ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 350 จดหมายจากจอมเซียนจื่อเสวียน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 350 จดหมายจากจอมเซียนจื่อเสวียน

จากเสียงที่ดังก้องไปทั่วทั้งเมืองเผ่ามนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนในนั้นต่างเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองไปทางท้องฟ้า

เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากในเมฆหมอกที่ปลายเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ

คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคน สวมชุดขุนนางทรงอำนาจน่าเกรงขาม ที่ศีรษะสวมหมวกนภาครามขลิบเงิน มือทั้งสองสวมถุงมือติดเกล็ดสีม่วง ที่หลังแบกกระบี่เล่มใหญ่ที่ถูกผ้าสีดำพันเอาไว้เผยให้เห็นเพียงด้ามกระบี่

ข้างหลังเขามีหุบเหวลึกขนาดมหึมาประดุจคลื่นวนสามลูกปรากฏขึ้นจากการเดินออกมา

หุบเหวทั้งสามนี้ไม่ว่าจะเป็นหุบเหวใดล้วนเหมือนปรากฏการณ์ประหลาดในฟ้าดิน ในขณะเดียวกับที่สั่นสะเทือนทั่วทุกสารทิศ ทุกหุบเหวในนั้นล้วนเหมือนแฝงไว้ด้วยพลังระดับสมบัติลับ

เหมือนมีเสียงกรีดร้องและคำรามโหยหวนดังออกมาจากในสมบัติลับทั้งสามคลังนี้อยู่รางๆ เหมือนว่ามีสิ่งโหดเหี้ยมน่าสะพรึงถูกสะกดอยู่ในนั้น แผ่ซ่านระลอกคลื่นพลังน่าหวาดกลัวออกมาเป็นระลอกๆ

ฟ้าดินเปลี่ยนสี ในยามที่ลมเมฆหอบม้วน มือขวาของคนคนนี้ก็ยกขึ้นซัดหมัดไปยังท้องฟ้าที่ไกล

สมบัติลับสามคลังข้างหลังเขาปะทุจากการลงมือ แสงพรายรุ้งทะลักท่วมฟ้า ก่อเป็นกระบี่บินนับไม่ถ้วน กระจายไปทั่วทั้งฟ้าดิน ก่อเป็นสายน้ำไหลหลากสายหนึ่ง

กระบี่ทุกเล่มในนั้นล้วนแแผ่พลังชวนพรั่นพรึงออกมา เหมือนสามารถฉีกทึ้งท้องฟ้า บดขยี้มิติได้ ตอนนี้พุ่งออกไปทั้งหมด พุ่งตรงไปยังที่ไกล

ในขณะเดียวกัน เสียงคำรามโกรธเคืองก็ดังมาจากท้องฟ้าไกล เงาร่างรางเลือนทางหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า คล้ายว่าก่อนหน้านี้อำพรางแอบซ่อน ตอนนี้เมื่ออยู่ภายใต้ระลอกคลื่นพลังก็ไม่อาจแอบซ่อนต่อไปได้อีก ต้องปรากฏร่างจริงออกมา

นี่เป็นอสูรร้ายที่อัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่งตัวหนึ่ง

พูดให้ถูกต้องคือมันเหมือนหนอนยักษ์ตัวหนึ่งมากกว่า ร่างกายที่เนื้อหนังซ้อนทับเป็นชั้นๆ มีขนาดถึงพันจั้ง เต็มไปด้วยเมือกเหนียว ส่งกลิ่นเหม็นคาวเกินทนออกมา

หัวของมันยังมีรยางค์อีกสองอัน

บนรยางค์ทุกเส้นล้วนมีศีรษะอยู่ เป็นศีรษะชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผิวเป็นสีเขียว ดวงตาแดงก่ำ เสียงคำรามก็คือเสียงพวกมันเปล่งออกมาพร้อมกัน

หางกระดกขึ้น บนนั้นก็ยังมีอีกศีรษะหนึ่งเช่นกัน เป็นคนแก่ ตอนนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป พ่นหมอกดำออกมา

หมอกแผ่ขยายปกคลุมไปรอบๆ ตัวมัน ทำให้ความเร็วในการถอยร่นของมันเร็วขึ้น

แต่ก็ยังช้าไป เสี้ยวขณะต่อมากระบี่บินนับไม่ถ้วนก็ประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทะลุผ่านร่างของสัตว์อสูรอัปลักษณ์ตัวนี้

ไม่ว่ามันจะต้านทานอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เพียงพริบตาน่าของมันก็แหลกสลายไปภายใต้การสังหารจากกระบี่บิน

มีเพียงหัวทั้งสามที่สร้างหมอกดำนั่นกำลังหนีไปยังที่ไกลอย่างรวดเร็ว

แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นความคิดเพ้อฝัน ในเสี้ยวพริบตาที่ร่างของอสูรตัวนี้แหลกสลาย ผู้ครองกระบี่ในชุดขุนนางคนนั้นก็ก้าวมา เข้าประชิดอย่างเร็วรี่ เพียงยกมือขวาขึ้นกระบี่บินนับไม่ถ้วนก็รวมตัว ก่อเป็นเป็นกระบี่ยาวที่ส่องประกายแสงสีเขียวครามเล่มหนึ่งในมือเขาทันที

กระบี่ฟาดลงมา หัวผู้หญิงแหลกสลาย

กระบี่ที่สองหัวผู้ชายระเบิด

กระบี่ที่สามผู้ครองกระบี่ชุดขุนนางเพียงสะบัด กระบี่บินก็แปรเปลี่ยนเป็นมังกรเจียว[1]ตัวใหญ่สีเขียวครามตัวหนึ่ง ท่ามกลางเสียงคำรามก็กลืนหัวชายชราหัวสุดท้ายนั่นลงไปทันที

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ฟ้าดินก็เงียบสงบ ผู้บำเพ็ญบนพื้นทุกตนต่างจิตใจสั่นสะท้าน

“ช่วงนี้โถงกระบี่ได้รับคำสั่งให้สยบเขาไตรวิญญาณ จับตัวโยวจิงมาดำเนินคดี จึงมีภูตผีปีศาจบางตนคิดลองดี มาหยั่งเชิงที่นี่เป็นประจำ”

กลางท้องฟ้า ชายกลางคนชุดขุนนางเอ่ยเสียงราบเรียบ

“เช่นนั้นข้าขอพูดอีกครั้งถึงกฎของพวกเราโถงครองกระบี่ ที่นี่เป็นเขตต้องห้ามของต่างเผ่า ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ห้ามเหยียบย่างเข้ามา!”

ชายกลางคนชุดขุนนางยกมือขวาขึ้น ประสานปางมือชี้ไปทางเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ทันใดนั้นเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็สั่นไหว จิตต่อสู้ท่วมฟ้ากลุ่มหนึ่งปะทุออกมาจากในนั้นโดยไม่มีการสะกดควบคุมใดๆ ทั้งสิ้น

มาพร้อมกับการสังหารล้างบาง มาพร้อมด้วยความอำมหิตอันทรงพลัง พัดกวาดสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วสารทิศ

ท้องฟ้าทั่วระยะหมื่นลี้เกิดระลอกคลื่นพลังรุนแรง แข็งแกร่งทรงพลังเกินต้าน พื้นดินก็เช่นกัน จิตต่อสู้กลุ่มนี้มาพร้อมด้วยประสาทสัมผัสเทพ พัดกวาดไปยังผู้บำเพ็ญทุกคนอย่างรวดเร็ว

คล้ายว่ากำลังตรวจสอบแยกแยะ ในขณะที่สั่นคลอนผู้บำเพ็ญที่จับตามองที่นี่ทุกคน ก็มีเสียงบึ้มๆ ดังก้องทั้งในเมืองและในฟ้าดิน ในเมืองมีร่างมนุษย์หลายร้อยคนจู่ๆ ก็ระเบิด ดับดิ้นไปในทันที

บนท้องฟ้าก็มีเจ็ดแปดที่ที่เป็นเช่นนี้เช่นกัน มีเสียงน่าสังเวชโดยหวนดังมา

เมื่อทุกอย่างผ่านไป ฟ้าดินปลอดโปร่ง

ทำทุกอย่างเสร็จ ชายกลางคนชุดขุนนางคนนี้ก็เดินไปยังท้องฟ้าอย่างไม่แม้แต่จะหันกลับมา เพียงก้าวเดียวก็ก้าวเข้าไปในเมฆหมอก หายไปไร้ร่องรอย

แผ่นดินเงียบสงัด จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้มีเสียงสูดลมหายใจและเสียงร้องตกใจดังขึ้น สวี่ชิงเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก นายกองเองก็เช่นกัน

เมื่อครู่ประสาทสัมผัสเทพก็กวาดผ่านร่างของพวกเขาไปเช่นกัน ต่อให้รู้ว่าตัวเองเป็นเผ่ามนุษย์ ไม่มีทางมีปัญหาใดๆ แต่ในยามที่ประสาทสัมผัสเทพนั่นปกคลุมมา สวี่ชิงก็ยังประหวั่นพรั่นพรึงนัก สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาจิตใจสั่นสะท้านก็ความทรงอำนาจที่มาจากโถงครองกระบี่

พลังบำเพ็ญของชายกลางคนชุดขุนนางคนนั้นเป็นระดับสมบัติวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ระดับหวนสู่อนัตตา แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เขาเดินออกมา ในเสี้ยวพริบตาที่เขาลงมือ บรรพจารย์ที่นำกลุ่มของแต่ละสำนักในเมืองเหมือนว่าทางด้านรัศมีอำนาจจะถูกเขาสยบ

“สิ่งที่สยบบรรพจารย์ของสำนักไม่ใช่พลังบำเพ็ญของคนคนนี้ แต่เป็นฐานะตำแหน่งของเขา”

สายหลักของมนุษย์ หนึ่งในห้ากรมทมิฬ โถงครองกระบี่!

จวบจนเมื่อผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ผู้บำเพ็ญทั้งหลายในเมืองตั้งสติกลับมา ในสายตาของพวกเขาล้วนฉายประกายแรงกล้า มีหลายคนที่มองไปสุดปลายเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะอย่างอดไม่ได้

ที่นั่นคือสาขาหลักของโถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน

การลงมือของโถงครองกระบี่ครั้งนี้ทำให้ลูกศิษย์ที่มาถึงจากสำนักต่างๆ ส่วนมากเกิดจิตปรารถนาในโถงครองกระบี่อย่างแรงกล้า โดยเฉพาะนายกองยิ่งเป็นเช่นนั้น เขากระทั่งว่าจินตนาการตัวเองที่ได้กลายเป็นผู้ครองกระบี่ไปแล้ว

ส่วนสวี่ชิงแม้จะหวั่นไหวกับการเป็นผู้ครองกระบี่ แต่เขาให้ความสำคัญกับการสั่นไหวของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะเมื่อครู่นี้มากกว่า

ในเสี้ยวพริบตาที่เสาต้นนั้นสั่นไหวเมื่อก่อนหน้านี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของตัวเองก็สั่นไหวเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันก็มีอักขระหลายสิบตัวลอยออกมาจากในนั้นด้วย

อักขระพวกนี้แผ่จิตต่อสู้อันแข็งแกร่งออกมา สวี่ชิงเมื่อสัมผัสได้ก็ครุ่นคิด

“หรือจะเป็นตราประทับวิญญาณศึกที่นายกองว่า เช่นนี้ก็ได้ง่ายมาก ไม่ยาก”

สวี่ชิงคิด แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าอักขระพวกนี้จะเป็นตราประทับวิญญาณที่นายกองว่าหรือไม่

แต่เขารู้สึกว่าสิ่งนี้สามารถเอาออกมาได้

จึงยกมือ ทันใดนั้นหนึ่งในอักขระหลายสิบตัวก็หายไปจากทะเลความรู้สึกจากจิตที่นึกคิด มาปรากฏอยู่กลางฝ่ามือของเขา

ประกายแสงกะพริบวาบ จิตต่อสู้ยิ่งแผ่ออกมาอย่างแข็งแกร่ง ที่สวี่ชิงรู้สึกได้คือ อักขระตราประทับนี้สามารถเอามาใช้เป็นวิชาเวทประเภทหนึ่งได้ มีพลังทำลายล้างสังหารในระดับหนึ่ง

“ศิษย์พี่ใหญ่ นี่คือตราประทับวิญญาณศึกที่ท่านพูดหรือไม่…” สวี่ชิงหันไปมองนายกอง ยังไม่ทันถามจบ นายกองที่จินตนาการว่าตัวเองเป็นผู้ครองกระบี่ไปแล้วก็ตาแข็งค้างทันที

“ตราประทับวิญญาณศึกหรือ เจ้าสัมผัสรับรู้เมื่อไร เจ้าสิ่งนี้มัน…ง่ายจะตาย ไม่เลวๆ บวกคะแนนได้” นายกองอึ้งตะลึง แต่ก็ตั้งสติกลับมาได้ แกล้งทำเป็นผ่อนคลายสบายๆ

“เมื่อครู่ที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะสั่นไหว พวกมันก็เกิดขึ้นในทะเลความรู้สึกของข้า” สวี่ชิงพยักหน้า ในใจเกิดความสงสัยบางอย่าง ปฏิกิริยาของนายกองทำให้เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูก

และทุกครั้งในเวลาแบบนี้ก็ไม่ถูกจริงๆ ด้วย

นายกองกระแอมไอ สะกดความอิจฉาในใจ หัวเราะฮ่าๆ

“อาชิงน้อย การรับรู้ของเจ้าไม่เลวเลย แต่เจ้ายังด้อยกว่าข้าเล็กน้อย ของสิ่งนี้ความจริงข้าก็สัมผัสรับรู้สำเร็จแล้วเช่นกัน เมื่อครู่นี้เลย ดังนั้นเจ้าต้องจำไว้ว่าอย่าหยิ่งทะนง ตราหนึ่งไม่นับเป็นอะไร ข้าสัมผัสรับรู้ได้ห้าตราข้าพูดอะไรแล้วหรือยัง เพราะต้องสัมผัสรับรู้ได้เก้าตราถึงจะบวกคะแนนได้!”

สวี่ชิงแค่สัมผัสตราประทับวิญญาณศึกหลายสิบตราในทะเลความรู้สึก ไม่พูดอะไร ในใจเดาว่าความยากของการสัมผัสรับรู้ตราประทับวิญญาณน่าไม่ได้เป็นแบบที่นายกองพูดก่อนหน้านี้

“เอาล่ะ เจ้าก็สัมผัสรับรู้ต่อไปก็แล้วกัน ข้าจะไปหาท่านบรรพจารย์แล้ว” นายกองพูดแล้วก็จะไปจากที่นี่ เตรียมไปหาสถานที่สัมผัสรับรู้ สำหรับการที่สวี่ชิงเพียงง่ายๆ ก็สัมผัสสำเร็จหนึ่งตรา เช่นนี้ นี่ทำให้เขากดดันเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะนึกถึงว่าก่อนหน้านี้ตนบอกว่าการสัมผัสรับรู้นี้ง่ายมาก หากจากนี้ตนไม่อาจทำสำเร็จในเวลาสั้นๆ เช่นนั้นก็หาเรื่องลำบากให้ตัวเองแล้ว

เห็นนายกองจากไป สวี่ชิงก็คิดว่าจะไปศึกษาค้นคว้าตราประทับวิญญาณพวกนี้สักหน่อย จึงเดินไปยังที่พัก

แต่ทั้งสองคนต่างเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ นายกองก็อึ้งตะลึง เขานึกย้อนถึงคำพูดของสวี่ชิงเมื่อก่อนหน้านี้ สังเกตสองคำที่อยู่ในนั้น

“เดี๋ยวก่อน สวี่ชิงเมื่อครู่เจ้าบอกว่าเหล่านี้อย่างนั้นหรือ”

ฝีเท้าของสวี่ชิงหยุดชะงัก

“เจ้า…เจ้าสัมผัสรับรู้ได้กี่ตรา” นายกองเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง

สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง เพียงสะบัดมือก็มีตราประทับวิญญาณสามสิบกว่าตราพุ่งออกมาทันที วนล้อมรอบมือของเขาอย่างรวดเร็ว จิตต่อสู้เป็นระลอกๆ แผ่ออกมาไม่ขาดสาย

นายกองอึ้งตะลึงไปแล้ว

“พวกนี้ล้วนเป็นตราประทับวิญญาณที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว นายกองพูดถูก มันง่ายมาก” สวี่ชิงกะพริบตา

นายกองไม่อยากพูดอะไรแล้ว เขารู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกิน

ตอนนี้เขาดึงสายตากลับมาเงียบๆ จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา ในใจยิ่งมุ่งมัน เขาเตรียมไปยังเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะทางนั้น ตอนนี้ก็เริ่มสัมผัสรับรู้ สัมผัสรับรู้ไม่ได้ถึงสี่สิบตราก็ไม่มีทางเลิกราเด็ดขาด

“สี่สิบตราไม่เหมาะ ข้าจะสัมผัสรับรู้ออกมาให้ได้หกสิบตรา!”

มองเงาร่างของนายกอง สวี่ชิงจิตใจเบิกบานนัก หมุนตัวเดินไปทางที่พัก

หลังจากที่มาถึงโดยใช้เวลาไม่นาน เขาก็จัดวางรอบๆ แล้วจึงนั่งขัดสมาธิ ค้นคว้าตราประทับวิญญาณนี้

เขารู้ว่าตัวเองทำไมจึงทำให้ตราประทับวิญญาณเกิดขึ้นได้มากมายเช่นนี้ในเวลาสั้นๆ เรื่องนี้เกี่ยวพันโดยตรงกับการมีอยู่ของเขาจักรพรรดิภูต จะอย่างไรแล้วทั้งสองในด้านหนึ่งก็มีต้นกำเนิดเดียวกัน

ท่ามกลางการศึกษาค้นคว้าของสวี่ชิงเวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้เอง เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามวัน

ในคืนวันที่สาม หวงอี้คุนมาแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เต็มใจ หลังจากมาถึงก็ยื่นแผ่นหยกให้สวี่ชิง ทิ้งไว้ประโยคหนึ่งก็จากไปอย่างรวดเร็ว

“ท่านบรรพจารย์ให้ข้าเอามาให้เจ้า!”

บรรพจารย์ของหวงอี้คุนย่อมเป็นจอมเซียนจื่อเสวียน

สวี่ชิงหยิบแผ่นหยกขึ้นมาอย่างลังเล เงียบนิ่งไปครู่หนึ่งก็ถ่ายทอดจิตเทพเข้าไป ทันใดนั้นในสมองก็มีเสียงยั่วยวนที่แฝงด้วยความเกียจคร้านของจอมเซียนจื่อเสวียนดังขึ้น

“สหายตัวน้อย คิดถึงพี่สาวหรือไม่”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

“ของกำนัลที่เจ้าส่งมาให้ข้าก่อนไป ข้าชอบมากๆ เลย”

สวี่ชิงเงยหน้า มองไปทางเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ เขาคิดว่านายกองน่าจะไปทางนั้น

“เจ้าส่งจดหมายให้พี่สาว พี่สาวก็อ่านแล้ว เจ้าเนี่ยนะ ปกติแล้วมองไม่ออก เวลาเขียนจดหมายคำพูดคำจากลับอาจหาญนัก…เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการแข็งแกร่ง ไม่อยากได้ยินคำซุบซิบนินทา ในสำนักพวกเราพบกันลำบาก หวังว่าจะใช้จดหมายพูดคุยกัน ให้ข้าส่งจดหมายให้เจ้าไม่ใช่หรือ ข้าก็ให้หวงอี้คุนมาส่งให้เจ้าแล้ว”

สวี่ชิงดวงตาเบิกกว้างทันที

“นอกจากนี้เห็นแก่ในจดหมายที่เจ้าอ้อนวอนให้กับเฉินเอ้อร์หนิวขนาดนั้น กระทั่งว่าไม่เสียดายที่จะสัญญากับข้ามากมายหลายเรื่องขนาดนั้น สำหรับเรื่องของเขาก็ช่างเถิด ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาชั่วคราว แต่เรื่องที่เจ้าสัญญากับข้า ห้ามลืมเด็ดขาดเลยนะ”

สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่

“ครั้งนี้ข้าฟังเจ้า ไม่ไปเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะแล้ว เช่นนั้นคนของสำนักโลกันต์ทมิฬ เจ้าก็ช่วยข้าดูแลหน่อยก็แล้วกัน

“จากนั้นก็รีบๆ กลับมา…ส่วนคำเรียกที่เจ้าร้องขอให้ข้าเรียกในจดหมาย สหายตัวน้อยเจ้านี่เชี่ยวชาญเสียจริง แต่เรื่องนี้ยังไม่ได้ ดูการกระทำของเจ้าในภายหลัง”

เส้นเลือดที่หน้าผากสวี่ชิงปูดโปน เงียบนิ่งอยู่นาน หลังจากที่สงบจิตใจได้ เขาก็หยิบตำราไม้ไผ่ออกมา หาชื่อของนายกองที่อยู่บนนั้น แล้วขีดเครื่องหมายคำถามที่อยู่ข้างหลังชื่อเขาทิ้งอย่างเต็มแรง

[1] มังกรเจียว หรือมังกรวารี เป็นสัตว์ในเทพนิยายจีน มีลักษณะคล้ายมังกร แต่มีเขาเดียวหรืออาจจะไม่มีเขา อาศัยอยู่ใต้แหล่งน้ำจืดลึกๆ เช่นแม่น้ำหรือทะเลสาบ เมื่อบำเพ็ญเพียรครบพันปีจะออกจากแม่น้ำสู่ทะเลกลายร่างเป็นมังกร เจียวถูกมองว่าเป็นสัตว์ร้าย สร้างภัยพิบัติให้กับมนุษย์

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท