ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 287 เห็นดารากลางทิวา-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 287 เห็นดารากลางทิวา-1

ไม่รู้เช่นกันว่าเพราะเกาเหรินผู้นี้คำนวณได้แม่นยำ หรือเป็นเรื่องบังเอิญ

จวบจนหลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราจอกสุดท้ายหมด

ก็ได้ยินเสียงน้ำฝนหยดสุดท้ายไหลจากชายคาลงพื้นพอดี

ฝนหยุดแล้ว

เขาก็ควรไปแล้วเช่นกัน

หลิวรุ่ยอิ่งลุกขึ้นยืน

มองเกาเหรินเงียบๆ

แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

ก่อนพาหวาหนงเดินออกไปจากศาลเจ้า

“ไปทางเหนือยี่สิบลี้ มีเรื่องสนุกให้ดู!”

เสียงของเกาเหรินดังมาจากข้างหลัง

แต่ฝีเท้าของหลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อย

ทว่าในใจเขากลับรู้ชัดยิ่งนัก

ไปทางเหนือยี่สิบลี้

ก็ไม่ใช่เมืองที่จิ้งเหยาชิงเบี้ยหวัดไปก่อนหน้านี้หรอกหรือ

เรื่องสนุก?

ต่อให้เมืองแห่งนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน หรือมีซากศพกลาดเกลื่อน เขาก็ต้องกลับไปอยู่ดี

หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งออกมาจากกรมสอบสวน ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนการตรวจสอบพิเศษภาคตะวันตกเฉียงเหนือ

ทิศตะวันตกย่อมหมายถึงแดนติ้งซีอ๋อง

เวลานี้มองไปแล้ว ข้างหลังตั๊กแตนที่จับจั๊กจั่นต้องมีนกขมิ้น[1]อยู่เป็นแน่

เบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องถูกชิงไป และผู้สั่งการกองตงอี้ถูกสังหาร

เหตุผลเหล่านี้ล้วนทำให้หลิวรุ่ยอิ่งต้องเดินทางไปทางเหนือยี่สิบลี้เพื่อกลับไปยังเมืองแห่งนั้นอีกครั้ง

“พวกเรากลับไปเมืองหลวงไม่ได้แล้วใช่หรือไม่”

หวาหนงถาม

“อาจต้องเสียเวลาสักพัก แต่ท้ายที่สุดก็ยังต้องกลับไป”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

หวาหนงพยักหน้า

เขารู้ว่าอาจารย์อาเข้าใจความหมายของเขาผิดไป แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยคำใดอีก

ที่หวาหนงบอกว่ากลับไม่ได้ ไม่ได้ถามว่าเมื่อใดจึงจะกลับไปได้

แต่หมายความว่าที่แท้แล้วพวกเขาสองคนยังสามารถกลับไปได้หรือไม่

จะมีชีวิตกลับไปหรือไม่

ฝนหยุดแล้ว

แต่ฟ้ายังไม่ปลอดโปร่งเต็มที่

นับๆ ดูเวลาแล้ว ยามนี้น่าจะเป็นยามกลางวัน

ทว่าบนม่านฟ้ากลับสามารถมองเห็นดาวดวงใหญ่หลายดวงอยู่รำไร

หลิวรุ่ยอิ่งเงยหน้าขึ้นไปมอง

แต่ไม่ได้พินิจให้ลึกล้ำ

เขาไม่รู้เรื่องของดวงดาว

ทั้งไม่มีความสามารถรู้และสัมผัสได้ล่วงหน้าเช่นที่เซียวจิ่นข่านหรือเกาเหรินมี

เป็นฝ่ายรอรับเช่นเดียวกับจิ้งเหยา

ความปรารถนาจะล้างแค้นของจิ้งเหยาถูกเกาเหรินนำไปใช้ประโยชน์

ทว่าตัวหลิวรุ่ยอิ่งเองจะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร

แม้เขาจะไม่มีความแค้นใดต้องสะสาง แต่ก็ต้องการสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

มีเพียงการสร้างความดีความชอบในกรมสอบสวนกลางให้มากเข้าไว้ จึงจะสามารถเลื่อนตำแหน่งได้ในเร็ววัน

ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งผู้บังคับการกรมทีละก้าว

ด้วยเหตุนี้ ทั้งเรื่องหลวงและเรื่องราษฎร์ อย่างไรเขาก็จำเป็นต้องกลับไป

พวกเขาสองคนยังไม่ทันเข้าใกล้เมืองแห่งนั้น

ก็พบว่าทหารอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องได้ปิดล้อมถนนทั้งในป่าและบนเขาเอาไว้จนหมดแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งพาหวาหนงเดินอ้อมไปทางด้านข้าง ก่อนปีนขึ้นไปบนเนินสูงแห่งหนึ่ง

เห็นทหารอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องกำลังขุดหลุม

ข้างหลุมดินนั้นมีศพกว่าร้อยคนกองอยู่

มีทั้งทหารที่สวมเสื้อเกราะ

และชาวบ้านทั่วไปที่สวมเสื้อผ้าทอธรรมดา

“คนเหล่านั้นตายได้อย่างไร”

หวาหนงถาม

“เจ้าคิดว่าผู้ใดสังหารพวกเขา”

หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม

“จิ้งเหยา?”

หวาหนงนิ่งคิดพักใหญ่จึงเอ่ยออกมา

หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้ว ส่ายหน้า

“ไม่ใช่หรอกหรือ เพื่อชิงเบี้ยหวัด จิ้งเหยาก็ควรเอาคนออกจากเมืองแห่งนี้ให้หมดจึงจะถูก”

หวาหนงกล่าว

แม้ถ้อยคำของเขาจะสอดคล้องกับตรรกะ

แต่เขายังเข้าใจมนุษย์ไม่มากพอ

หรือพูดได้ว่ายังไม่เข้าใจวิถีปฏิบัติของอาณาจักรห้าอ๋องอย่างเพียงพอ

ในบรรดาห้าอ๋อง

ซ่างกวนซวี่เหยาถูกขนานนามว่าเป็นอ๋องยอดสุภาพบุรุษมาแต่ไร

นั่นเพราะเขาปฏิบัติต่อผู้คนอย่างอ่อนโยน ให้เกียรติกับผู้มีความสามารถ

นิยมบุ๋นกว่าชมชอบบู๊

ไม่ว่าหอทรงปัญญาหรือหอทรงภูมิ

เขาโต้กลอนกับชาวบุ๋นและบัณฑิตในใต้หล้าบ่อยครั้ง

นานวันเข้า ผู้คนมักเกิดความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง

นึกว่าซ่างกวนซวี่เหยาก็คือผู้นำที่จิตใจอ่อนโยนเป็นมิตรผู้หนึ่ง

แต่กลับลืมไปแล้วว่าเขาก็เป็นหนึ่งในห้าอ๋องแห่งใต้หล้า

พิชิตใต้หล้ามาจากภูผาแห่งศพและทะเลเลือดเช่นกัน

“จิ้งเหยาไม่มีเวลาพอ…ยิ่งไปกว่านั้นเขาพากำลังคนมาด้วยน้อยยิ่งนัก สามารถขนเบี้ยหวัดไปได้ก็นับว่าไม่ง่ายดายแล้ว จะยังมีกำลังมาสังหารคนทั้งเมืองได้อีกอย่างไรเล่า”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

เอ่ยมาถึงตรงนี้

ก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดต่อไปแล้ว

คิดว่าหวาหนงก็คงเข้าใจแจ่มแจ้งอยู่ในใจดี

ราษฎรแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเหล่านี้ ล้วนตายด้วยน้ำมือของทหารอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง

“เพราะเหตุใดหรือ”

หวาหนงถาม

แม้เขาจะรู้สาเหตุแท้จริงที่คนเหล่านี้ตาย

แต่กลับคิดหาต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ไม่ออก

“เบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงถูกชิงไป นับเป็นเรื่องใหญ่โตเทียมฟ้า ต่อให้อันตงอ๋องผู้มีดินแดนอุดมสมบูรณ์ที่สุดในใต้หล้าเป็นผู้รวบรวมเงินจำนวนนี้มา ก็คิดว่ายังต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ฉะนั้นจึงห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด หากให้ทหารชายแดนรู้เรื่องนี้เข้า ย่อมต้องมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทุกแห่ง และทำให้กำลังใจของทหารสั่นคลอน”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“แต่เบี้ยหวัดถูกชิงไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางไปถึงมือทหารที่ชายแดนได้”

หวาหนงกล่าว

“ยื้อเวลา”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“ยื้ออย่างไรหรือ”

หวาหนงถาม

“ก็ยื้อเช่นนี้”

หลิวรุ่ยอิ่งยู่ปากไปข้างหน้าพลางเอ่ย

หวาหนงนิ่งเงียบ

ที่แท้แล้วการสังหารคนตั้งมากมายเพียงนี้ ก็เพียงเพื่อให้คนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วช้าลงเล็กน้อย

ทว่าทหารที่มาสังหารคนก็ไม่ใช่ว่ารู้เรื่องนี้แล้วหรอกหรือ

หรือว่าต้องส่งทหารอีกชุดหนึ่งมาสังหารทหารเหล่านี้ให้ตายอีกครั้ง

“นั้นก็ต้องดูว่าซ่างกวนซวี่เหยาต้องการยื้อเวลาไว้นานเท่าใด”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

อยู่ด้วยกันมานานวันเพียงนี้ เขาก็พอจะเดาความคิดอ่านของหวาหนงออกได้บ้าง

“ยิ่งไปกว่านั้น วิธียื้อเวลามีมากมาย ทหารกลุ่มนี้อาจไม่รู้เรื่องที่เบี้ยหวัดถูกชิงเอาไป ก็เพียงบอกไปว่าในเมืองแห่งนี้มีคนลักลอบนำข่าวไปแจ้งแก่ฝ่ายทุ่งหญ้าจึงต้องสังหารพวกเขาให้หมดเสีย แต่หากทหารกลุ่มนี้รู้ว่าเบี้ยหวัดถูกช่วงชิงไป ก็บอกว่าต้องส่งพวกเขามาคอยเฝ้าและปิดกั้นที่นี่เอาไว้ หากแก้ไขได้ไวนั้นยังดี แต่หากแก้ปัญหาได้ช้าพวกเขาก็จะต้องตาย”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“แล้วพวกเขายังจะต้องตายด้วยเหตุผลใดอีก”

หวาหนงถาม

“มีการตายเช่นใดบ้างที่ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ทว่าซ่างกวนซวี่เหยาก็จะต้องให้เหตุผลมาสักข้อหนึ่งเป็นแน่ เขาสามารถบอกว่าทหารกลุ่มนี้เป็นทหารทรยศ และหลังจากนั้นก็ส่งทหารมาปราบปรามพวกเขาให้สิ้น ทำเช่นนี้ก็จะปกปิดเรื่องทั้งหมดเอาไว้ได้ ฝุ่นก็ส่วนฝุ่น ดินก็ส่วนดิน[2] อีกยี่สิบปีให้หลังเมืองแห่งนี้ก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งเหมือนตอนที่พวกเราเพิ่งมาถึง”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

ใบหน้าของหวาหนงเผยรอยยิ้มขึ้นมา

“เหตุใดจึงยิ้ม”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“ข้าแค่รู้สึกว่าทำเช่นนี้น่าสนุกจริงๆ เพื่อเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเรื่องหนึ่ง แต่กลับเอาแต่สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อปกปิด จนสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ว่ามีเพียงซ่างกวนซวี่เหยาผู้เดียวที่รู้เรื่องนี้ และเป็นผู้เดียวที่ต้องรับผลของเรื่องนี้หรอกหรือ”

หวาหนงกล่าว

“ก็เหมือนกับที่ข้าบอกกับเกาเหรินไปก่อนหน้านี้ว่าเป็นเทพก็ไม่ได้ง่ายดาย เป็นอ๋องยิ่งยากกว่านั้น”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

“อ๋อง? อยู่เหนือคนนับหมื่น มีสิ่งใดยากกัน”

หวาหนงกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย

“หากเทพทำการไม่สำเร็จย่อมไม่มีคนด่าเขา เพียงแค่รู้สึกว่าสิ่งที่ตนมุ่งหวังไม่สำเร็จ ฉะนั้นเมื่อครั้งหน้ามาอีก ก็จะต้องนำของเซ่นไหว้ที่ล้ำค่ายิ่งกว่าและจิตใจที่เปี่ยมศรัทธามากขึ้นมาด้วย แต่หากอ๋องทำการไม่สำเร็จหลายครั้งเข้า นอกจากจะถูกด่าทอแล้ว ยังต้องถูกสังหารด้วย”

หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว

หวาหนงฟังไม่เข้าใจอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้เขาจึงนิ่งเงียบลง

ความจริงแล้วหลิวรุ่ยอิ่งสามารถเดินเข้าไปอย่างเปิดเผย

เพียงเขาแสดงฐานะนายกองแห่งกรมสอบสวนกลางของตนเท่านั้น

แต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น

เพราะเขาไม่แน่ใจว่าทหารเหล่านี้ได้รับคำสั่งเช่นใดมากันแน่

หากมาเพราะคำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวมของด่านชายแดน

นายกองผู้หนึ่ง ต่อให้เป็นนายกองที่ขึ้นตรงต่อกรมสอบสวนกลาง

หากบอกว่าจะสังหารย่อมสังหารได้

ต่อให้ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่ามาไล่สืบสวนด้วยตนเอง

เพียงซ่างกวนซวี่เหยาออกหน้ามาสกัด ย่อมต้องเลิกแล้วกันไป

ฉะนั้น เขาจึงไม่เอาตัวไปเสี่ยง

โดยเฉพาะในเวลานี้ที่สภาพร่างกายของเขายังไม่ฟื้นฟูทั้งหมด

แม้แต่ปกป้องตนเองก็ยังยากเย็น

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องบุกเข้าไปในค่ายทหารด้วยซ้ำ

“นึกไม่ถึงเลยว่าในป่าดงพงไพรเช่นนี้ ยังสามารถพบเห็นพี่ชายสองท่านที่หล่อเหลาเพียงนี้!”

เสียงสตรีผู้หนึ่งดังเข้ามาที่ข้างหูของหลิวรุ่ยอิ่ง

พอเขาหันกลับไปดู

สตรีนางหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่ไกลออกไป

สตรีผู้นี้สวมชุดชาวไร่ชาวนา

แต่กลับไม่อาจปกปิดเสน่ห์แพรวพราวที่แผ่ออกมาของนางได้

แม้ไม่ใช่หญิงวัยสาว

แต่ความเย้ายวนและราศีชนิดนี้กลับยั่วยวนคนเป็นที่สุด

นางเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งหันหน้ามา

จึงเยื้องย่างมาข้างหน้าช้าๆ

สตรีนางนี้สองมือว่างเปล่า แต่เท้าทั้งคู่กลับเปลือยเปล่า

บนหลังเท้ายังมีคราบโคลนที่กระเซ็นมาเปื้อนยามฝนตก

ทว่าคราบสกปรกเหล่านี้กลับขับให้เท้าทั้งคู่ของนางยิ่งขาวนวลเย้ายวน

“พี่สาวมีสิ่งใดชี้แนะหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

ในป่าดงพงไพร

แดดอ่อนดารารำไร

จู่ๆ สตรีนางนี้ก็ปรากฏตัวออกมาอย่างทันทีทันใดเช่นนี้

จะไม่ให้คนสงสัยได้อย่างไร

“อุ๊ย! พ่อรูปหล่อช่างปากหวานเสียจริง…พอเอ่ยปากก็เรียกข้าว่าพี่สาว ข้าอายุปูนนี้แล้ว ไม่รู้ว่ายังจะได้ยินอีกกี่ครั้ง!”

สตรีนางนี้เดินมาตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่ง และหยุดฝีเท้าลงในระยะห่างออกไปสองจั้ง

เอียงคอ ส่งยิ้มน้อยๆ มองไปข้างหน้า

“พ่อรูปหล่อสองท่านจะไปที่เมืองข้างหน้านั่นหรือ”

สตรีถาม

………………………………………

[1] ข้างหลังตั๊กแตนที่จับจั๊กจั่นต้องมีนกขมิ้น มาจากสำนวนตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง หมายถึง ผู้มีวิสัยทัศน์ไม่กว้างไกล เอาแต่จ้องทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ดูว่าตนเองก็อาจตกเป็นเหยื่ออีกทอดหนึ่งได้เช่นกัน

[2] ฝุ่นก็ส่วนฝุ่น ดินก็ส่วนดิน หมายถึง ทางใครทางมัน ไม่ข้องเกี่ยวกันอีก

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท