บทที่ 1350 แส้ทัณฑ์สวรรค์
บทที่ 1350 แส้ทัณฑ์สวรรค์
เทวาคารบรรลุเทพ
เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากยอดแท่นบูชาอีกราวสิบสามลี้ครึ่ง สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็หยุดเคลื่อนไหว ทุกคนต่างมองออกไปไกลพร้อมกัน เบื้องหน้าปรากฏร่างของซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวยืนเคียงข้างกันอยู่ที่นั่น
ทั้งสองฝ่ายสบตากัน ก่อให้เกิดแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวและกดดันปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เส้นทางหินปูนที่นำไปสู่แท่นบูชานั้นกว้างขวางและสูงเสียดฟ้า กลุ่มของพวกเขาอยู่ห่างกันเพียงหกลี้ ถ้านี่คือโลกภายนอก ระยะทางเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับราชันเซียนที่เข้าใจกฎแห่งปริภูมิ
ทว่าสำหรับเทวาคารบรรลุเทพ ระยะห่างสั้น ๆ นี้ เป็นเหมือนหุบเหวตามธรรมชาติ เหตุผลก็เพราะเทวาคารบรรลุเทพปกคลุมด้วยข้อจำกัดที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
แรงกดดันจากข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้ราชันเซียนไม่สามารถบินหรือทะยานผ่านห้วงมิติได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามันน่าสะพรึงกลัวเพียงใด ดังนั้นแม้พวกเขาจะเผชิญหน้ากันโดยที่ห่างจากกันราวหกลี้ แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้เปิดฉากต่อสู้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อเข้าสู่การต่อสู้ พวกเขาไม่เพียงแค่ต้องรับมือกับศัตรู แต่ยังต้องต้านทานพลังของข้อจำกัดที่เติมเต็มบริเวณโดยรอบด้วย สถานการณ์ดังกล่าวจะจำกัดความแข็งแกร่งในการต่อสู้อย่างมาก
…
ในขณะนี้ เฉินซีก็หยุดเช่นกัน
ทว่าสายตาของชายหนุ่มไม่ได้หันไปทางซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียว แต่เหลือบมองออกไปไกลกว่านั้น มันกวาดผ่านยอดของเทวาคารบรรลุเทพ และจดจ้องไปยังท้องฟ้าอันวุ่นวาย
กลิ่นอายที่ทำให้รู้สึกโกรธแค้นและความเกลียดชังถูกซ่อนอยู่ที่นั่น และมันทำให้เขาแทบจะควบคุมความรู้สึกชั่วร้ายในหัวใจไว้ไม่อยู่
เหตุผลก็คือ แม้ว่าความรู้สึกโกรธ ความเกลียดชัง และความเหี้ยมโหดเหล่านั้นจะแล่นไปทั่วร่างกายของเฉินซี แต่มันก็ไม่ได้เป็นของเขา… มันมาจากชิ้นส่วนของแผนภาพวารีหลาก!
…
ท่ามกลางบรรยากาศการเผชิญหน้าที่เคร่งเครียด สืออวี๋ เตียนเตี้ยน เซียงหลิวหลี และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ต่างก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องเฉินซีที่อยู่ทางด้านหลัง ทั้งยังยืนเผชิญหน้ากับซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวจากระยะไกล
สีหน้าท่าทางทั้งหมดของพวกเขาไม่แยแสและสงบ
ถึงอย่างนั้น พลังลมปราณอันน่าสะพรึงกลัวของราชันเซียนกำลังไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของพวกเขาจนถึงขีดสุด และมันเปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างอย่างมหาศาล!
ในเวลานั้น รอยแยกห้วงมิติมากมายได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ทันใดนั้นเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นทุกรูปแบบ ห้วงมิติเกิดความผันผวน ในขณะที่กระแสเวลาตกสู่ความโกลาหล ทั้งยังเต็มไปด้วยเสียงคร่ำครวญของภูตผี เสียงฟ้าร้องลั่นคำราม และมหาเต๋าก็ดังก้องกังวาน มันช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาถูกยับยั้งด้วยพลังของข้อจำกัดที่อยู่รอบตัว และมันกดพลังของพวกเขาอย่างมาก ซึ่งหากอยู่ในโลกภายนอก พลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากการเผชิญหน้ากัน ก็เพียงพอที่จะทำลายสภาพแวดล้อมโดยรอบได้
นี่คือพลังของราชันเซียน มันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต พวกเขายืนอยู่ที่จุดสูงสุดของสามภพ เสมือนกับราชาที่ปกครองใต้หล้า และเพียงแค่โคจรลมปราณเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เกิดเสียงคร่ำครวญแห่งหายนะ หรือแม้แต่มหาเต๋าก็ยังพังทลาย!
“ไม่คิดเลยว่าพวกเจ้าจะสามารถมาที่นี่ได้จริง ๆ นับว่าไม่เลว ไม่เลว” ทันใดนั้น ซุ่ยเหรินถิงก็กล่าวขึ้น ผมสีแดงเข้มปัดปลิวด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมร่างและใบหน้าที่หล่อเหลาไม่มีใครเทียบก็เผยสีหน้าอาฆาตพยาบาท ซึ่งกดขี่อย่างยิ่ง
ขณะที่กล่าว เจดีย์หยกดำก็ลอยขึ้นมาบนฝ่ามือซ้ายอย่างเงียบงัน ในขณะที่มือขวาถือกระจกสัมฤทธิ์โบราณ กระจกนี้มีขนาดประมาณฝ่ามือ และเปล่งแสงอันน่าสยดสยองออกมา
เจดีย์วิถีพญาปราชญ์!
กระจกปฐพีไร้ขอบเขต !
สมบัติศักดิ์สิทธิ์จากนิกายอำนาจเทวะ!
ในเวลาเดียวกัน เจี้ยงหลิงเซียวที่ยืนอยู่ข้างกายก็ทัดผมที่ข้างหูของนางก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ แส้สีเหลืองเข้มที่ขดอยู่รอบนิ้วเรียวยาว มันมีความยาวกว่าสี่ฉื่อ ปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยอักขระที่ลึกลับและลึกล้ำนับไม่ถ้วน
ทันทีที่มันปรากฏกลางอากาศ กลิ่นอายของการพิพากษา การฆ่า และความไร้ปรานี ราวกับทัณฑ์สวรรค์ถูกกอบกุมไว้ในมือของนาง ทำให้ดวงวิญญาณของผู้คนสั่นสะท้านคล้ายกลายเป็นนักโทษที่กำลังรอรับโทษ
แส้ทัณฑ์สวรรค์!
แส้นี้เรียกอีกอย่างว่าแส้โบยเทวา มันสามารถใช้พลังของทัณฑ์สวรรค์ และเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงของนิกายอำนาจเทวะที่ได้รับการสืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล
“ข้าก็คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะหาญกล้าดักรอเราอยู่ที่นี่” สืออวี๋หัวเราะเสียงเย็น ใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทางถือดี
เป็นเพราะเขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวจะมีความกล้าพอที่จะดักรอพวกตนอยู่ที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังดูต้องการตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้
แต่กลุ่มของสืออวี๋มีราชันเซียนถึงสี่คน!
ไม่ว่าจะเป็นตัวสืออวี๋เองหรือเซียงหลิวหลี ทั้งคู่ต่างมั่นใจว่าสามารถต่อสู้ตัวต่อตัวกับกับซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวได้อย่างสูสี และถ้าเพิ่มราชันเซียนรัตติกาลกับมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์เข้าไปด้วย ตราบใดที่การต่อสู้นี้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถเอาชนะซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวได้
ดังนั้นเมื่อเห็นว่าซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวไม่ได้เร่งรีบขึ้นไปบนยอดของเทวาคาร แต่กลับรออยู่ที่นี่เพื่อตัดสินผลแพ้ชนะครั้งสุดท้ายกับพวกเขา สืออวี๋และคนอื่น ๆ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อาจสงบจิตใจได้เช่นกัน
ในขณะที่กล่าว สืออวี๋ก็ชักกระบี่เทพลึกลับและศิลาเบญจรงค์ เซียงหลิวหลีเตรียมมงกุฎหยกเก้ากระจ่าง เตียนเตี้ยนกำขวานศึกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ก็ควงขวานยักษ์สีดำสนิท
ในชั่วพริบตา สมบัติต่าง ๆ ก็เปล่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์และรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ปรากฏเป็นฉากที่วิจิตรงดงาม
“บางครั้งเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เปรียบได้กับความตาย เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้” ซุ่ยเหรินถิงกล่าวอย่างเฉยเมย เปลวเพลิงรอบกายเปล่งประกายเจิดจ้าและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเป็นดั่งเทพอัคคี สายตาที่จดจ้องไปทางสืออวี๋และคนอื่น ๆ ดุจสายฟ้าสีแดงที่ลุกเป็นไฟ “หยุดกล่าววาจาผายลมได้แล้ว เจ้ากล้าต่อสู้กับข้าหรือไม่?”
“เจ้ากล้ามาสู้กับข้าหรือ!”
“มาสู้กับข้า!”
“สู้กับข้า!”
เสียงสะท้อนดังก้องไปทั่วบริเวณ
“ฮ่า ๆ ๆ! ทำไมจะไม่ล่ะ?” สืออวี๋กู่ร้อง เสียงของเขาสั่นสะเทือนท้องฟ้า และต้านทานแรงกดดันจากข้อจำกัด ขณะที่ก้าวใหญ่ ๆ ไปข้างหน้า
ชิ้ง!
กระบี่เทพลึกลับฉีกท้องฟ้าขณะที่เขาชี้ไปที่ซุ่ยเหรินถิงจากระยะไกล จากนั้นปราณกระบี่ก็ปะทุออกมาจากมัน ปราณกระบี่ได้ฉีกข้อจำกัดออกทีละชั้นอย่างแรง ขณะที่มันฟันลงไปที่ซุ่ยเหรินถิง
การต่อสู้ปะทุขึ้นทันที!
โอม!
เสียงกู่ร้องดังก้องกังวาน ซุ่ยเหรินถิงทำลายห้วงมิติโดยรอบด้วยเจดีย์วิถีพญาปราชญ์ที่อยู่ในมือ
ตัวเขาเองก็ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงมหึมาซึ่งกระจายข้อจำกัดออกไปโดยรอบ เหมือนกับฉากของเตาหลอมนิรันดร์แห่งความโกลาหลที่ปลดปล่อยแก่นแท้ของมัน พร้อมกับเจดีย์ที่เปล่งแสงสีดำสนิทออกมา
ครืน!
ปราณกระบี่และเจดีย์เพลิงปะทะกัน ส่งผลให้กฎแห่งราชันเซียนส่งเสียงดังกึกก้องและลุกไหม้ ซึ่งแม้แต่ฟ้าดินก็สั่นสะเทือน
โชคดีที่เทวาคารบรรลุเทพตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มาชั่วนิรันดร์ เพราะหากเป็นสถานที่อื่น มันก็คงจะพังทลายสู่ความว่างเปล่าไปนานแล้ว
“ฮึ่ม!” ร่างสูงโปร่งของสืออวี๋ก้าวไปข้างหน้าประหนึ่งการเสด็จของราชา เข้าใกล้ซุ่ยเหรินถิงมากขึ้นเรื่อย ๆ
กระบี่เทพลึกลับฉีกผ่านท้องฟ้าและระเบิดปราณกระบี่มากมาย ซึ่งปราณกระบี่แต่ละเล่มก็เหมือนกับแสงศักดิ์สิทธิ์ของราชันเซียนที่พร่างพราย
เมื่อมองจากระยะไกล ร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยปราณกระบี่นับไม่ถ้วน พวกมันเปล่งประกายเจิดจ้า เหมือนกลุ่มดาวหางที่เคลื่อนตัวไปในจักรวาล ซึ่งเจิดจ้าจนยากจะมองเห็น!
คนอื่น ๆ ต่างสัมผัสได้ว่าข้อจำกัดที่กระจายอยู่ทั่วเทวาคารบรรลุเทพนั่นถูกทำลายลงโดยการโจมตีเหล่านี้ ซึ่งก่อให้แรงสั่นสะเทือนที่น่าตกใจอย่างไม่มีใครเทียบได้
“สืออวี๋ในฐานะศิษย์พิทักษ์เต๋าของตำหนักเต๋าหนี่หวา นี่คือทั้งหมดที่เจ้ามีหรือ? หากเป็นเช่นนั้น วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!” ซุ่ยเหรินถิงคำรามเสียงดัง เส้นผมสีแดงเข้มพลิ้วไสว และกลิ่นอายในร่างกายก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง ขณะที่เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งความหายนะอันไร้ขอบเขต
แม้จะดูเลือนราง แต่กลับมีรูปปั้นโบราณที่น่าสะพรึงเหลือคณนาปรากฏอยู่ข้างเคียง พวกมันสง่างามและไม่แยแส ทั้งยังมีกลิ่นอายมหาศาล ประหนึ่งกลุ่มเทพอารักขา และสยบทุกสรรพสิ่งในโลก
โครม!
ซุ่ยเหรินถิงถือเจดีย์วิถีพญาปราชญ์ไว้ในมือ ในขณะที่สร้างผนึกศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว ผนึกนั้นบดขยี้ลงมาจากฟากฟ้า ทำให้ฟ้าดินพังทลาย ภัยพิบัติถาโถมประหนึ่งแม่น้ำในเก้าชั้นฟ้ากำลังหลั่งไหลลงมา
ทันใดนั้น ทั้งสองต่างติดอยู่ในการต่อสู้ เสียงปะทะสั่นสะเทือนไปถึงเก้าชั้นฟ้า ทำให้เกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัวมากมาย
ข้อจำกัดถูกทำลายและแตกเป็นเสี่ยง ๆ รอยแยกมิติจำนวนนับไม่ถ้วนเปิดออก ส่งผลให้มิติและเวลาตกอยู่ในความโกลาหล ทั้งยังเกิดสายฟ้าโหมกระหน่ำ ประหนึ่งจุดสิ้นสุดของโลกมาถึง
ทวยเทพคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เหล่าอสูรและปีศาจต่างร้องคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้า ฝนโลหิตโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า ในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวไปทั่วนภา… ทั้งหมดนี้ไม่มีอยู่จริง และเป็นปรากฏการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดจากการปะทะกันของราชันเซียนทั้งสอง คล้ายการต่อสู้ระหว่างสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ในยุคบรรพกาลได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
โครม!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง มหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ตวัดขวานยักษ์สีดำสนิท และก้าวเท้าไปตามตำแหน่งของหมู่ดาวคันไถ เขาพุ่งผ่านอากาศในขณะที่ขวานยักษ์ดูเหมือนขุนเขาที่กำลังเคลื่อนตัว ซึ่งทิ้งภาพติดตาไว้ในอากาศมากมาย พร้อมกับเข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างซุ่ยเหรินถิงกับสืออวี๋
“แม่นางเซียงหลิว เรามาสนุกกันสักหน่อยดีหรือไม่?” ในอีกด้านหนึ่ง เจี้ยงหลิงเซียวสะบัดแส้โบยเทวา มันทะยานผ่านอากาศดุจทัณฑ์สวรรค์ และฟาดใส่เซียงหลิวหลี
วู~ วู~ วู~
ทันทีที่ใช้แส้โบยเทวา มันก็เหมือนกับฟ้าดินกำลังถูกพิพากษา เผยให้เห็นกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้ทวยเทพและอสูรคร่ำครวญ ซึ่งดวงดาวก็ร่วงหล่นลงมาพร้อมกับอานุภาพทำลายล้างที่ไม่อาจจินตนาการได้
“ข้ากำลังต้องการอยู่พอดี!” เซียงหลิวหลีเขย่ามงกุฎหยกเก้ากระจ่าง ทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปทั่วฟ้า บังเกิดเป็นปรากฏการณ์ที่เก่าแก่และคลุมเครือมากมายที่พุ่งไปทางเจี้ยงหลิงเซียว
“อย่าลืมนับข้าด้วยสิ” ราชันเซียนรัตติกาลใช้ขวานศึกจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ บังเกิดเป็นเงาจันทร์เสี้ยวสีม่วงมากมายส่องประกายอันคมกริบ ขณะที่พวกมันบดขยี้ลงมาราวกับปราณม่วงที่มาจากทิศตะวันออก
ตู้ม!
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์ สืออวี๋และมหาปราชญ์ย่ำสวรรค์ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับซุ่ยเหรินถิง ในขณะที่เซียงหลิวหลีและราชันเซียนรัตติกาลกำลังต่อสู้กับเจี้ยงหลิงเซียว
ณ ขณะนั้น อานุภาพศักดิ์สิทธิ์บังเกิดเสียงดังกัมปนาท แสงของสมบัติพร่างพรายจนตาพร่า
แสงอันเจิดจ้าส่องสว่างไปทั่วทั้งโลกาจนเกิดภาพอันงดงาม ฟ้าดินพร่ามัว และปกคลุมไปด้วยคลื่นพลังผันผวนอันน่าสะพรึงจากการต่อสู้ จิตสังหารอันไร้ที่เปรียบก็แทบจะทำลายโลกเป็นชิ้น ๆ!
การต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้อยู่เหนือจินตนาการ หากเกิดขึ้นในโลกภายนอก ก็อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติอันไร้ขอบเขต และทำให้ทั้งสามภพสั่นสะเทือน
โชคดีที่นี่คือเทวาคารบรรลุเทพที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย และข้อจำกัดเหล่านี้ได้สลายคลื่นพลังทำลายส่วนใหญ่จากการต่อสู้ ทำให้เทวาคารบรรลุเทพยังคงสามารถตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นได้
เฉินซียืนอยู่บนถนนหินปูน ไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ใด ๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเตียนเตี้ยนคอยเฝ้าระวัง และช่วยจัดการกับอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต
อีกส่วนหนึ่ง เป็นเพราะร่างกายของเฉินซีเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายคลุมเครือของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก มันไม่เพียงต้านทานและจัดการกับแรงกดดันจากข้อจำกัดเหล่านั้น แต่ยังทำให้คลื่นพลังทำลายล้างไม่สามารถแตะต้องเขาได้
เฉินซีไม่รู้สึกใด ๆ ต่อการต่อสู้ระหว่างราชันเซียนที่สะท้านฟ้าดิน ใบหน้าที่หล่อเหลาปกคลุมไปด้วยความสงบและไม่แยแส
สายตาของเขาไม่ได้จดจ้องที่การต่อสู้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับมองไปยังยอดของเทวาคารที่อยู่ไกลออกไปไม่วางตา
ทว่าการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัว และแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างไสวไปทั้งฟ้าดิน ได้บดบังวิสัยทัศน์ของเฉินซี ทำให้ไม่สามารถมองยอดเทวาคารได้ชัดเจน
แต่พร้อมกับคลื่นเสียงดังกึกก้องจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ดวงตาแนวตั้งก็เปิดขึ้นบนหน้าผากของเฉินซีอย่างเงียบงัน มันทั้งลุ่มลึก เย็นชา และไม่แยแส
ทันใดนั้น วิสัยทัศ์ของเขาก็ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
ดวงตาที่หน้าผากของเฉินซีได้กวาดไปยังท้องฟ้าอันวุ่นวาย จู่ ๆ ก็มีดวงตาคู่หนึ่งจดจ้องตนจากระยะไกล!