บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1352 ธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1352 ธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์

บทที่ 1352 ธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์

ทันทีที่สิ้นคำ ซุนอู๋เหิ่นก็เข้าใจทันที อี้หรานเฟิงได้วางแผนร้ายไว้ตั้งแต่ต้น!

เมื่อเขาคิดถึงจุดนี้ สีหน้าของซุนอู๋เหิ่นก็กลายเป็นไม่น่าดู “ทำไมเจ้า… ถึงปล่อยข้า?”

อี้หรานเฟิงแสยะยิ้ม “เจ้าโง่ หากทั้งสามสิบหกข้อกำจัดของทวยเทพที่อยู่ในตำหนักบรรลุเทพไม่สูญเสียพลังไป เจ้าก็ควรตายตั้งแต่ข้อจำกัดอสรพิษจ้าววิญญาณแล้ว!”

นัยน์ตาของซุนอู๋เหิ่นหรี่ลง สีหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด พลางเค้นเสียงลอดไรฟัน “ทำไม?”

“เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ?” อี้หรานเฟิงหัวเราะดังสนั่น มองดูซุนอู๋เหิ่นราวกับว่ากำลังมองคนโง่ “เมื่อเจ้าปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะ ก็เหลือเพียงความตายที่รอเจ้าอยู่เท่านั้น”

สืออวี๋และคนอื่น ๆ เฝ้าดูอย่างเย็นชา และเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างทันที เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนี้ เกิดจากนิกายอำนาจเทวะ ยุยงให้เกิดความขัดแย้งระหว่างนิกายยุคแรกกำเนิด

“เจ้าสังหารสหายของเรา เพียงเพราะนิกายอำนาจเทวะ?” ดวงตาของซุนอู๋เหิ่นแทบจะทะลักออกจากเบ้า ค่อย ๆ เอ่ยถามทีละคำ

“กลียุคของทั้งสามภพกำลังจะอุบัติขึ้น ปัจจุบันซากโบราณสถานแรกกำเนิดได้ล่มสลายลงจนกลายเป็นสถานที่ซึ่งกลียุคเริ่มต้น เราทำเพื่อหาทางรอด และนิกายอำนาจเทวะก็คือทางรอดของเรา!” อี้หรานเฟิงยืนเอามือไพล่หลังขณะที่กล่าวอย่างสงบ ต้าวเหยาและผางตู่ต่างเห็นด้วยกับเขา

“เจ้าเชื่อพวกมันหรือ?” ทันใดนั้นซุนอู๋เหิ่นก็หัวเราะอย่างดูแคลน “มีใครในสามภพที่ไม่รู้บ้างว่านิกายอำนาจเทวะนั้นโหดเหี้ยม ไร้อารมณ์ และไร้หัวใจ? พวกเจ้าสามารถไว้วางใจนิกายอำนาจเทวะได้จริงหรือ? ฮ่า ๆ ๆ! ช่างน่าหัวเราะ! น่าหัวเราะเสียจริง!”

ขณะที่กล่าว ร่างของเขาก็สว่างวาบ พร้อมกับถือสมบัติรูปทรงแท่งสีเขียวเข้ม ทะยานขึ้นฟ้าขณะที่พุ่งเข้าใส่อี้หรานเฟิง

“ข้าจะฆ่าพวกแกทั้งหมด ไอ้สารเลว! แม้ข้าจะต้องละทิ้งวิธีกลายเป็นเทพก็ตาม!” เห็นได้ชัดว่าซุนอู๋เหิ่นโกรธจัดจนสูญเสียเหตุผลทั้งปวง

“ฮึ่ม! ในเมื่อเจ้ายืนกรานที่จะรนหาที่ตาย ข้าก็จะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงเอง” อี้หรานเฟิงเค้นเสียงเย็น

ทว่าก่อนจะได้ลงมือ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวและมหาศาลมาจากทางด้านข้าง ไม่มีโอกาสได้โต้ตอบ ลำคอก็ถูกมือปริศนากำไว้ จากนั้นศีรษะก็ถูกทุบอย่างแรง!

พรูด!

เลือดสีทองพู่งกระฉูดสาดกระเซ็นไปทั่วเจดีย์หยกสีดำโบราณที่ตกลงบนมือของซุ่ยเหรินถิง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วฉับพลันเกินไป!

ทุกคนไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าซุ่ยเหรินถิงจะลงมือเช่นนี้ คนผู้นั้นหักคอของอี้หรานเฟิงอย่างเลือดเย็น ส่งผลให้อีกฝ่ายสิ้นใจทันที!

ฟู่!

เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้สืออวี๋และคนอื่น ๆ หายใจติดขัด เพราะซุ่ยเหรินถิงได้สังหารผู้เป็นราชันเซียนด้วยกระบวนท่าเดียว!

ไม่ใช่แค่พวกสืออวี๋เท่านั้น แม้แต่ซุนอู๋เหิ่นก็รู้สึกหวาดกลัว เขารีบหยุดการโจมตีของตนโดยพลัน

“พี่อี้!”

“ระยำเอ๊ย! เจ้า…”

วิญญาณของต้าวเหยาและผางตู่ที่อยู่ใกล้เคียงแทบหลุดออกจากร่าง พยายามทิ้งระยะห่างระหว่างตนกับกลุ่มของซุ่ยเหรินถิง

เมื่อเห็นว่าซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวไม่ได้ไล่ตามพวกตน ก็หยุดอยู่ในระยะไกล สีหน้าของทั้งสองซีดเผือด และเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

ไม่มีใครคาดคิดว่าซุ่ยเหรินถิงจะสังหารอี้หรานเฟิง ทั้งที่อีกฝ่ายโจมตีเฉินซีเพื่อช่วยคลี่คลายวิกฤตที่ซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวกำลังเผชิญอยู่!

ทว่าตอนนี้ อี้หรานเฟิงซึ่งมีพระคุณ ผู้ซึ่งแสวงหาที่ลี้ภัยกับนิกายอำนาจเทวะ กลับถูกสังหารโดยศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะ ซุ่ยเหรินถิง!

ฟิ่ว!

ศพไร้หัวของอี้หรานเฟิงถูกดูดเลือดจนหมด กลายเป็นศพแห้งและสลายเป็นเถ้าถ่าน

ซุ่ยเหรินถิงยิ้มบาง แต่กลับดูเย็นชาและไร้อารมณ์อย่างยิ่ง

“ทำไม!?” ต้าวเหยาและผางตู่คำรามลั่น สีหน้าทั้งซีดเซียวและบิดเบี้ยว

หากเมื่อครู่ซุ่ยเหรินถิงโจมตีพวกเขาแทน ผลที่ตามมาคงยากที่จะจินตนาการ

“ทำไมหรือ?” ซุ่ยเหรินถิงรู้สึกขบขันเหมือนได้ยินเรื่องตลก “พวกเจ้ามาแสวงหาที่หลบภัยกับนิกายอำนาจเทวะ พวกเจ้าก็ควรเตรียมพร้อมที่จะเสียสละเพื่อนิกายทุกเมื่อสิ”

“เจ้า!!!” ต้าวเหยาโมโหจนตัวสั่น

“เจ้าไม่กลัวว่าเราจะร่วมมือกับตำหนักเต๋าหนี่หวาเพื่อจัดการกับพวกเจ้าหรือ!?” ดวงตาของผางตู่กวาดไปมองสืออวี๋และคนอื่น ๆ

“แม้ข้าจะเกลียดพวกเจ้า แต่เราสามารถร่วมมือกันได้” สืออวี๋ฉวยโอกาสเมื่อได้ยินสิ่งนี้

ณ จุดนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าสถานการณ์จะผลิกผันมากมายจนดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ

ตอนแรกเฉินซีถูกโจมตี จากนั้นราชันเซียนรัตติกาลก็หมดสติจากอาการบาดเจ็บสาหัส ซุนอู๋เหิ่นก็แตกหักกับกลุ่มของอี้หรานเฟิง แต่เมื่อการต่อสู้กำลังจะปะทุขึ้น ซุ่ยเหรินถิงก็สังหารอี้หรานเฟิง…

สถานการณ์ที่พลิกผันไปมาเช่นนี้ ทำให้เหล่าราชันเซียนต่างตกตะลึง พวกเขาไม่เข้าใจแผนการของซุ่ยเหรินถิงและเจี้ยงหลิงเซียวแม้แต่น้อย

หากสืออวี๋และคนอื่น ๆ ร่วมมือกับต้าวเหยาและผางตู่จริง ๆ มันก็เพียงพอที่จะจัดการพวกซุ่ยเหรินถิง

แม้กระทั่งซุนอู๋เหิ่น ก็ยังไม่ออกจากการต่อสู้ครั้งนี้

แต่เรื่องนี้มันบังเอิญเกินไป วัตถุประสงค์ของพวกเขาคืออะไรกันแน่?

ไม่ช้า พวกสืออวี๋ก็ได้รับคำตอบที่พวกเขาต้องการ

เพราะในชั่วพริบตาต่อมา ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีดำสนิทก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือของซุ่ยเหรินถิง ลำแสงพลุ่งพล่านด้วยปราณสีดำประหลาด ควันดำพุ่งออกมาจากภายใน พุ่งขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า!

ครืน!

ทันใดนั้น เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นในท้องฟ้าที่วุ่นวาย พร้อมกับกลิ่นอายน่าสะพรึงแผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ!

สีหน้าของกลุ่มสืออวี๋ ซุนอู๋เหิ่น ต้าวเหยา และผางตู่ต่างอุทานออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์!”

ว่ากันว่าเมื่อใช้ธงนี้แล้ว แม้แต่ราชาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจรอดชีวิตจากมันได้!

ในช่วงต้นของยุคบรรพกาล นิกายอำนาจเทวะได้อาศัยสมบัตินี้เพื่อวางแผนร้ายต่อดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล ทำให้ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลพินาศในช่วงกำลังบรรลุเต๋า ซึ่งก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในโลก!

ธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์ของนิกายอำนาจเทวะจึงมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และทำให้ผู้คนหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของมัน

เมื่อเห็นซุ่ยเหรินถิงหยิบหนึ่งในสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของปรมาจารย์นิกายอำนาจเทวะ พวกสืออวี๋ก็เข้าใจทันทีว่าทำไมซุ่ยเหรินถิงถึงไม่เกรงกลัวสิ่งใด

สีหน้าของพวกเขาพลันมืดมนอย่างถึงขีดสุด ไม่มีใครคาดคิดว่านิกายอำนาจเทวะจะลงทุนมหาศาลเช่นนี้ นอกจากเจดีย์วิถีพญาปราชญ์และกระจกปฐพีไร้ขอบเขต ยังมีอาวุธสังหารเช่นธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์มาด้วย!

ครืน!

หลังจากที่หยิบธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์ออกมา ซุ่ยเหรินถิงก็สร้างผนึกด้วยมือของเขา หลอมรวมเลือดของราชันเซียนทั้งหมดที่ถูกดูดซึมโดยเจดีย์วิถีพญาปราชญ์เข้าสู่ธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์

ทันใดนั้น ลำแสงขนาดเท่าฝ่ามือก็พองตัวพวยพุ่งขึ้นฟ้า ทำให้มันดูเหมือนโคมไฟสว่างไสวที่ส่องสว่างไปทั่วทั้งจักรวาล!

ในทางกลับกัน ท้องฟ้าที่วุ่นวายเริ่มส่งเสียงคร่ำครวญ แสดงสัญญาณของการควบแน่นเป็นกระแสน้ำวนรูปกรวยที่ห้อยลงมาจากท้องฟ้า

“บัดซบ!”

“รีบหยุดเขาเร็วเข้า!”

“เขากำลังดึงพลังของเนตรทัณฑ์สวรรค์!”

“รีบหยุดเขา!”

เหตุการณ์ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของสืออวี๋หรือกลุ่มของซุนอู๋เหิ่น สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว ขณะร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราด

พวกเขาพร้อมใจพุ่งตัวออกไป โจมตีซุ่ยเหรินถิงอย่างดุร้าย

สมบัติศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่งผลให้เวลาและสถานที่ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายจนแตกสลายเป็นผุยผง การโจมตีนี้ทำให้เกิดพลังทำลายที่น่าตกใจอย่างมาก

ทว่าก่อนที่จะเข้าถึงตัวซุ่ยเหรินถิง พวกเขาก็ถูกขัดขวางด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวและอธิบายไม่ได้ มันเหมือนกับชนกำแพงที่มองไม่เห็น และแม้แต่สมบัติศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกสะท้อนกลับด้วยกำแพงดังกล่าว

“ฮ่า ๆ ๆ! ไอ้พวกโง่! พลังของธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์จะเป็นอะไรที่พวกเจ้าสามารถต้านทานได้อย่างไร?”

ซุ่ยเหรินถิงหัวเราะเย้ยหยัน เสื้อผ้าปลิวไสว ดูเหมือนราชาอสูรผู้ไร้เทียมทาน และธงวิญญาณราชาศักดิ์สิทธิ์ในมือก็สว่างวาบ พร้อมกับแสงสีดำที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง

“พวกเจ้าทุกคนจะเป็นขั้นบันไดให้ข้าเหยียบย่ำเพื่อกลายเป็นเทพ! อย่าได้ฝันว่าจะหลบหนีไปได้!” เสียงคำรามของซุ่ยเหรินถิงดังไปทั่วสารทิศ ประหนึ่งเสียงฟ้าร้อง

สีหน้าของคนที่เหลือเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“เราควรทำอย่างไรดี?”

“หากเนตรทัณฑ์สวรรค์ปรากฏขึ้น เราก็จะต้องพินาศอย่างแน่นอน!”

“อย่าลืมว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลที่เป็นถึงเทพสูงสุดที่แท้จริง ก็ยังพินาศภายใต้เนตรทัณฑ์สวรรค์นี้!”

“เราจะยอมแพ้หรือ?”

พวกเขาอยู่ห่างจากจุดสูงสุดของเทวาคารบรรลุเทพเพียงลี้ครึ่ง และนั่นหมายความว่าอยู่ห่างจากการค้นหาวิธีที่จะกลายเป็นเทพเพียงไม่กี่ก้าว แล้วพวกเขาจะเต็มใจจากไปได้อย่างไร?

แต่ถ้าเนตรทัณฑ์สวรรค์ปรากฏขึ้น มันจะนำทัณฑ์สวรรค์ครั้งใหญ่ลงมา และตัวตนที่ขอบเขตราชันเซียนเช่นพวกเขาจะต้องพินาศอย่างแน่นอน!

พวกสืออวี๋พยายามคิดหาทางออกอย่างสุดความสามารถ

ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศเงียบงันและกดดันถึงขีดสุด

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าดวงตาของเฉินซีกำลังพรั่งพรูด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะที่ลุกโชน ชายหนุ่มจ้องมองท้องฟ้าด้านบน และกลิ่นอายคลุมเครือที่ปกคลุมทั่วร่างก็ทวีความรุนแรงขึ้น

“คิดหนีหรือ? ไม่มีวัน!” ผมสีแดงเข้มของซุ่ยเหรินถิงพลิ้วไหว สีหน้าเย็นชาและไม่แยแส ทั้งยังกล่าวทีละคำด้วยน้ำเสียงน่ากลัว

สิ้นเสียง ท้องฟ้าที่วุ่นวายก็ปั่นป่วนและกลายเป็นกระแสวังวน โดยที่ใจกลางปรากฏดวงตาเยือกเย็น เฉยเมย และไร้อารมณ์เปิดขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง!

ทันใดนั้น ความกดดันที่น่าสะพรึงกลัวและน่าสยดสยองก็ปกคลุมลงมาจากท้องฟ้า

แม้ว่าพวกสืออวี๋จะเป็นราชันเซียน แต่เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์นี้ คลื่นความหนาวเย็นก็แล่นเเข้าสู่หัวใจของทุกคน รู้สึกราวกับตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง!

“ไปเร็ว!” พวกเขาหันกลับโดยไม่ลังเล และตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังเทวาคารบรรลุเทพ และพวกเขาก็ไม่กังวลกับการได้รับวิธีกลายเป็นเทพอีกต่อไป

ทว่าทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหว เจี้ยงหลิงเซียวก็เข้ามาขวางเส้นทางหลบหนีไว้ นางถือแส้ทัณฑ์สวรรค์ไว้มั่น บริเวณใกล้เคียงถูกปกคลุมอย่างแน่นหนาด้วยห้วงมิติที่เรียบเนียนดุจกระจกเป็นชั้น ๆ คล้ายมิติที่ทับซ้อนกัน

มันคือ ‘มิติกระจก’ ของกระจกปฐพีไร้ขอบเขต!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท