บทที่ 1143 ตอนพิเศษ (42)
บทที่ 1143 ตอนพิเศษ (42)
หลิ่วซานเฉวียนฮัมเพลงออกจากจวนสกุลจาง
เขาหยิบถุงเงินในอ้อมแขนออกมาชั่งน้ำหนัก แววตาเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
หลังจากออกมาแล้ว พ่อบ้านก็เดินเข้าประตูไปพร้อมกับบ่าวรับใช้ใหม่หลายคน
บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งหันกลับไปทางหลิ่วซานเฉวียน คิ้วขมวดมุ่น
“ยืนรีรออะไรอยู่? ไยยังไม่รีบอีก” พ่อบ้านเอ่ยเร่ง “วันแรกก็คิดจะเกียจคร้านแล้วหรือ? นี่เป็นจวนสกุลจาง เจ้าคิดจะเกียจคร้านในสกุลจาง เบื่อชีวิตแล้วใช่หรือไม่?”
‘บ่าวรับใช้’ ผู้นั้นตอบทันควัน “ไม่กล้า ๆ ผู้น้อยจะไปทำงานประเดี๋ยวนี้”
หากหลิ่วซานเฉวียนมองย้อนกลับไป เขาจะพบว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิ่วจินเปย ลูกชายอกตัญญูผู้นั้น
ครั้งอวี๋ซื่อยังอยู่ หลิ่วซานเฉวียนกับหลิ่วจินเปยดูเหมือนมีความรักลึกซึ้งระหว่างพ่อลูก หลิ่วซานเฉวียนไม่มีลูกชาย หลิ่วจินเปยติดตามอวี๋ซื่อแต่งเข้ามา อวี๋ซื่อมักจะล้างสมองเขา โดยบอกว่าต่อจากนี้ไปหลิ่วจินเปยจะเป็นลูกชายและจะเลี้ยงดูเขาจนแก่เฒ่า ทั้งสองจึงมีความรักใคร่ลึกซึ้งระหว่างพ่อลูกเป็นเวลาชั่วขณะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม คนเราล้วนเปลี่ยนแปลง หลิ่วจินเปยเติบโตขึ้นและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเอง หลิ่วซานเฉวียนนับวันยิ่งเข้าใจว่าไม่มีผู้ใดไว้ใจได้
ไม่มีผู้ใดไว้ใจได้ยกเว้นเงิน ขอเพียงเขามีเงินมากพอ ไม่มีแม้กระทั่งลูกชายก็ไม่มีปัญหา นับประสาอะไรกับการหาลูกชายสักคนมาดูแลตราบชั่วชีวิต
หลิ่วจินเปยเดินเข้าไปในประตูจวนสกุลจาง มองภาพความมั่งคั่งหรูหราตรงหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยไฟลุกโชน
เขาคิดจะตามหาฝางซิ่วหลาน ทว่ารอบกายฝางซิ่วหลานมีคนมากเกินไป เดิมทีเขาก็ไม่อาจเข้าใกล้นางได้แม้แต่น้อย
เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากไม่มีทางที่จะพบเห็นฝางซิ่วหลานข้างนอกได้จึงมาหาที่เรือนสกุลจางโดยตรงและกลายมาเป็นคนรอบกายนาง
ฝางซิ่วหลานไถ่ตัวเขาออกมา หลิ่วจินเปยจึงคิดว่านางยังมีความรู้สึกต่อตนเองอยู่บ้าง
ยังมีเด็กในท้องของนางอีก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นลูกของเขา
คหบดีจางแต่งภรรยามากมายเพียงนั้น กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวมอบลูกชายให้เขาได้ แต่ฝางซิ่วหลานตั้งครรภ์ขึ้นมาพอดี อธิบายได้เพียงอย่างเดียวคือเด็กในท้องของฝางซิ่วหลานไม่ใช่ของคหบดีจาง หากแต่เป็นลูกของเขาหลิ่วจินเปย เมื่อนับดูเวลาที่ฝางซิ่วหลานท้องแล้ว นั่นเป็นช่วงเวลาที่เขาได้หว่านเมล็ดพันธ์ุในตัวนางพอดี
ฝางซิ่วหลานเพิ่งเสียเงินไปห้าร้อยตำลึง ในใจเต็มไปด้วยไฟสุมอก
เจ่าจือยกรังนกเข้ามา
เมื่อฝางซิ่วหลานเห็นรังนกแล้วนึกถึงคำพูดของอนุห้าก็รู้สึกโมโหยิ่งกว่าเดิม นางเขวี้ยงถ้วยทิ้ง
รังนกตกไปอยู่แทบเท้าของเจ่าจือ
“ฮูหยินอย่าได้โมโหเลยเจ้าค่ะ ลูกในท้องของท่านสำคัญยิ่งนะเจ้าคะ”
ฝางซิ่วหลานแค่นเสียงเย็น “ทุกคนล้วนรังแกข้า สักวันข้าจะทำให้พวกเขาได้เห็นดี!”
เจ่าจือยังคงนิ่งเงียบ
ฝางซิ่วหลานเดินไปที่หน้าต่าง มือโบกพัดให้ตนเอง พยายามคลายความโมโห นางโกรธเสียจนรู้สึกอึดอัดท้องขึ้นมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การดูแลลูกเป็นสิ่งสำคัญที่สุด นางจึงต้องสงบสติอารมณ์
“เขา…” ฝางซิ่วหลานมองชายในสวนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
เจ่าจือเข้ามาดูแล้วกล่าว “นี่เป็นบ่าวรับใช้คนใหม่เจ้าค่ะ เหมือนจะชื่อจินจือนะเจ้าคะ”
ฝางซิ่วหลานเหลือบมองเจ่าจือ “เพิ่งมาใหม่หรือ?”
“เจ้าค่ะ พ่อบ้านบอกว่าบ่าวรับใช้ในบ้านไม่พอจึงซื้อตัวมาเพิ่มอีกประมาณสิบกว่าคน” เจ่าจือเอ่ยถาม “ฮูหยิน มีปัญหาอะไรหรือเจ้าคะ?”
ฝางซิ่วหลานบีบฝ่ามือ
ปัญหานั้นใหญ่ยิ่ง
คนแก่พึ่งออกไป คนหนุ่มก็มาอีกแล้ว
หรือว่าหลิ่วจินเปยก็คิดจะข่มขู่นางเช่นกัน?
อวี๋ซื่อคือมารดาของเขา ยามนี้มาตายในมือนาง เขาจะไม่ตามคิดบัญชีได้อย่างไร?
จะทำอย่างไรดี?
ฉวยโอกาสที่ไม่มีผู้ใดเห็นฆ่าหลิ่วจินเปยผู้นั้นหรือ? อย่างไรเสียเมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ มิสู้แก้ให้จบไปทีเดียวเสียเลย
ดวงตาของฝางซิ่วหลานแฝงแววมุ่งร้าย
เมื่อครู่นี้นางกังวลเรื่องคดีฆาตกรรม บัดนี้เพื่อปกปิดความจริงของคดีแล้ว นางกำลังคิดว่าจะทำให้พ่อลูกคู่นี้หายตัวไปได้อย่างไร ส่วนที่หลิ่วซานเฉวียนบอกว่าทุกคนในหมู่บ้านล้วนรู้ความจริง นางตระหนกตกใจไปครู่หนึ่งทว่าไม่นานก็เลิกใส่ใจ
ทั้งหมู่บ้านรู้แล้วอย่างไร พวกเขามีหลักฐานหรือ? แม้ว่าพวกเขาจะมีหลักฐาน พวกเขาจะกล้ามาสร้างปัญหาให้นางหรือ? ก่อนหน้านี้นางรู้แล้วว่าชาวบ้านพวกนี้ขี้ขลาดตาขาวเพียงใด พวกเขาย่อมไม่กล้าล่วงเกินคหบดีจาง
“เจ่าจือ เจ้าไปเอารังนกมา ข้าอยากกิน”
“เจ้าค่ะ”
หลิ่วจินเปยกำลังจับตามองความเคลื่อนไหวทางนี้ พอเห็นเจ่าจือไปแล้ว เขาก็รีบเข้ามาทั้งที่มือยังถือไม้กวาด
“หลานเอ๋อร์…”
ฝางซิ่วหลานเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
“หลานเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า”
“ถามอะไร?”
ฝางซิ่วหลานหรี่ตาลง แววตาเยือกเย็น
ครั้งนี้จะขอเงินกี่มากน้อย?
หนึ่งร้อยตำลึง หรือว่าจะโลภพอ ๆ กับบิดาเขา เขมือบห้าร้อยตำลึงในคราวเดียว?
“ลูกในท้องเจ้าเป็นของคหบดีจางจริง ๆ หรือ?” หลิ่วจินเปยมองฝางซิ่วหลานด้วยความคาดหวัง
ฝางซิ่วหลานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้าลองไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเถิด เด็กคนนี้เป็นของคหบดีจางจริง ๆ ไม่ใช่ของข้าหรือ?”
ฝางซิ่วหลานถึงกับตะลึงงัน
“เจ้ามาหาข้าเพื่อถามเรื่องนี้หรือ?”
“ใช่น่ะสิ! ไม่อย่างนั้นจะมาทำไมเล่า ข้ายังจะถามอะไรได้อีกหรือ?”
“แม่เจ้า…” ฝางซิ่วหลานมองเขาอย่างจับพิรุธ “เจ้าไม่มีเรื่องอื่นจะถามแล้วหรือ?”
“สมองของข้าตอนนี้มีเพียงเจ้ากับลูก ไม่ได้อยากถามเรื่องอื่นใด แม่ข้าเป็นอะไรหรือ? แม่ข้าสร้างความลำบากให้เจ้าหรือ? เจ้าวางใจ รอข้ากลับไปข้าจะพูดกับนางเอง” หลิ่วจินเปยขมวดคิ้ว “หากไม่ใช่เพราะนางมักสร้างความยุ่งยากให้เจ้า เจ้าคงไม่ต้องมาเป็นสตรีของคหบดีจาง”
หลิ่วจินเปยยังไม่รู้ว่ามารดาของตนเสียชีวิต อีกทั้งการตายนั้นยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง
เขาคิดว่าเด็กในท้องของนางเป็นลูกของเขาถึงได้ตามตอแยนางไม่เลิกรา
เด็กในท้องเป็นของผู้ใด ผู้อื่นไม่รู้ ฝางซิ่วหลานเองก็ไม่รู้เช่นกัน อย่างไรในช่วงเวลานั้นนางก็มีคหบดีจางและหลิ่วจินเปยเป็นสามีสองคน เหตุการณ์ไล่เลี่ยจนยากจะกล่าวได้ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกหลิ่วจินเปยย้ำเตือน ฝางซิ่วหลานก็เริ่มสงสัยขึ้นมา
คหบดีจางมีสตรีไม่น้อย อนุก็มีไม่น้อยเช่นกัน จนถึงบัดนี้มีอนุที่แก่จนเหี่ยวย่นอยู่เต็มเรือนหลัง ทว่าสตรีเหล่านั้นกลับไม่มีผู้ที่ตั้งครรภ์แม้แต่ผู้เดียว นั่นแสดงให้เห็นว่าร่างกายคหบดีจางมีบางอย่างผิดปกติ
หรือว่าลูกในท้องของนางจะเป็นของหลิ่วจินเปยจริง ๆ?
เช่นนั้นหากคหบดีจางรู้เข้า ตัวตนฮูหยินของนางคงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
“เด็กคนนี้เป็นของคหบดีจาง ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ฝางซิ่วหลานกล่าว “เจ้ารีบออกไปจากที่นี่และอย่าได้กลับมาอีก มิเช่นนั้นก็เท่ากับเจ้าอยากจะฆ่าข้ากับลูก!”
หลิ่วจินเปยได้ยินดังนี้จะเชื่อหรือไม่?
แน่นอนว่าย่อมไม่เชื่อ
ยิ่งฝางซิ่วหลานตื่นตระหนก ยิ่งเป็นการยืนยันข้อสงสัยของเขา
“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะไม่บอกผู้ใด” หลิ่วจินเปยกล่าว “สกุลจางร่ำรวย หากลูกของเราเกิดที่นี่และได้สืบทอดทรัพย์สินของสกุลจาง นั่นจะไม่ดีกว่าให้เจ้าตามข้ากลับไปทำไร่ทำนาหรือ?”
ฝางซิ่วหลานมองหลิ่วจินเปย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความว่าข้าจะรั้งอยู่ดูแลพวกเจ้าแม่ลูกและจะไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ความลับนี้ เจ้าตัวคนเดียวอยู่ในสกุลจางไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิง ต่อไปข้าจะช่วยเจ้า” หลิ่วจินเปยเอ่ย
ฝางซิ่วหลานเม้มริมฝีปาก
นางอยู่ในบ้านสกุลจางไม่มีผู้ใดให้พึ่งจริง ๆ หากหลิ่วจินเปยรั้งอยู่ช่วยเหลือ บางทีอาจจะง่ายขึ้นกว่าเดิม เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แต่อนุห้า นางปีศาจน้อยผู้นั้นจักต้องมีผู้ใดสักคนจัดการ!