คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 682 บาปที่ทำต้องชดใช้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 682 บาปที่ทำต้องชดใช้

เมื่อได้ฟังคำสารภาพของจังหัว เหวินจิ่นซูและคนอื่นๆ ราวกับถูกฟ้าผ่า

เป็นความจริงทั้งหมด

แต่เขากลับแสร้งทำเป็นอ่อนโยน บริสุทธิ์ไร้เดียงสา กระทั่งคนในตระกูลรังเกียจก็ยังแสร้งทำเป็นอ่อนแอ น่ากลัวเกินไปแล้ว

เหวินจิ่นซูรู้สึกมืดมน ร่างกายโอนเอน รู้สึกเหมือนฟ้าจะถล่ม

คนเช่นนี้ ในเวลากลางดึกที่เงียบสงบจะคิดอะไรอยู่ กำลังคิดว่าจะฆ่าตัวนางอย่างไรอยู่หรือไม่

เหวินจิ่นซูมีอาการขนลุกที่แขน อยากจะอาเจียนเล็กน้อย

“น้องหญิง ท่านพ่อ พวกท่านรีบไปเรียกคนผู้นั้นกลับมาช่วยข้าเร็ว พวกหรงเอ๋อร์จะไม่มีบิดาไม่ได้!” ในที่สุดจังหัวก็คลานมาจนถึงเท้าของพวกเขา

เหวินฝู่หลินโกรธจนหน้าเขียว การมีบิดาเช่นนี้ต่างหากที่เป็นรอยแปดเปื้อนในชีวิตของพวกหรงเอ๋อร์ ไม่สู้ให้เขาตายไปตอนนี้จะดีกว่า ชีวิตแลกชีวิต จบสิ้นกันไป

เมื่อเสียงนี้ดังออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เหวินฝู่หลินก็ตกใจกับ ‘ความชั่วร้าย’ ของตัวเองเช่นกัน ปากพึมพำว่า ‘ผิดไปแล้ว’ จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น

เขาโอ้อวดว่าตัวเองได้เห็นผู้คนนับไม่ถ้วน มีประสบการณ์มากมาย ชายตรงหน้าไม่เพียงแต่เป็นลูกศิษย์คนโปรด ซ้ำยังเป็นบุตรเขยของเขาด้วย แต่กลับไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการเป็นคนหน้าซื่อใจคดที่ห่มหนังแกะ

นับว่าเขาที่ปกติเป็นคนล่าห่านกลับถูกห่านจิกตาหรือไม่

เหวินฝู่หลินมองไปยังบุตรสาวที่ได้รับการโจมตีจนสีหน้าซีด ในใจเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เป็นเขาที่หูหนวกตาบอด ซ้ำยังทำลายชีวิตของบุตรสาว

“น้องหญิง…” จังหัวยกมือขึ้นคว้าชายกระโปรงของเหวินจิ่นซู

เหวินจิ่นซูก้มหน้า ใบหน้าที่ยิ้มแย้มสง่างามของเขาในเมื่อก่อน ตอนนี้กลับดูน่ารังเกียจ

เมื่อนางเห็นแผ่นหลังที่โชกไปด้วยเลือดของเขา และดูเหมือนมีบางอย่างกำลังอ้าปากกัดอยู่ใต้เสื้อของเขาก็ขนลุกซู่ กรีดร้องเสียงแหลม ออกแรงดึงชายกระโปรงกลับมาแล้ววิ่งออกไป

อุแหวะ

นางยืนอยู่ใต้ต้นไม้อาเจียนออกมาไม่หยุด จากนั้นก็อ่อนแรงลงไปอยู่ข้างต้นไม้

เหวินฝู่หลินตะโกนเรียกจิ่นซู จากนั้นก็หันกลับไปจ้องจังหัว เอ่ย “เจ้านี้มันจริงๆ เลย…ผู้ที่เจ้าต้องสารภาพบาปไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นหน้าหลุมศพของพี่ชายของเจ้าที่เป็นบุตรชายภรรยาเอก แล้วก็แม่ใหญ่ของเจ้า เขาเห็นเจ้าเป็นพี่น้อง เข้าไปขวางมีดแทนเจ้าอย่างไม่ลังเล แต่เจ้ากลับฆ่าเขา อย่างเจ้าไม่ได้เรียกว่าเนรคุณ แต่เป็นคนใจดำอำมหิต!”

“ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว เห็นแก่หรงเอ๋อร์และคนอื่นๆ ท่านช่วยข้าด้วย ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน” น้ำตาและน้ำมูกของจังหัวไหลปะปนกัน ไหนเลยจะยังดูเหมือนปัญญาชนที่โดดเด่นด้านวรรณกรรมเหมือนเมื่อก่อน

เหวินฝู่หลินจ้องมองเขาอย่างดุเดือด “รอข้าอยู่ตรงนี้”

เขาเดินออกไป ก็ไม่รู้ว่าเหยียนฉีซานกับฉินหลิวซีไปไกลแล้วหรือยัง ยังต้องให้ตาเฒ่าอย่างเขาไปทำตัวนอบน้อมเชิญคนกลับมา

เวรกรรมจริงๆ

“ท่านพ่อ ท่านจะไปขอให้ท่านเจ้าอาวาสน้อยผู้นั้นช่วยเขาหรือ” เหวินจิ่นซูนั่งอยู่ใต้ต้นไม้โดยไม่รักษาภาพลักษณ์ใดๆ ดูล่องลอย

เหวินฝู่หลินถอนหายใจ “แล้วจะทำอย่างไรได้อีก”

“เขาฆ่าพี่ชายของเขา ซ้ำยังเป็นพี่ชายที่ช่วยเข้ามาขวางมีดแทนเขา” น้ำตาของเหวินจิ่นซู่ไหลพรากราวกับเขื่อนแตก

สามีที่ตนคิดว่าเป็นคนดีกลับกลายเป็นคนใจดำอำมหิต เขาจะสมควรมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!

“ไม่ว่าอย่างไร เราต้องจัดการกับปัจจุบันก่อน มิเช่นนั้นพวกหรงเอ๋อร์จะทำอย่างไร” เหวินฝู่หลินเห็นแก่หลานชายทั้งสอง เอ่ยต่อว่า “หลังจากเรื่องนี้แล้วควรจะทำอย่างไรต่อ ไว้ค่อยว่ากัน”

เหวินจิ่นซูได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากข้างใน สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก

ต่อไปจะเป็นอย่างไร พวกเขาคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วกระมัง

เหยียนฉีซานถอนหายใจพลางเอ่ยกับฉินหลิวซี “เหวินฝู่หลินเป็นเพียงตาเฒ่าโง่เง่า หัวโบราณชนิดที่แก้ไม่ได้ ยึดหลักคำสอนที่ว่าขงจื้อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับฝังเข้าไปในกระดูก อารมณ์ก็เป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าได้ถือสาตาเฒ่าหัวดื้ออย่างเขาเลย ไม่คุ้มค่า”

ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “หากสหายเก่าของท่านรู้ว่าท่านใส่ร้ายเขาลับหลังเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร”

“ข้าไม่ได้ใส่ร้าย ข้ากำลังเอ่ยความจริง เห็นแล้วกับตา เขายังยืนกรานว่านั้นเป็นเพียงแค่โรคร้าย? ถุย ใครบ้างที่เป็นโรคร้ายจนมีใบหน้าปรากฏขึ้นมา คนโง่ยังรู้เลยว่านี่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ต่อให้ตายเขาก็จะรักษาหน้าไว้ ดื้อด้าน” เหยียนฉีซานถอนหายใจพลางเอ่ย “ช่างเถิด คำพูดดีๆ ก็ยากจะเกลี้ยกล่อมคนที่อยากตายได้ พวกเราไปกันเถิด เจ้าผู้นั้นก็ไม่คุ้มค่าให้เจ้าช่วย”

“ไม่ต้องรีบ ข้าเชี่ยวชาญในการรักษาคนปากแข็งทุกชนิด รออีกสักหน่อย”

เหยียนฉีซาน “?”

ในไม่ช้าเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมา เมื่อหันกลับไปมองดู กลับเป็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นพวกเขาก็ดวงตาเป็นประกาย

“ท่านอาจารย์ผู้เฒ่า โปรดช้าก่อน”

เหยียนฉีซานหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง

หลังจากนั้นไม่นานก็เห็นเหวินฝู่หลินปรากฏตัวอยู่ในสายตาของเขา อดสบถไม่ได้

เหวินฝู่หลินเห็นว่าพวกเขายืนอยู่ที่หน้าประตู ถอนหายใจด้วยความโล่งอีก ก้าวเข้าไปหา ไม่รอให้เหยียนฉีซานเอ่ยปาก ก็ผลักเขาออกแล้วเอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ตาเฒ่าอย่างข้ามีตาหามีแววไม่ ขอให้ท่านเจ้าอาวาสน้อยอย่าได้ถือสาตาเฒ่าอย่างข้าเลย โปรดอภัยให้ด้วย”

เหยียนฉีซานถูกผลักจนเสียการทรงตัว เกือบจะยืนไม่อยู่ ถูกบ่าวรับใช้พยุงไว้ เมื่อได้ฟังดังนั้นก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ตายจริง เจ้าสำนักศึกษาเหวินของพวกเราคงไม่ได้ถูกผีเข้าสิงแล้วกระมัง มาขอโทษเจ้าอาวาสน้อยเสียด้วย”

เหวินฝู่หลินจ้องเขา พูดให้มันน้อยๆ หน่อย กลับไปจะมอบโหลชาเหล่าปันจังที่เก็บรักษามาเป็นเวลานานให้เจ้า พอใจหรือไม่

ฉินหลิวซีไม่ได้เล่นตัว เอ่ยเพียงว่า “เขายอมรับแล้ว”

เหวินฝู่หลินถอนหายใจ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าและความลำบากใจ “ตระกูลโชคไม่ดี”

เดิมทีเหยียนฉีซานอยากจะกล่าวเยาะเย้ยสักสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นว่าแค่ระยะเวลาสั้นๆ สหายเก่าก็ราวกับแก่ลงไปอีกสิบปี จึงอดกลั้นไว้

ช่างเถิด ไว้ค่อยเอาของดีของเขากลับไปด้วย ใครใช้ให้เขาปากร้ายกันล่ะ

เหวินฝู่หลินเชิญฉินหลิวซีกลับมาที่จวนเหวิน และเล่าเรื่องที่จังหัวยอมรับ ฉินหลิวซีกลับไม่ได้ประหลาดใจเท่าใด แต่เหยียนฉีซานกลับสะดุ้งโหยง

“เหตุใดในโลกนี้จึงได้มีคนที่ใจดำอำมหิตเช่นนี้ ตอนนั้นเขาพึ่งจะอายุเท่าใดเอง หกเจ็ดขวบได้กระมัง แต่กลับโหดเหี้ยมเช่นนี้!”

เหวินฝู่หลินเม้มริมฝีปาก ก็นั่นนะสิ

อายุหกเจ็ดขวบ ก็ฆ่าพี่ชายที่ปกป้องตัวเองเพราะความอิจฉาตาร้อนได้แล้ว เขาไม่กลัวถูกตามหลอกหลอนในตอนกลางคืนหรือ

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือในวัยนั้นของเขาได้ทำเรื่องเช่นนี้ ส่วนใหญ่ก็จะรู้สึกผิดและหวาดกลัว แต่เขากลับซ่อนอารมณ์ที่แท้จริง ไม่ให้ใครสังเกตเห็นเบาะแส เติบโตมาอย่างสงบสุข ซ้ำยังประสบความสำเร็จในการเรียน

จังหัวมีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความอดทนมาก และยิ่งรู้จักเสแสร้ง หากไม่ใช่เพราะจู่ๆ แผลนี้ของเขาก็กำเริบเช่นนี้ ความลับนี้คงจะปิดเงียบไปตลอดชีวิต ถูกเขานำเข้าไปในโลงศพด้วยใช่หรือไม่

เมื่อเหวินฝู่หลินนึกถึงสิ่งนี้ จิตใจพลันหม่นหมอง

คนเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นปัญหา จะให้อยู่ในตระกูลเหวินไม่ได้ มิเช่นนั้นชื่อเสียงของตระกูลปัญญาชนอย่างตระกูลเหวินของเขาก็จะถูกทำลายลง และเขากับจิ่นซูยังจะมีหน้าไปให้ความรู้แก่ผู้คนได้อย่างไร

แผ่นหลังของเหวินฝู่หลินค่อมลงเล็กน้อย

เมื่อเหยียนฉีซานเห็นว่าสหายเก่าไม่เอ่ยอะไร จึงเอ่ยเสียงทุ้มว่า “เหล่าเหวิน หากไม่ตัดในยามที่สมควรตัดจะเกิดปัญหาตามมา เจ้าต้องคิดให้ดี หากไม่คิดเพื่อนางหนูจิ่น ก็ต้องคิดเพื่อหลานชายทั้งสอง”

เหวินฝู่หลินชะงักฝีเท้า ลำคอกระอึกกระอัก

จากนั้นก็มองไปยังฉินหลิวซี คำว่า ‘ไม่รักษาแล้ว’ อยู่ในปากไม่ยอมเอ่ยออกมาเสียที

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ที่ข้ากลับมาก็เพื่อเด็กคนนั้น”

นางเดินเข้าไปในเรือนหลังนี้อีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อต้องการช่วยจังหัว แต่เพื่อจังเจ๋อ ดวงวิญญาณที่ถูกกระทำและไม่ยอมจากไปไหน

ส่วนความเป็นตายของจังหัว ต่อให้ตายก็ต้องบอกความจริงให้ชัดเจนก่อน นี่เป็นบาปที่เขาทำ ต

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท