมหาศาล ทำให้ด้านในแฝงปราณอาฆาตที่น่าสะพรึงเอาไว้
เพียงแต่ปราณอาฆาตเหล่านี้ถูกสะกดด้วยพลานุภาพเจตจำนงต่อสู้ ไม่สามารถแผ่ออกไปได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงร้องโหยหวนอย่างเงียบงัน ดังก้องอยู่ในใจของคนที่จ้องมองเสานี้
สวี่ชิงใจสั่น และสิ่งที่ยิ่งทำให้ดวงตาของเขาล้ำลึกมากขึ้นคือเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกกำลังสั่นไหวเล็กน้อย
ราวกับถูกเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนี้ดึงดูด ขณะเดียวกัน…เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะต้นนี้ ก็สั่นสะเทือนขึ้นเบาๆ ครู่หนึ่ง
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก แต่เขาไม่ปลกใจเพราะที่เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาก่อนหน้านี้ ร่างของจักรพรรดิภูตเองก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่เหมือนจะรุนแรงกว่าเล็กน้อย
เวลานี้นายกองยืนอยู่ข้างๆ สวี่ชิง เอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“คนรุ่นหลังวิเคราะห์จักรพรรดิภูตไว้ว่า อาวุธเล่มนี้น่าจะเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของเขา คอยติดตามออกปราบปรามฟ้าดิน สังหารสะกดกับเขาสารทิศ และที่มาของจักรพรรดิภูตก็ลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากเผ่าใด รู้เพียงว่าตอนที่เขาเกิดมาไม่ดีนัก สำเร็จมรรคาหลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาถึง
“ไม่รู้ว่าศัตรูของเขาคือผู้ใด รู้แค่ว่าช่วงที่เขาใกล้จะตายได้หลบหนีมาที่นี่ โยนอาวุธในมือทิ้ง ร่วงลงสู่ที่ราบน้ำแข็ง ส่วนตนเองก็หลับตาอยู่ที่ชายหาด เลือกตายในท่านั่งสมาธิ
“มีคนบอกว่า จุดที่เขาตายในท่านั่งสมาธิหันหน้ามองไปยังมหาสมุทรทางใต้ไกลๆ ราวกับว่ากำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง”
เสียงของนายกองแผ่วลงเรื่อยๆ
สวี่ชิงสัมผัสเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึก จ้องมองใบหน้าที่แม้จะยังดูเลือนรางแต่ก็ดูคลับคล้ายกับใบหน้าของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ นิ่งงันไม่พูดจา
ดวงตาของเขา มองแผ่นดินใหญ่ที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะตั้งอยู่
แผ่นดินใหญ่หิมะขาวโพลน มีกระโจมหลังคาทรงกลมนับไม่ถ้วนตั้งล้อมอยู่รอบๆ เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะต้นนี้มากมายนับแสนหลัง กินอาณาเขตกว้างขวาง ราวกับเป็นเมืองพิเศษเมืองหนึ่ง
ที่นี่ไม่มีมนุษย์สามัญอยู่ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญจากทั่วสารทิศ ในนี้มีผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเป็นส่วนใหญ่ และทั้งหมดล้วนเป็นเผ่ามนุษย์ ไม่มีต่างเผ่าอยู่เลย
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะไม่ได้มีเงื่อนไขใดๆ เกี่ยวกับผู้ที่มาเยือน จะเข้าพักก็ดี จะฝึกบำเพ็ญก็ช่าง ล้วนอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ได้
มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว คือต้องเป็นเผ่ามนุษย์เท่านั้น
และความแปลกประหลาดของตัวเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ คือเจตจำนงการต่อสู้ที่แผ่ซ่านอยู่ หากสัมผัสรับรู้เป็นเวลานาน จะมีตราประทับวิญญาณปรากฏขึ้นในใจ มีส่วนช่วยสนับสนุนการฝึกบำเพ็ญอย่างมาก
นอกจากนี้ ด้านในเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็ยังแฝงสิ่งสืบทอดบางอย่างไว้ด้วย ขอแค่เป็นเผ่ามนุษย์ก็สามารถปีนป่ายได้ หากวาสนามาถึง ก็จะได้สัมผัสรับรู้
ดังนั้นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเผ่ามนุษย์จึงมารวมตัวกันที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้แผ่นดินใหญ่ก็คึกคักไปหมด
มีสำนักไม่น้อยที่มาถึงแล้วตั้งกระโจมเป็นอาณาเขต ตั้งชูธงของสำนักตนเองขึ้นมา โดยเฉพาะพวกขั้วอำนาจใหญ่หลายแห่งในมณฑลรับเสด็จราชันที่สะดุดตามากที่สุดในบรรดานี้
ในนี้มีฐานที่มั่นของพันธมิตรแปดสำนักอยู่ด้วย
มองไปทั่วทั้งเมือง กระโจมตั้งเรียงราย ผู้คนพลุกพล่าน
และด้านล่างของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ที่นั่นมีกลุ่มคนมากที่สุด แน่นขนัดจนน่ากลัวว่าจะไม่ต่ำกว่าพันคน ส่วนใหญ่กำลังเงยหน้ามอง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังออกมา
สวี่ชิงสังเกตเห็นภาพนี้ และเห็นเงาหลายร่างอยู่บนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะประมาณร้อยคน กระจัดกระจายอยู่ในความสูงที่ต่างกัน
บางคนกำลังปีนป่าย บางคนกำลังนั่งสมาธิอยู่บนอักขระรูปสักการะที่ยื่นออกมา ในกลุ่มพวกเขาคนที่อยู่ตำแหน่งสูงที่สุดเวลานี้ คือชายหนุ่มในชุดนักพรตของสำนักเซียนล้ำบารมี
คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้สืบทอดมรรคาของสำนักเซียนล้ำบารมี แต่เป็นหนึ่งในอัจริยะฟ้าประทานที่อยู่ลำดับรองลงมาจากผู้สืบทอดมรรคาสำนักเซียนล้ำบารมี
สวี่ชิงจำได้ว่าเป็นคนหนึ่งที่อยู่บนเรือเหาะของสำนักเซียนล้ำบารมีที่เจอเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เวลานี้ระดับความสูงที่อีกฝ่ายอยู่คือประมาณห้าร้อยกว่าจั้ง และเหมือนว่าจุดนี้เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือทิ้งตัวลงมา
และจังหวะที่ร่วงลงมา ก็เห็นว่าเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะมีแสงสีฟ้าสายหนึ่งสาดออกมา พุ่งไปหาร่างที่กำลังร่วงของคนผู้นี้
ในความยินดีเป็นล้นพ้นของอัจฉริยะฟ้าประทานสำนักเซียนล้ำบารมีคนนี้ เขาคว้ามันเอาไว้ พริบตาต่อมาแสงสีฟ้าก็กลายเป็นปราณหมอกสีฟ้ากลุ่มหนึ่ง
สวี่ชิงไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ภาพนี้ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะส่งเสียงฮือฮาออกมา
“คิดไม่ถึงว่าจะประทานปราณจานเหมิง ปราณนี้มีส่วนช่วยบำรุงพลังชีวิตอย่างมากเลย!”
“ยิ่งปีนได้สูง โอกาสที่จะได้รับก็ยิ่งมาก!”
“แม้จะไม่ใช่การสืบทอดวิชา แต่การประทานปราณจานเหมิงนี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว”
ดวงตาสวี่ชิงเผยความประหลาดใจท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคน มองปราณหมอกสีฟ้าในมือของสำนักเซียนล้ำบารมีคนนั้น รู้สึกว่ามหัศจรรย์มาก
“เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็เช่นนี้ ยิ่งปีนป่ายขึ้นไปสูง โอกาสที่จะได้รับประโยชน์ก็ยิ่งมาก” นายกองเองก็เห็น ดวงตาเผยความคาดหวังขึ้นมา
“จากรายงานของพันธมิตร หลายปีมานี้วาสนาที่แผ่มาจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะมีทั้งสิ่งสืบทอด และยังมีปราณมหัศจรรย์บางส่วนอีกด้วย เช่นปราณจานเหมิงต้นวสันตฤดูเน้นหนักที่พลังชีวิต เช่นปราณแห่งแสงซุ่ยหยางเน้นหนักที่ประสิทธิภาพยาลูกกลอน และเช่นปราณทองซ่างจางที่สามารถหลอมศัสตราได้
“และตัวเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนี้ เมื่อบรรลุเจตจำนงต่อสู้ จะสามารถสร้างตราประทับวิญญาณศึกในทะเลความรู้สึกได้ นี่ก็เป็นของดีเช่นกัน มีพลังสังหารไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นระดับความยากก็ไม่มาก เช่นแค่ข้ามองเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนี้ผาดหนึ่ง ก็เหมือนจะบรรลุได้รางๆ แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งนี้ยังเพิ่มคะแนนในการทดสอบผู้ครองกระบี่ได้ด้วย”
สวี่ชิงพยักหน้าอย่างตั้งใจ ตัดสินใจว่าถัดจากนี้จะไปสัมผัสรับรู้เสียหน่อย
พอเห็นท่าทางตั้งใจของสวี่ชิง นายกองก็รู้สึกมีความสุข อันที่จริงการสัมผัสรับรู้ตราประทับวิญญาณนี้ยากมาก แต่เพื่อที่เขาจะแสดงความเป็นศิษย์พี่ใหญ่ออกมา จึงจงใจพูดว่าง่ายดาย
เช่นนี้ถ้าสวี่ชิงบรรลุเชื่องช้า ก็จะยิ่งเห็นได้ชัดว่าเฉินเอ้อหนิวคนนี้เยี่ยมยุทธ์
พร้อมกับความคิดเจ้าเล่ห์นี้ ทั้งสามคนก็เข้าใกล้อาณาเขตของเมืองมรรคาสวรค์พ้นพันธะมากขึ้นเรื่อยๆ
สวี่ชิงเก็บเรือเวทที่นี่
ทั้งสามคนร่างไหววูบ ร่อนลงมาในเมืองที่รวมตัวขึ้นจากกระโจม เดินตรงไปยังฐานที่มั่นของพันธมิตรแปดสำนัก
ปัจจุบันที่นี่คนเยอะ ค่าใช้จ่ายในการเช่ายืมย่อมสูงมาก ดังนั้นถ้ามีฐานที่มั่นของสำนักที่ไม่ต้องจ่ายเงิน แน่นอนว่าพวกเขาจะตรงไป
หลังจากผ่านกลุ่มคนมาเช่นนี้ สวี่ชิงทั้งสามคนในที่สุดก็มาถึงฐานที่มั่นของพันธมิตรแปดสำนัก
ที่นี่ห่างจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะไม่ไกล ก่อตัวขึ้นจากกระโจมนับร้อย ตอนที่พวกสวี่ชิงทั้งสามคนมาถึงการปิดบังตัวตนก็สลายออกไปเอง ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกเขา จึงดึงดูดความสนใจของศิษย์พันธมิตรแปดสำนักทันที
นายกองกับเหยียนเหยียนยังพอว่า แต่สถานะของสวี่ชิงนั้นต่างออกไป
ในฐานะที่เขาได้รับค่าตอบแทนของผู้สืบทอดมรรคารุ่นนี้ของพันธมิตร จึงมีชื่อเสียงเลื่องลือในพันธมิตรแปดสำนักด้วย ดังนั้นเมื่อเดินเข้ามา ก็มีศิษย์ในพันธมิตรมากมายประสานมือคารวะ
และศิษย์พันธมิตรแปดสำนักที่มาครั้งนี้ก็มีประมาณหนึ่งร้อยกว่าคน คนเหล่านี้พลังบำเพ็ญส่วนใหญ่ล้วนเป็นสร้างฐาน มีแก่นลมปราณไม่มากนัก ในกลุ่มพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่สามารถเป็นผู้ครองกระบี่ได้ มาที่นี่ก็แค่เพราะอายุตรงตามเงื่อนไจ ดังนั้นจากการจัดการของสำนัก จึงเข้ามาหาประสบการณ์เป็นหลัก
ในนี้มีศิษย์จากยอดเขาต่างๆ ของเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ไม่น้อย กระทั่งเจ้าใบ้ก็อยู่ในนี้ด้วย หลังจากเห็นสวี่ชิงกับนายกองก็คารวะอย่างนอบน้อม
โดยเฉพาะเจ้าใบ้ รีบเดินมาอยู่ข้างกายสวี่ชิง เข้ามาระวังภัยรอบด้านให้สวี่ชิงอย่างรู้ความ
ไม่นานเมื่อทั้งสามคนจัดหาที่พักเรียบร้อย ผ่านการพูดคุยกับศิษย์เจ็ดเนตรโลหิต สวี่ชิงจึงรู้ว่าคนที่นำพันธมิตรมาครั้งนี้คือเสี่ยเลี่ยนจื่อบรรพจารย์ของตนเองรวมถึงย่าของเหยียนเหยียน ขณะเดียวกันเจ้าสำนักล่าสิ่งประหลาดและเจ้าสำนักสมบัติจำนงฟ้าก็อยู่ด้วย
ส่วนท่านอาจารย์ไม่ได้มา
ทว่าเมื่อบรรพจารย์กับเจ้าสำนักมาถึงก็ตรงไปที่โถงครองกระบี่แล้ว ไม่รู้ว่าไปติดต่อเรื่องอะไร สวี่ชิงเห็นเช่นนี้ จึงไม่ได้เข้าไปคารวะในทันที
ส่วนเหยียนเหยียนกลับร้อนใจ ถึงอย่างไรนางก็แอบออกมาจากเจ็ดเนตรโลหิต เมื่อได้ยินว่าท่านย่าตนเองอยู่ด้วย นางกำลังจะพูดอะไรกับสวี่ชิง แต่เมื่อแผ่นหยกสื่อเสียงของนางสั่น เหยียนเหยียนก็ถอนหายใจ
“พี่สวี่ชิง ท่านย่าของข้ารู้แล้วว่าข้ามาที่นี่ ให้ข้าไปหาท่านย่านะเจ้าค่ะ ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมท่านย่าสักนิด ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้ถ้าจะดอดหนีออกมาก็คงทำได้ยากแล้ว”
นายกองที่อยู่ข้างๆ ก็โล่งอกอย่างชัดเจน เขารู้แล้วว่าจอมเซียนจื่อเสวียนไม่ได้มาด้วย จึงรู้สึกสบายใจอย่างมาก
“ท่านบรรพจารย์มาหรือ เขาจะต้องมาเพราะข้าแน่ อย่าเห็นว่าเวลาปกติตาเฒ่าคนนี้ดูเคร่งขรึมเชียว แต่ที่จริงเขาชื่นชมข้ามาก ครั้งน่าจะมาเตือนให้ข้ากลับสำนัก อาชิงน้อยเจ้าก็ไม่ไหวเอาเสียเลย ปกติก็พูดจาก็ไม่ค่อยฉลาดนัก กลับไปแล้วคืนสิ่งที่ค้างข้าไว้มาด้วย แล้วข้าจะลองพิจารณาเรื่องถ่ายทอดวิธีเอาอกเอาใจคนแก่คนเฒ่าให้ดีใจกับเจ้า”
นายกองเอ่ยอย่างภูมิใจ
สวี่ชิงพอได้ยินก็กะพริบตาปริบๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่พูดถูก ข้าแนะนำให้เจ้าไปคารวะท่านบรรพจารย์เสียหน่อย ไม่แน่ท่านบรรพจารย์อาจรู้เรื่องเกี่ยวกับการทดสอบบางส่วน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะดีกับการทดสอบของพวกเราด้วย มีประโยชน์อย่างมาก”
“มีเหตุผล!” เมื่อนายกองได้ยินก็ตาเป็นประกาย กำลังจะออกไปก็ชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับมามองสวี่ชิงอย่างสงสัย
“อาชิงน้อย ไม่ค่อยเห็นตอนเจ้าพูดมากเลย มีอะไรค่อนข้างผิดปกติ”
สวี่ชิงมองตานายกอง สีหน้าประหลาดใจ
นายกองมองสวี่ชิงอย่างสงสัย กำลังจะพูด แต่จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้ราวกับระฆังลั่น ดังก้องไปทั่วสารทิศ ก่อเกิดลมกรรโชก พื้นดินสั่นสะเทือน
“ที่ตั้งโถงครองกระบี่ล้วนเป็นแดนต้องห้ามของต่างเผ่า”
“ต่างเผ่าที่ย่างเท้าเข้ามา ต้องตาย!”