สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 790 คลั่งลูกสาว (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 790 คลั่งลูกสาว (1)

ทุกวันนี้กู้เจียวพักอยู่ที่ตำหนักกั๋วซือ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่กู้เจียวจะนึกถึงที่นั่นเป็นอันดับแรก

แต่พอคิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอีก

ที่กู้เจียวสามารถอาศัยอยู่ที่ตำหนักกั๋วซือได้ก็เพราะได้รับหน้าที่ในการรักษาพยาบาลแก่องค์หญิง จู่ๆ ให้รับ ‘ผู้ป่วย’ แปลกหน้าเข้าไปรักษาในตำหนักแถมยังพา ‘คนบ้านเดียวกัน’ ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกันคงจะดูแปลกและไม่ดีเท่าไหร่นัก

จะเป็นที่สงสัยของฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนเอาได้

“คืนนี้ลองคิดหาวิธีดูก่อนแล้วกัน” กู้เจียวเอ่ยในใจ

แล้วทุกคนก็นอนพักกันที่โรงเตี๊ยม

กู้เจียวหยิบสำลีก้านและยาทาแผลขึ้นมา แล้วทำความสะอาดบาดแผลให้กับพวกเขา

ยังดีที่พวกเขาบาดเจ็บแค่ภายนอก อาจารย์หลู่ผู้ซึ่งเอาแต่คอยคุ้มกันให้อาจารย์แม่อาจารย์แม่หนานเซียงจึงมีแผลเยอะกว่าใคร

“ก็บอกแล้วว่าอย่าเข้ามาไงเล่า!” อาจารย์แม่หนานเซียงถลึงตาใส่สามี

อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มแห้ง “ข้าหนังหนาน่า แค่นี้ทนได้อยู่แล้ว!”

ฝึกมาจากตอนสู้กับเจ้าราชาม้านั่นแหละ

หลังจากกู้เจียวทำแผลเสร็จ ก็กำชับกับเขา “ห้ามให้แผลโดนน้ำ ไม่กี่วันเดี๋ยวก็ดีขึ้น”

“แล้วเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า” อาจารย์แม่หนานเซียงถามกู้เจียว

“ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร” กู้เจียวตอบ “อาเหยี่ยนกับเสี่ยวซุ่นก็เช่นกัน”

อาจารย์แม่หนานเซียงได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก พวกเด็กๆ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว

อาจารย์หลู่ถามขึ้น “จริงสิ เจียวเจียว เจ้าออกมานอกเมืองกลางดึกแบบนี้ได้อย่างไร”

จากนั้นกู้เจียวก็หยิบตราอาญาสิทธิ์ที่แขวนอยู่ที่เอวขึ้นมาให้พวกเขาดู “ข้ามีสิ่งนี้”

สุดยอดไปเลย ได้ตราอาญาสิทธิ์ของกั๋วซือมาใช้ด้วย แม่สาวน้อยคนนี้เก่งไม่เบาเลยนะ

มีเรื่องราวต่างๆ มากมายเกิดขึ้นในช่วงนี้ ครั้นจะให้เขียนจดหมายไปบอกก็มีข้อจำกัด เลยไม่ทันได้เล่ารายละเอียดเรื่องราวให้อาจารย์แม่หนานเซียงและคนอื่นๆ ได้ฟัง

กู้เจียวจึงใช้โอกาสที่พวกเขาอยู่ด้วยกันในวันนี้ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างให้อาจารย์หลู่และหนานเซียนฟัง กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นที่เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินเข้ามาฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วย

เรื่องที่ทุกคนสนใจย่อมแตกต่างกัน

แต่อาการตกใจนั้นมีเหมือนกันทุกคน

เจียวเจียวได้ม้าเฮยเฟิงจากตระกูลหันมารึ

กู้ฉังชิงบาดเจ็บรึ

ไทเฮากับจี้จิ่วอาวุโสมาถึงแคว้นเยี่ยนแล้วรึ

แม้ทุกคนจะตกใจกับเรื่องที่ไท่จื่อและหันกุ้ยเฟยถูกโค่น แต่เห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก

เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขาดูจะสนใจความเป็นอยู่ของคนกันเองเสียมากกว่า

“…เรื่องก็เป็นเช่นนี้” กู้เจียวรวบจบเรื่องราวทั้งหมดในประโยคเดียว

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนิ่งเงียบ ขณะที่หัวอกคนฟังอย่างอาจารย์แม่หนานเซียงและอาจารย์หลู่เต็มไปด้วยความสับสนและว้าวุ่นอย่างมาก

น้ำที่เคยใสในสระที่ชื่อว่าเมืองเซิ่งตูคราวนี้เต็มไปด้วยโคลนตม สถานการณ์เริ่มมาถึงจุดที่ตึงเครียด คนของสิบตระกูลใหญ่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นปึกแผ่นเดียวกัน แท้จริงกลับมีลับลมคมในที่ซ่อนเอาไว้อยู่

ตอนนี้ มีห้าตระกูลที่กู้เจียวเอาอยู่หมัด ส่วนอีกหกตระกูลที่เหลือรวมตระกูลหนานกงด้วย ก็ต้องบอกว่าตระกูลที่รับมือยากที่สุดคงหนีไม่พ้นตระกูลหัน

“ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะไม่มีข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับตระกูลหนานกงแล้วนะ” อาจารย์แม่หนานเซียงเอ่ย

ช่วงนี้ฝั่งตระกูลหนานกงเงียบเชียบเกินไปจริงๆ นั่นแหละ จะมีเรื่องเดียวก็คงเป็นตอนที่แข่งคัดเลือกผู้บัญชาการกองทหารม้าเฮยเฟิง บุตรสาวของตระกูลหนานกงเป็นตัวแทนลงแข่ง อีกทั้งพยายามให้หันฉือลงจากม้าให้ได้

แต่เพราะความล้มเหลวจึงลยกลายเป็นตัวตลกในสนามแข่งโดยปริยาย

อาจารย์หลู่เอ่ยต่อ “พวกเขาคงยังขวัญเสียกับการตายของหนานกงลี่ ไหนจะเรื่องที่ไท่จื่อถูกโค่นอีก พวกเขาคงต้องพิจารณาดูดีๆ ว่าจะเลือกรับใช้ใครดีสินะ”

ตระกูลหนานกงผู้มีกำลังทหารสี่แสนนายบัดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หากตระกูลหันถูกโค่น ตระกูลหนานกงก็จะไต่อันดับขึ้นได้

แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีวันนั้นไหม

“นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้ารีบพักผ่อนเถอะ” อาจารย์แม่หนานเซียงกลัวว่าทุกคนจะคุยกันจนถึงฟ้าสาง จึงรีบตัดบท

พวกเขาไม่เป็นไรหรอก แต่เจียวเจียวนี่สิยังมีงานต้องทำอีก

เด็กทั้งสามจึงเดินกลับไปยังห้องพักของตนเอง

กู้เสี่ยวซุ่นกับกู้เหยี่ยนนอนห้องเดียวกัน กู้เจียวหนึ่งห้อง ผู้อาวุโสอีกหนึ่งห้อง

พอกู้เจียวล้มตัวลงนอนได้ไม่นาน กู้เหยี่ยนก็เข้ามาที่ห้อง

เขาปีนขึ้นเตียงแล้วนอนลงข้างๆ กู้เจียว

เขาไม่เอ่ยอะไร แค่เอาแขนมาโอบเอวแล้วเอาคางมาเกยที่หัวไหล่ของนาง พร้อมกับหายใจช้าๆ

กู้เจียวนอนในท่าหงาย สายตามองไปที่ม่านเตียง

และแล้ว กู้เหยี่ยนก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “อย่าโกรธข้าเลยนะ ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้แล้ว”

“อืม” กู้เจียวยกมือขึ้นจับที่หลังศีรษะ ส่วนอีกข้างยื่นไปกุมมือเขา

นางไม่สามารถรับรู้อารมณ์มากมายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ได้ แต่เพราะกู้เหยี่ยน นางถึงรู้ว่าไม่มีอะไรที่ขาวและดำไปเสียทุกอย่าง

“ตอนนี้ข้ารู้สึกตื่นเต้นมาก เจ้าสัมผัสไหม” กู้เหยี่ยนถาม

“อื้อ สัมผัสได้สิ ก็ชีพจรของเจ้าเต้นแรงมากเลยนี่นา”

กู้เหยี่ยนทำหน้าตึง

ใครใช้ให้เจ้าวัดชีพจรข้ากันเล่า

“นอกจากนี้ยังมีความตื้นตัน ดีใจ ภูมิใจ…” กู้เจียวสัมผัสได้ทุกอารมณ์

เป็นคนปกตินี่ดีจัง! ในที่สุดเขาก็ได้ทำหน้าพี่ชาย ปกป้องสมาชิกในครอบครัว อีกทั้งเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองจะวิ่งได้อึดขนาดนั้น วะฮะฮ่า! ข้าคืออาเหยี่ยนผู้เก่งกาจ!

กู้เจียวมองไปบนเพดาน พร้อมเอ่ยขึ้น “ก็เก่งจริงๆ นั่นแหละ”

เช้าวันถัดมา กู้เจียวยังคงตื่นนอนตอนฟ้ายังไม่สาง แม้ว่าเมื่อคืนจะหนักหน่วงแค่ไหนก็ตาม

เส้นขอบฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น

พอกู้เจียวลุกขึ้น ก็เห็นว่าที่ข้างหมอนมีกล่องกลไกวางอยู่สองกล่อง

กู้เจียวงัวเงียอยู่พักก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนก่อนที่กู้เหยี่ยนจะกลับไปนอน เขายัดอะไรบางอย่างไว้ให้ในมือ กู้เจียวที่ตอนนั้นกำลังสะลึมสะลือจึงไม่ได้ใส่ใจแล้ววางของสิ่งนั้นไว้ที่ข้างหมอน

แต่ทำไมถึงมีสองอัน

หลังจากที่กู้เหยี่ยนกลับไป กู้เสี่ยวซุ่นก็เข้ามาที่ห้องของนางต่อ

เขาเองก็วางกล่องนี้ไว้ให้กู้เจียวเช่นกัน

“กล่องกลไกรึ” กู้เจียวหยิบมันขึ้นมาพินิจ

กล่องกลไกนี้ทำขึ้นโดยอาจารย์หลู่เพื่อมอบให้เด็กทั้งสองคนเป็นของขวัญ เมื่อคืนตอนที่พวกเขาถูกไล่ล่า ไม่มีใครกล้าใช้มันสักคน ก็เลยมองว่ามอบให้กู้เจียวดีกว่า

“ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นงานฝีมือของอาจารย์หลู่”

ความละเอียดแบบนี้ กู้เสี่ยวซุ่นทำออกมาไม่ได้แน่

เมื่อกู้เจียวรู้ถึงความสำคัญของกล่องกลไกนี้ หลังจากที่ล้างหน้าแต่งตัวเสร็จ ก็เดินย่องไปที่ห้องข้างๆ

ทั้งกู้เหยี่ยนและเสี่ยวซุ่นกำลังนอนหลับลึก

กู้เหยี่ยนเป็นคนไม่นอนดิ้นแต่ไหนแต่ไร

ขณะที่เสี่ยวซุ่นชอบนอนดิ้น เขาจึงพยายามเบี่ยงตัวไปไกลๆ เพื่อไม่ให้เผลอเตะกู้เหยี่ยน

กู้เจียวเอากล่องกลไกสองอันใส่ในกระเป๋าเสื้อของทั้งสองคน

จากนั้นทิ้งจดหมายไว้ในห้องของตัวเอง โดยบอกว่าออกไปธุระข้างนอก จะกลับมาตอนบ่าย

กู้เจียวออกไปจัดการเรื่องที่พักให้พวกเขา

พอกลับมาถึงที่ตำหนักกั๋วซือ เห็นว่าท่านย่ายังหลับอยู่เลยไม่กล้าทำเสียงดัง จากนั้นก็เดินไปที่ห้องของเซียวเหิง

วันนี้เสี่ยวจิ้งคงไม่มีเรียน เลยออกไปปีนต้นไม้ที่ลานตั้งแต่เช้าตรู่

เซียวเหิงเปลี่ยนชุดเตรียมจะออกไปข้างนอก พอเห็นกู้เจียวเดินเข้ามาก็รีบถามทันที “เป็นอย่างไรบ้าง”

มีเพียงกั๋วซือและเซียวเหิงที่รู้เรื่องที่กู้เจียวออกไปกลางดึก

“พวกตระกูลหันเริ่มลงมือแล้ว ทุกคนปลอดภัยดี ตอนนี้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ตอนนี้ถึงเวลาต้องหาที่อยู่ใหม่ให้พวกเขาแล้วล่ะ”

“ให้พวกเขามาพักที่หัวเมืองชั้นในเถอะ” เซียวเหิงเสนอความเห็น “ไหนๆ พวกเขาก็ถูกพวกตระกูลหันจับตาดูอยู่แล้ว จะพักที่นอกเมืองหรือในเมืองคงไม่ต่าง อีกทั้งพวกนั้นคงคาดไม่ถึงว่าพวกเราจะกล้าพาคนเข้ามายังหัวเมืองชั้นใน”

กู้เจียวมองว่าที่เขาเอ่ยก็เป็นไปได้

เซียวเหิงเอ่ยต่อ “ช่วงนี้ข้ากำลังหาบ้านพักอยู่พอดี เมื่อวานนี้นายหน้าบอกว่ามีอยู่หลังหนึ่งที่ตรงกับความต้องการของข้า เจ้าไปดูด้วยกันไหม”

กู้เจียวยังไม่ทันได้ให้คำตอบ จู่ๆ เจ้าตัวเล็กก็กระโดดหยองขึ้นมาจากหน้าต่างแล้วโพล่งขึ้น “ข้าไปด้วย ข้าไปด้วย ข้าไปด้วย!”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท