ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 349 เมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 349 เมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะ

คำพูดของนายกองมีคำเตือนด้วย

หากไม่เข้าใจนายกอง คงคิดว่านายกองห่วงสวี่ชิงจะอดออกไปช่วงชิงตะเกียงแห่งชีวิตของอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อเรื่องยุ่งยากใหญ่โต

แต่เมื่อคำพูดนี้ถึงหูสวี่ชิง เขาก็เข้าใจสิ่งที่นายกองจะสื่อเป็นอย่างดี

กำลังบอกกับเขาว่า จะลงมือไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าจะเหลือพยานไว้ไม่ได้และต้องวางแผนให้รัดกุม นอกจากนี้อย่าลืมเรียกเขาไปด้วย

แต่สวี่ชิงไม่มีความคิดจะไปแย่งชิงอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ แต่เพราะไม่เคยรู้จักกัน และไม่มีบ่วงกรรมที่จะต้องเอาชีวิตด้วย

สวี่ชิงจึงส่ายหน้า

“ข้าสู้เขาไม่ได้”

นายกองเลิกคิ้ว ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม

“นี่ยังปิดบังข้าอีกหรือ อาชิงน้อย พลังต่อสู้ของเจ้าตอนนี้ น่าจะเทียบกับห้าวังสวรรค์ได้แล้วกระมัง”

สวี่ชิงไม่พูดอะไร มองออกไปยังฟ้าดินไกลๆ จุดที่มองคือสุดปลายทางเหนือ ซึ่งเป็นทั้งสถานที่ที่ตั้งของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ และยังทางออกจากมณฑลรับเสด็จราชันอีกด้วย

“ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขารุ่งอรุณอยู่ที่ใด” สวี่ชิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“เขารุ่งอรุณ? ข้าคิดก่อนนะ…” นายกองชะงัก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“เหมือนข้าเคยเห็นบนแผนที่ของเขตปกครองผนึกสมุทร อยู่ไม่ไกลจากเขตปกครองผนึกสมุทรเท่าไร ว่ากันว่าที่นั่นเคยเป็นสุสานของดวงตะวันบรรพกาลด้วย”

สวี่ชิงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอีกครั้ง เส้นทางถัดจากนี้ราบรื่นมาก ระหว่างนี้ยังพบกับเรือเหาะที่รูปร่างประหลาดอีกบางส่วน เป้าหมายล้วนเป็นที่เดียวกัน มีสัญลักษณ์หรือธงตัวแทนเผ่าต่างๆ ตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน

ผู้บำเพ็ญด้านในอายุไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นพลังบำเพ็ญก็ไม่ธรรมดา

การรับสมัครเข้ารับการทดสอบของโถงครองกระบี่ สำหรับขั้วอำนาจเผ่ามนุษย์ของมณฑลรับเสด็จราชันแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่ เหล่าอัจฉริยะฟ้าประทานที่มาจากสำนักน้อยใหญ่ล้วนตรงมายังที่แห่งนี้ในช่วงนี้เพื่อเข้าร่วมการทดสอบ

ถึงอย่างไรการกลายเป็นผู้ครองกระบี่ ไม่ว่าจะในสำนักหรือนอกสำนัก สถานะก็ล้วนแตกต่าง และยังมีอนาคตกับวาสนาที่ดีกว่าด้วย

ดังนั้นจึงผ่านไปอีกเดือนอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือไกลๆ ในที่สุดก็เห็นเสายักษ์ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสานั้น

เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะหนานับพันจั้ง สีดำสนิท สลักอักขระและรูปสักการะเอาไว้นับไม่ถ้วน แผ่พลานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาลที่ยากจะพรรณนาออกมา

มองอย่างละเอียด ในทุกลายอักขระล้วนแฝงท่วงทำนองเต๋าไว้ด้วย ราวกับก่อร่างฟ้าดินขึ้นมาด้วยตนเอง

รูปสักการะก็เช่นกัน สลักภาพอสูรกลายพันธุ์รวมถึงร่างเงาเอาไว้มากมาย ทุกๆ ร่างแผ่ซ่านแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา

ทั้งหมดนี้ เพียงพอที่จะทำให้คนที่เห็นอดเกิดความรู้สึกต่ำต้อยจนต้องเคารพบูชาไม่ได้

มองไป เสาที่ราวกับค้ำสวรรค์นี้จมหายไปในชั้นเมฆ มองไม่เห็นยอดด้านบน เห็นเหมือนมีตำหนักแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้าในหมอกเมฆรางๆ

คอยสะกดเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ คอยสะกดทุกสรรพสิ่ง

แต่พลังสะกดนี้ กลับไม่สามารถสกัดเจตจำนงต่อสู้โถมฟ้าของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะได้เลย ราวกับว่าเคยเป็นอาวุธที่สั่นสะเทือนฟ้า มีสรรพชีวิตที่ต้องตายเพราะมันมากมายมหาศาล ทำให้ด้านในแฝงปราณอาฆาตที่น่าสะพรึงเอาไว้

เพียงแต่ปราณอาฆาตเหล่านี้ถูกสะกดด้วยพลานุภาพเจตจำนงต่อสู้ ไม่สามารถแผ่ออกไปได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงร้องโหยหวนอย่างเงียบงัน ดังก้องอยู่ในใจของคนที่จ้องมองเสานี้

สวี่ชิงใจสั่น และสิ่งที่ยิ่งทำให้ดวงตาของเขาล้ำลึกมากขึ้นคือเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกกำลังสั่นไหวเล็กน้อย

ราวกับถูกเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนี้ดึงดูด ขณะเดียวกัน…เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะต้นนี้ ก็สั่นสะเทือนขึ้นเบาๆ ครู่หนึ่ง

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก แต่เขาไม่ปลกใจเพราะที่เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาก่อนหน้านี้ ร่างของจักรพรรดิภูตเองก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่เหมือนจะรุนแรงกว่าเล็กน้อย

เวลานี้นายกองยืนอยู่ข้างๆ สวี่ชิง เอ่ยอย่างทอดถอนใจ

“คนรุ่นหลังวิเคราะห์จักรพรรดิภูตไว้ว่า อาวุธเล่มนี้น่าจะเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของเขา คอยติดตามออกปราบปรามฟ้าดิน สังหารสะกดกับเขาสารทิศ และที่มาของจักรพรรดิภูตก็ลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากเผ่าใด รู้เพียงว่าตอนที่เขาเกิดมาไม่ดีนัก สำเร็จมรรคาหลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาถึง

“ไม่รู้ว่าศัตรูของเขาคือผู้ใด รู้แค่ว่าช่วงที่เขาใกล้จะตายได้หลบหนีมาที่นี่ โยนอาวุธในมือทิ้ง ร่วงลงสู่ที่ราบน้ำแข็ง ส่วนตนเองก็หลับตาอยู่ที่ชายหาด เลือกตายในท่านั่งสมาธิ

“มีคนบอกว่า จุดที่เขาตายในท่านั่งสมาธิหันหน้ามองไปยังมหาสมุทรทางใต้ไกลๆ ราวกับว่ากำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง”

เสียงของนายกองแผ่วลงเรื่อยๆ

สวี่ชิงสัมผัสเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึก จ้องมองใบหน้าที่แม้จะยังดูเลือนรางแต่ก็ดูคลับคล้ายกับใบหน้าของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ นิ่งงันไม่พูดจา

ดวงตาของเขา มองแผ่นดินใหญ่ที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะตั้งอยู่

แผ่นดินใหญ่หิมะขาวโพลน มีกระโจมหลังคาทรงกลมนับไม่ถ้วนตั้งล้อมอยู่รอบๆ เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะต้นนี้มากมายนับแสนหลัง กินอาณาเขตกว้างขวาง ราวกับเป็นเมืองพิเศษเมืองหนึ่ง

ที่นี่ไม่มีมนุษย์สามัญอยู่ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญจากทั่วสารทิศ ในนี้มีผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเป็นส่วนใหญ่ และทั้งหมดล้วนเป็นเผ่ามนุษย์ ไม่มีต่างเผ่าอยู่เลย

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะไม่ได้มีเงื่อนไขใดๆ เกี่ยวกับผู้ที่มาเยือน จะเข้าพักก็ดี จะฝึกบำเพ็ญก็ช่าง ล้วนอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ได้

มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว คือต้องเป็นเผ่ามนุษย์เท่านั้น

และความแปลกประหลาดของตัวเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ คือเจตจำนงการต่อสู้ที่แผ่ซ่านอยู่ หากสัมผัสรับรู้เป็นเวลานาน จะมีตราประทับวิญญาณปรากฏขึ้นในใจ มีส่วนช่วยสนับสนุนการฝึกบำเพ็ญอย่างมาก

นอกจากนี้ ด้านในเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็ยังแฝงสิ่งสืบทอดบางอย่างไว้ด้วย ขอแค่เป็นเผ่ามนุษย์ก็สามารถปีนป่ายได้ หากวาสนามาถึง ก็จะได้สัมผัสรับรู้

ดังนั้นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเผ่ามนุษย์จึงมารวมตัวกันที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้แผ่นดินใหญ่ก็คึกคักไปหมด

มีสำนักไม่น้อยที่มาถึงแล้วตั้งกระโจมเป็นอาณาเขต ตั้งชูธงของสำนักตนเองขึ้นมา โดยเฉพาะพวกขั้วอำนาจใหญ่หลายแห่งในมณฑลรับเสด็จราชันที่สะดุดตามากที่สุดในบรรดานี้

ในนี้มีฐานที่มั่นของพันธมิตรแปดสำนักอยู่ด้วย

มองไปทั่วทั้งเมือง กระโจมตั้งเรียงราย ผู้คนพลุกพล่าน

และด้านล่างของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ที่นั่นมีกลุ่มคนมากที่สุด แน่นขนัดจนน่ากลัวว่าจะไม่ต่ำกว่าพันคน ส่วนใหญ่กำลังเงยหน้ามอง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังออกมา

สวี่ชิงสังเกตเห็นภาพนี้ และเห็นเงาหลายร่างอยู่บนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะประมาณร้อยคน กระจัดกระจายอยู่ในความสูงที่ต่างกัน

บางคนกำลังปีนป่าย บางคนกำลังนั่งสมาธิอยู่บนอักขระรูปสักการะที่ยื่นออกมา ในกลุ่มพวกเขาคนที่อยู่ตำแหน่งสูงที่สุดเวลานี้ คือชายหนุ่มในชุดนักพรตของสำนักเซียนล้ำบารมี

คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้สืบทอดมรรคาของสำนักเซียนล้ำบารมี แต่เป็นหนึ่งในอัจริยะฟ้าประทานที่อยู่ลำดับรองลงมาจากผู้สืบทอดมรรคาสำนักเซียนล้ำบารมี

สวี่ชิงจำได้ว่าเป็นคนหนึ่งที่อยู่บนเรือเหาะของสำนักเซียนล้ำบารมีที่เจอเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เวลานี้ระดับความสูงที่อีกฝ่ายอยู่คือประมาณห้าร้อยกว่าจั้ง และเหมือนว่าจุดนี้เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือทิ้งตัวลงมา

และจังหวะที่ร่วงลงมา ก็เห็นว่าเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะมีแสงสีฟ้าสายหนึ่งสาดออกมา พุ่งไปหาร่างที่กำลังร่วงของคนผู้นี้

ในความยินดีเป็นล้นพ้นของอัจฉริยะฟ้าประทานสำนักเซียนล้ำบารมีคนนี้ เขาคว้ามันเอาไว้ พริบตาต่อมาแสงสีฟ้าก็กลายเป็นปราณหมอกสีฟ้ากลุ่มหนึ่ง

สวี่ชิงไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ภาพนี้ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะส่งเสียงฮือฮาออกมา

“คิดไม่ถึงว่าจะประทานปราณจานเหมิง ปราณนี้มีส่วนช่วยบำรุงพลังชีวิตอย่างมากเลย!”

“ยิ่งปีนได้สูง โอกาสที่จะได้รับก็ยิ่งมาก!”

“แม้จะไม่ใช่การสืบทอดวิชา แต่การประทานปราณจานเหมิงนี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว”

ดวงตาสวี่ชิงเผยความประหลาดใจท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มคน มองปราณหมอกสีฟ้าในมือของสำนักเซียนล้ำบารมีคนนั้น รู้สึกว่ามหัศจรรย์มาก

“เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็เช่นนี้ ยิ่งปีนป่ายขึ้นไปสูง โอกาสที่จะได้รับประโยชน์ก็ยิ่งมาก” นายกองเองก็เห็น ดวงตาเผยความคาดหวังขึ้นมา

“จากรายงานของพันธมิตร หลายปีมานี้วาสนาที่แผ่มาจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะมีทั้งสิ่งสืบทอด และยังมีปราณมหัศจรรย์บางส่วนอีกด้วย เช่นปราณจานเหมิงต้นวสันตฤดูเน้นหนักที่พลังชีวิต เช่นปราณแห่งแสงซุ่ยหยางเน้นหนักที่ประสิทธิภาพยาลูกกลอน และเช่นปราณทองซ่างจางที่สามารถหลอมศัสตราได้

“และตัวเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนี้ เมื่อบรรลุเจตจำนงต่อสู้ จะสามารถสร้างตราประทับวิญญาณศึกในทะเลความรู้สึกได้ นี่ก็เป็นของดีเช่นกัน มีพลังสังหารไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นระดับความยากก็ไม่มาก เช่นแค่ข้ามองเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนี้ผาดหนึ่ง ก็เหมือนจะบรรลุได้รางๆ แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งนี้ยังเพิ่มคะแนนในการทดสอบผู้ครองกระบี่ได้ด้วย”

สวี่ชิงพยักหน้าอย่างตั้งใจ ตัดสินใจว่าถัดจากนี้จะไปสัมผัสรับรู้เสียหน่อย

พอเห็นท่าทางตั้งใจของสวี่ชิง นายกองก็รู้สึกมีความสุข อันที่จริงการสัมผัสรับรู้ตราประทับวิญญาณนี้ยากมาก แต่เพื่อที่เขาจะแสดงความเป็นศิษย์พี่ใหญ่ออกมา จึงจงใจพูดว่าง่ายดาย

เช่นนี้ถ้าสวี่ชิงบรรลุเชื่องช้า ก็จะยิ่งเห็นได้ชัดว่าเฉินเอ้อหนิวคนนี้เยี่ยมยุทธ์

พร้อมกับความคิดเจ้าเล่ห์นี้ ทั้งสามคนก็เข้าใกล้อาณาเขตของเมืองมรรคาสวรค์พ้นพันธะมากขึ้นเรื่อยๆ

สวี่ชิงเก็บเรือเวทที่นี่

ทั้งสามคนร่างไหววูบ ร่อนลงมาในเมืองที่รวมตัวขึ้นจากกระโจม เดินตรงไปยังฐานที่มั่นของพันธมิตรแปดสำนัก

ปัจจุบันที่นี่คนเยอะ ค่าใช้จ่ายในการเช่ายืมย่อมสูงมาก ดังนั้นถ้ามีฐานที่มั่นของสำนักที่ไม่ต้องจ่ายเงิน แน่นอนว่าพวกเขาจะตรงไป

หลังจากผ่านกลุ่มคนมาเช่นนี้ สวี่ชิงทั้งสามคนในที่สุดก็มาถึงฐานที่มั่นของพันธมิตรแปดสำนัก

ที่นี่ห่างจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะไม่ไกล ก่อตัวขึ้นจากกระโจมนับร้อย ตอนที่พวกสวี่ชิงทั้งสามคนมาถึงการปิดบังตัวตนก็สลายออกไปเอง ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกเขา จึงดึงดูดความสนใจของศิษย์พันธมิตรแปดสำนักทันที

นายกองกับเหยียนเหยียนยังพอว่า แต่สถานะของสวี่ชิงนั้นต่างออกไป

ในฐานะที่เขาได้รับค่าตอบแทนของผู้สืบทอดมรรคารุ่นนี้ของพันธมิตร จึงมีชื่อเสียงเลื่องลือในพันธมิตรแปดสำนักด้วย ดังนั้นเมื่อเดินเข้ามา ก็มีศิษย์ในพันธมิตรมากมายประสานมือคารวะ

และศิษย์พันธมิตรแปดสำนักที่มาครั้งนี้ก็มีประมาณหนึ่งร้อยกว่าคน คนเหล่านี้พลังบำเพ็ญส่วนใหญ่ล้วนเป็นสร้างฐาน มีแก่นลมปราณไม่มากนัก ในกลุ่มพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่สามารถเป็นผู้ครองกระบี่ได้ มาที่นี่ก็แค่เพราะอายุตรงตามเงื่อนไจ ดังนั้นจากการจัดการของสำนัก จึงเข้ามาหาประสบการณ์เป็นหลัก

ในนี้มีศิษย์จากยอดเขาต่างๆ ของเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ไม่น้อย กระทั่งเจ้าใบ้ก็อยู่ในนี้ด้วย หลังจากเห็นสวี่ชิงกับนายกองก็คารวะอย่างนอบน้อม

โดยเฉพาะเจ้าใบ้ รีบเดินมาอยู่ข้างกายสวี่ชิง เข้ามาระวังภัยรอบด้านให้สวี่ชิงอย่างรู้ความ

ไม่นานเมื่อทั้งสามคนจัดหาที่พักเรียบร้อย ผ่านการพูดคุยกับศิษย์เจ็ดเนตรโลหิต สวี่ชิงจึงรู้ว่าคนที่นำพันธมิตรมาครั้งนี้คือเสี่ยเลี่ยนจื่อบรรพจารย์ของตนเองรวมถึงย่าของเหยียนเหยียน ขณะเดียวกันเจ้าสำนักล่าสิ่งประหลาดและเจ้าสำนักสมบัติจำนงฟ้าก็อยู่ด้วย

ส่วนท่านอาจารย์ไม่ได้มา

ทว่าเมื่อบรรพจารย์กับเจ้าสำนักมาถึงก็ตรงไปที่โถงครองกระบี่แล้ว ไม่รู้ว่าไปติดต่อเรื่องอะไร สวี่ชิงเห็นเช่นนี้ จึงไม่ได้เข้าไปคารวะในทันที

ส่วนเหยียนเหยียนกลับร้อนใจ ถึงอย่างไรนางก็แอบออกมาจากเจ็ดเนตรโลหิต เมื่อได้ยินว่าท่านย่าตนเองอยู่ด้วย นางกำลังจะพูดอะไรกับสวี่ชิง แต่เมื่อแผ่นหยกสื่อเสียงของนางสั่น เหยียนเหยียนก็ถอนหายใจ

“พี่สวี่ชิง ท่านย่าของข้ารู้แล้วว่าข้ามาที่นี่ ให้ข้าไปหาท่านย่านะเจ้าค่ะ ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมท่านย่าสักนิด ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้ถ้าจะดอดหนีออกมาก็คงทำได้ยากแล้ว”

นายกองที่อยู่ข้างๆ ก็โล่งอกอย่างชัดเจน เขารู้แล้วว่าจอมเซียนจื่อเสวียนไม่ได้มาด้วย จึงรู้สึกสบายใจอย่างมาก

“ท่านบรรพจารย์มาหรือ เขาจะต้องมาเพราะข้าแน่ อย่าเห็นว่าเวลาปกติตาเฒ่าคนนี้ดูเคร่งขรึมเชียว แต่ที่จริงเขาชื่นชมข้ามาก ครั้งน่าจะมาเตือนให้ข้ากลับสำนัก อาชิงน้อยเจ้าก็ไม่ไหวเอาเสียเลย ปกติก็พูดจาก็ไม่ค่อยฉลาดนัก กลับไปแล้วคืนสิ่งที่ค้างข้าไว้มาด้วย แล้วข้าจะลองพิจารณาเรื่องถ่ายทอดวิธีเอาอกเอาใจคนแก่คนเฒ่าให้ดีใจกับเจ้า”

นายกองเอ่ยอย่างภูมิใจ

สวี่ชิงพอได้ยินก็กะพริบตาปริบๆ

“ศิษย์พี่ใหญ่พูดถูก ข้าแนะนำให้เจ้าไปคารวะท่านบรรพจารย์เสียหน่อย ไม่แน่ท่านบรรพจารย์อาจรู้เรื่องเกี่ยวกับการทดสอบบางส่วน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะดีกับการทดสอบของพวกเราด้วย มีประโยชน์อย่างมาก”

“มีเหตุผล!” เมื่อนายกองได้ยินก็ตาเป็นประกาย กำลังจะออกไปก็ชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับมามองสวี่ชิงอย่างสงสัย

“อาชิงน้อย ไม่ค่อยเห็นตอนเจ้าพูดมากเลย มีอะไรค่อนข้างผิดปกติ”

สวี่ชิงมองตานายกอง สีหน้าประหลาดใจ

นายกองมองสวี่ชิงอย่างสงสัย กำลังจะพูด แต่จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้ราวกับระฆังลั่น ดังก้องไปทั่วสารทิศ ก่อเกิดลมกรรโชก พื้นดินสั่นสะเทือน

“ที่ตั้งโถงครองกระบี่ล้วนเป็นแดนต้องห้ามของต่างเผ่า”

“ต่างเผ่าที่ย่างเท้าเข้ามา ต้องตาย!”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท