บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1350 แส้ทัณฑ์สวรรค์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1350 แส้ทัณฑ์สวรรค์

บทที่ 1350 แส้ทัณฑ์สวรรค์

เทวาคารบรรลุเทพ

เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากยอดแท่นบูชาอีกราวสิบสามลี้ครึ่ง สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็หยุดเคลื่อนไหว ทุกคนต่างมองออกไปไกลพร้อมกัน เบื้องหน้าปรากฏร่างของซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวยืนเคียงข้างกันอยู่ที่นั่น

ทั้งสองฝ่ายสบตากัน ก่อให้เกิดแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวและกดดันปกคลุมไปทั่วบริเวณ

เส้นทางหินปูนที่นำไปสู่แท่นบูชานั้นกว้างขวางและสูงเสียดฟ้า กลุ่มของพวกเขาอยู่ห่างกันเพียงหกลี้ ถ้านี่คือโลกภายนอก ระยะทางเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับราชันเซียนที่เข้าใจกฎแห่งปริภูมิ

ทว่าสำหรับเทวาคารบรรลุเทพ ระยะห่างสั้น ๆ นี้ เป็นเหมือนหุบเหวตามธรรมชาติ เหตุผลก็เพราะเทวาคารบรรลุเทพปกคลุมด้วยข้อจำกัดที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

แรงกดดันจากข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้ราชันเซียนไม่สามารถบินหรือทะยานผ่านห้วงมิติได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ดังนั้นแม้พวกเขาจะเผชิญหน้ากันโดยที่ห่างจากกันราวหกลี้ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้เปิดฉากต่อสู้

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อเข้าสู่การต่อสู้ พวกเขาไม่เพียงแค่ต้องรับมือกับศัตรู แต่ยังต้องต้านทานพลังของข้อจำกัดที่เติมเต็มบริเวณโดยรอบด้วย สถานการณ์ดังกล่าวจะจำกัดความแข็งแกร่งในการต่อสู้อย่างมาก

ในขณะนี้ เฉินซีก็หยุดเช่นกัน

ทว่าสายตาของชายหนุ่มไม่ได้หันไปทางซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียว แต่เหลือบมองออกไปไกลกว่านั้น มันกวาดผ่านยอดของเทวาคารบรรลุเทพ และจดจ้องไปยังท้องฟ้าอันวุ่นวาย

กลิ่นอายที่ทำให้รู้สึกโกรธแค้นและความเกลียดชังถูกซ่อนอยู่ที่นั่น และมันทำให้เขาแทบจะควบคุมความรู้สึกชั่วร้ายในหัวใจไว้ไม่อยู่

เหตุผลก็คือ แม้ว่าความรู้สึกโกรธ ความเกลียดชัง และความเหี้ยมโหดเหล่านั้นจะแล่นไปทั่วร่างกายของเฉินซี แต่มันก็ไม่ได้เป็นของเขา… มันมาจากชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลาก!

ท่ามกลางบรรยากาศการเผชิญหน้าที่เคร่งเครียด สืออวี๋ เตียนเตี้ยน เซียงหลิวหลี และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ต่างก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องเฉินซีที่อยู่ทางด้านหลัง ทั้งยังยืนเผชิญหน้ากับซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวจากระยะไกล

สีหน้าท่าทางทั้งหมดของพวกเขาไม่แยแสและสงบ

ถึงอย่างนั้น พลังลมปราณอันน่าสะพรึงกลัวของราชันเซียนกำลังไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของพวกเขาจนถึงขีดสุด และมันเปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างอย่างมหาศาล!

ในเวลานั้น รอยแยกห้วงมิติมากมายได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทันใดนั้นเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นทุกรูปแบบ ห้วงมิติเกิดความผันผวน ในขณะที่กระแสเวลาตกสู่ความโกลาหล ทั้งยังเต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญของภูตผี เสียงฟ้าร้องลั่นคำราม และมหาเต๋าก็ดังก้องกังวาน มันช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจอย่างยิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาถูกยับยั้งด้วยพลังของข้อจำกัดที่อยู่รอบตัว และมันกดพลังของพวกเขาอย่างมาก ซึ่งหากอยู่ในโลกภายนอก พลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากการเผชิญหน้ากัน ก็เพียงพอที่จะทำลายสภาพแวดล้อมโดยรอบได้

นี่คือพลังของราชันเซียน มันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต พวกเขายืนอยู่ที่จุดสูงสุดของสามภพ เสมือนกับราชาที่ปกครองใต้หล้า และเพียงแค่โคจรลมปราณเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เกิดเสียงคร่ำครวญแห่งหายนะ หรือแม้แต่มหาเต๋าก็ยังพังทลาย!

“ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะสามารถมาที่นี่ได้จริง ๆ นับว่าไม่เลว ไม่เลว” ทันใดนั้น ซุ่ยเหรินถิงก็กล่าวขึ้น ผมสีแดงเข้มปัดปลิวด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมร่างและใบหน้าที่หล่อเหลาไม่มีใครเทียบก็เผยสีหน้าอาฆาตพยาบาท ซึ่งกดขี่อย่างยิ่ง

ขณะที่กล่าว เจดีย์หยกดำก็ลอยขึ้นมาบนฝ่ามือซ้ายอย่างเงียบงัน ในขณะที่มือขวาถือกระจกสัมฤทธิ์โบราณ กระจกนี้มีขนาดประมาณฝ่ามือ และเปล่งแสงอันน่าสยดสยองออกมา

เจดีย์วิถีพญาปราชญ์!

กระจกปฐพีไร้ขอบเขต !

สมบัติศักดิ์สิทธิ์จากนิกายอำนาจเทวะ!

ในเวลาเดียวกัน เจี้ยงหลิงเซียวที่ยืนอยู่ข้างกายก็ทัดผมที่ข้างหูของนางก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ แส้สีเหลืองเข้มที่ขดอยู่รอบนิ้วเรียวยาว มันมีความยาวกว่าสี่ฉื่อ ปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยอักขระที่ลึกลับและลึกล้ำนับไม่ถ้วน

ทันทีที่มันปรากฏกลางอากาศ กลิ่นอายของการพิพากษา การฆ่า และความไร้ปรานี ราวกับทัณฑ์สวรรค์ถูกกอบกุมไว้ในมือของนาง ทำให้ดวงวิญญาณของผู้คนสั่นสะท้านคล้ายกลายเป็นนักโทษที่กำลังรอรับโทษ

แส้ทัณฑ์สวรรค์!

แส้นี้เรียกอีกอย่างว่าแส้โบยเทวา มันสามารถใช้พลังของทัณฑ์สวรรค์ และเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงของนิกายอำนาจเทวะที่ได้รับการสืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล

“ข้าก็คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะหาญกล้าดักรอเราอยู่ที่นี่” สืออวี๋หัวเราะเสียงเย็น ใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทางถือดี

เป็นเพราะเขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวจะมีความกล้าพอที่จะดักรอพวกตนอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังดูต้องการตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้

แต่กลุ่มของสืออวี๋มีราชันเซียนถึงสี่คน!

ไม่ว่าจะเป็นตัวสืออวี๋เองหรือเซียงหลิวหลี ทั้งคู่ต่างมั่นใจว่าสามารถต่อสู้ตัวต่อตัวกับกับซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวได้อย่างสูสี และถ้าเพิ่มราชันเซียนรัตติกาลกับมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เข้าไปด้วย ตราบใดที่การต่อสู้นี้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถเอาชนะซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวได้

ดังนั้นเมื่อเห็นว่าซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวไม่ได้เร่งรีบขึ้นไปบนยอดของเทวาคาร แต่กลับรออยู่ที่นี่เพื่อตัดสินผลแพ้ชนะครั้งสุดท้ายกับพวกเขา สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อาจสงบจิตใจได้เช่นกัน

ในขณะที่กล่าว สืออวี๋ก็ชักกระบี่เทพลึกลับและศิลาเบญจรงค์ เซียงหลิวหลีเตรียมมงกุฎหยกเก้ากระจ่าง เตียนเตี้ยนกำขวานศึกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็ควงขวานยักษ์สีดำสนิท

ในชั่วพริบตา สมบัติต่าง ๆ ก็เปล่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์และรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ปรากฏเป็นฉากที่วิจิตรงดงาม

“บางครั้งเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เปรียบได้กับความตาย เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้” ซุ่ยเหรินถิงกล่าวอย่างเฉยเมย เปลวเพลิงรอบกายเปล่งประกายเจิดจ้าและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเป็นดั่งเทพอัคคี สายตาที่จดจ้องไปทางสืออวี๋และคนอื่น ๆ ดุจสายฟ้าสีแดงที่ลุกเป็นไฟ “หยุดกล่าววาจาผายลมได้แล้ว เจ้ากล้าต่อสู้กับข้าหรือไม่?”

“เจ้ากล้ามาสู้กับข้าหรือ!”

“มาสู้กับข้า!”

“สู้กับข้า!”

เสียงสะท้อนดังก้องไปทั่วบริเวณ

“ฮ่า ๆ ๆ! ทำไมจะไม่ล่ะ?” สืออวี๋กู่ร้อง เสียงของเขาสั่นสะเทือนท้องฟ้า และต้านทานแรงกดดันจากข้อจำกัด ขณะที่ก้าวใหญ่ ๆ ไปข้างหน้า

ชิ้ง!

กระบี่เทพลึกลับฉีกท้องฟ้าขณะที่เขาชี้ไปที่ซุ่ยเหรินถิงจากระยะไกล จากนั้นปราณกระบี่ก็ปะทุออกมาจากมัน ปราณกระบี่ได้ฉีกข้อจำกัดออกทีละชั้นอย่างแรง ขณะที่มันฟันลงไปที่ซุ่ยเหรินถิง

การต่อสู้ปะทุขึ้นทันที!

โอม!

เสียงกู่ร้องดังก้องกังวาน ซุ่ยเหรินถิงทำลายห้วงมิติโดยรอบด้วยเจดีย์วิถีพญาปราชญ์ที่อยู่ในมือ

ตัวเขาเองก็ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงมหึมาซึ่งกระจายข้อจำกัดออกไปโดยรอบ เหมือนกับฉากของเตาหลอมนิรันดร์แห่งความโกลาหลที่ปลดปล่อยแก่นแท้ของมัน พร้อมกับเจดีย์ที่เปล่งแสงสีดำสนิทออกมา

ครืน!

ปราณกระบี่และเจดีย์เพลิงปะทะกัน ส่งผลให้กฎแห่งราชันเซียนส่งเสียงดังกึกก้องและลุกไหม้ ซึ่งแม้แต่ฟ้าดินก็สั่นสะเทือน

โชคดีที่เทวาคารบรรลุเทพตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มาชั่วนิรันดร์ เพราะหากเป็นสถานที่อื่น มันก็คงจะพังทลายสู่ความว่างเปล่าไปนานแล้ว

“ฮึ่ม!” ร่างสูงโปร่งของสืออวี๋ก้าวไปข้างหน้าประหนึ่งการเสด็จของราชา เข้าใกล้ซุ่ยเหรินถิงมากขึ้นเรื่อย ๆ

กระบี่เทพลึกลับฉีกผ่านท้องฟ้าและระเบิดปราณกระบี่มากมาย ซึ่งปราณกระบี่แต่ละเล่มก็เหมือนกับแสงศักดิ์สิทธิ์ของราชันเซียนที่พร่างพราย

เมื่อมองจากระยะไกล ร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยปราณกระบี่นับไม่ถ้วน พวกมันเปล่งประกายเจิดจ้า เหมือนกลุ่มดาวหางที่เคลื่อนตัวไปในจักรวาล ซึ่งเจิดจ้าจนยากจะมองเห็น!

คนอื่น ๆ ต่างสัมผัสได้ว่าข้อจำกัดที่กระจายอยู่ทั่วเทวาคารบรรลุเทพนั่นถูกทำลายลงโดยการโจมตีเหล่านี้ ซึ่งก่อให้แรงสั่นสะเทือนที่น่าตกใจอย่างไม่มีใครเทียบได้

“สืออวี๋ในฐานะศิษย์พิทักษ์เต๋าของตำหนักเต๋าหนี่หวา นี่คือทั้งหมดที่เจ้ามีหรือ? หากเป็นเช่นนั้น วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!” ซุ่ยเหรินถิงคำรามเสียงดัง เส้นผมสีแดงเข้มพลิ้วไสว และกลิ่นอายในร่างกายก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง ขณะที่เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งความหายนะอันไร้ขอบเขต

แม้จะดูเลือนราง แต่กลับมีรูปปั้นโบราณที่น่าสะพรึงเหลือคณนาปรากฏอยู่ข้างเคียง พวกมันสง่างามและไม่แยแส ทั้งยังมีกลิ่นอายมหาศาล ประหนึ่งกลุ่มเทพอารักขา และสยบทุกสรรพสิ่งในโลก

โครม!

ซุ่ยเหรินถิงถือเจดีย์วิถีพญาปราชญ์ไว้ในมือ ในขณะที่สร้างผนึกศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว ผนึกนั้นบดขยี้ลงมาจากฟากฟ้า ทำให้ฟ้าดินพังทลาย ภัยพิบัติถาโถมประหนึ่งแม่น้ำในเก้าชั้นฟ้ากำลังหลั่งไหลลงมา

ทันใดนั้น ทั้งสองต่างติดอยู่ในการต่อสู้ เสียงปะทะสั่นสะเทือนไปถึงเก้าชั้นฟ้า ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย

ข้อจำกัดถูกทำลายและแตกเป็นเสี่ยง ๆ รอยแยกมิติจำนวนนับไม่ถ้วนเปิดออก ส่งผลให้มิติและเวลาตกอยู่ในความโกลาหล ทั้งยังเกิดสายฟ้าโหมกระหน่ำ ประหนึ่งจุดสิ้นสุดของโลกมาถึง

ทวยเทพคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เหล่าอสูรและปีศาจต่างร้องคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า ฝนโลหิตโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวไปทั่วนภา… ทั้งหมดนี้ไม่มีอยู่จริง และเป็นปรากฏการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากการปะทะกันของราชันเซียนทั้งสอง คล้ายการต่อสู้ระหว่างสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ในยุคบรรพกาลได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

โครม!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ตวัดขวานยักษ์สีดำสนิท และก้าวเท้าไปตามตำแหน่งของหมู่ดาวคันไถ เขาพุ่งผ่านอากาศในขณะที่ขวานยักษ์ดูเหมือนขุนเขาที่กำลังเคลื่อนตัว ซึ่งทิ้งภาพติดตาไว้ในอากาศมากมาย พร้อมกับเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างซุ่ยเหรินถิงกับสืออวี๋

“แม่นางเซียงหลิว เรามาสนุกกันสักหน่อยดีหรือไม่?” ในอีกด้านหนึ่ง เจี้ยงหลิงเซียวสะบัดแส้โบยเทวา มันทะยานผ่านอากาศดุจทัณฑ์สวรรค์ และฟาดใส่เซียงหลิวหลี

วู~ วู~ วู~

ทันทีที่ใช้แส้โบยเทวา มันก็เหมือนกับฟ้าดินกำลังถูกพิพากษา เผยให้เห็นกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้ทวยเทพและอสูรคร่ำครวญ ซึ่งดวงดาวก็ร่วงหล่นลงมาพร้อมกับอานุภาพทำลายล้างที่ไม่อาจจินตนาการได้

“ข้ากำลังต้องการอยู่พอดี!” เซียงหลิวหลีเขย่ามงกุฎหยกเก้ากระจ่าง ทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปทั่วฟ้า บังเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เก่าแก่และคลุมเครือมากมายที่พุ่งไปทางเจี้ยงหลิงเซียว

“อย่าลืมนับข้าด้วยสิ” ราชันเซียนรัตติกาลใช้ขวานศึกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ บังเกิดเป็นเงาจันทร์เสี้ยวสีม่วงมากมายส่องประกายอันคมกริบ ขณะที่พวกมันบดขยี้ลงมาราวกับปราณม่วงที่มาจากทิศตะวันออก

ตู้ม!

การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์ สืออวี๋และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับซุ่ยเหรินถิง ในขณะที่เซียงหลิวหลีและราชันเซียนรัตติกาลกำลังต่อสู้กับเจี้ยงหลิงเซียว

ณ ขณะนั้น อานุภาพศักดิ์สิทธิ์บังเกิดเสียงดังกัมปนาท แสงของสมบัติพร่างพรายจนตาพร่า

แสงอันเจิดจ้าส่องสว่างไปทั่วทั้งโลกาจนเกิดภาพอันงดงาม ฟ้าดินพร่ามัว และปกคลุมไปด้วยคลื่นพลังผันผวนอันน่าสะพรึงจากการต่อสู้ จิตสังหารอันไร้ที่เปรียบก็แทบจะทำลายโลกเป็นชิ้น ๆ!

การต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อยู่เหนือจินตนาการ หากเกิดขึ้นในโลกภายนอก ก็อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติอันไร้ขอบเขต และทำให้ทั้งสามภพสั่นสะเทือน

โชคดีที่นี่คือเทวาคารบรรลุเทพที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย และข้อจำกัดเหล่านี้ได้สลายคลื่นพลังทำลายส่วนใหญ่จากการต่อสู้ ทำให้เทวาคารบรรลุเทพยังคงสามารถตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นได้

เฉินซียืนอยู่บนถนนหินปูน ไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ใด ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเตียนเตี้ยนคอยเฝ้าระวัง และช่วยจัดการกับอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต

อีกส่วนหนึ่ง เป็นเพราะร่างกายของเฉินซีเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายคลุมเครือของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก มันไม่เพียงต้านทานและจัดการกับแรงกดดันจากข้อจำกัดเหล่านั้น แต่ยังทำให้คลื่นพลังทำลายล้างไม่สามารถแตะต้องเขาได้

เฉินซีไม่รู้สึกใด ๆ ต่อการต่อสู้ระหว่างราชันเซียนที่สะท้านฟ้าดิน ใบหน้าที่หล่อเหลาปกคลุมไปด้วยความสงบและไม่แยแส

สายตาของเขาไม่ได้จดจ้องที่การต่อสู้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับมองไปยังยอดของเทวาคารที่อยู่ไกลออกไปไม่วางตา

ทว่าการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัว และแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างไสวไปทั้งฟ้าดิน ได้บดบังวิสัยทัศน์ของเฉินซี ทำให้ไม่สามารถมองยอดเทวาคารได้ชัดเจน

แต่พร้อมกับคลื่นเสียงดังกึกก้องจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ดวงตาแนวตั้งก็เปิดขึ้นบนหน้าผากของเฉินซีอย่างเงียบงัน มันทั้งลุ่มลึก เย็นชา และไม่แยแส

ทันใดนั้น วิสัยทัศ์ของเขาก็ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง

ดวงตาที่หน้าผากของเฉินซีได้กวาดไปยังท้องฟ้าอันวุ่นวาย จู่ ๆ ก็มีดวงตาคู่หนึ่งจดจ้องตนจากระยะไกล!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท