บทที่ 786 วิวาท (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ลู่​เซิ่งมอง​เห​อชู่ห​ร่วน​แวบ​หนึ่ง​

“เจ้ารอ​อยู่​นี่​ก่อน​ ข้า​ไป​จัดการ​ธุระ​ก่อน​เดี๋ยวเดียว​ก็​กลับ​”

“ไป​เถิด​ๆ” เห​อชู่ห​ร่วน​คร้าน​จะวิ่ง​ไป​ทั่ว​ นาง​พบเห็น​เรื่อง​เช่นนี้​มามากมาย​ ก็​แค่​ไป​พูดคุย​กัน​อย่าง​เกรงอกเกรงใจ​กัน​สัก​สอง​สามประโยค​ ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​วางมาด​ แสดง​จำนวน​คน​และ​เส้นสาย​หนุนหลัง​สักหน่อย​ หาก​ใคร​มีอำนาจ​มากกว่า​ จำนวน​เยอะ​กว่า​และ​เส้นสาย​ดีกว่า​ เช่นนั้น​ก็​จะกดดัน​ให้​อีก​ฝ่าย​ก้มหน้า​ยอมแพ้​ได้​

สาเหตุ​ที่​พรรค​ธรรมะ​และ​อธรรม​อยู่​อย่าง​ปลอดภัย​ไร้​เรื่องราว​มาได้​เนิ่นนาน​บน​ยุทธ​จักร​แห่ง​นี้​ หรือ​บู๊​ลิ้ม​แห่ง​นี้​ ก็​เพราะ​อาศัย​กฎ​ลับ​ที่​ไม่มีการ​กำหนด​เป็น​ลายลักษณ์อักษร​เหล่านี้​นี่เอง​

เนื่องจาก​ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​อยู่​ใน​ยุทธ​ภพ​ ถ้าเกิด​ประหัต​ประ​การกัน​ทุกครั้งที่​เจอกัน​ ศิษย์​แต่ละ​สำนัก​คง​มีไม่พอใช้​

ใน​เมื่อ​ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​ขว้าง​มุสิก​กลัว​ภาชนะ​เสียหาย​[1] อย่างนั้น​การ​ยอม​ถอย​คนละ​ก้าว​ เพื่อให้​เรื่อง​จบ​ๆ ไป​จึงเป็น​ทางแก้ไข​

หลังจาก​คุ้นเคย​กับ​แบบแผน​พฤติการณ์​นี้​แล้ว​ ลู่​เซิ่งก็​เร่งรุด​ไป​โดย​พกพา​ความคิด​นี้​ไป​ด้วย​ คิด​จะอาศัย​สถานะ​กับ​จำนวน​คน​พูดคุย​ข้อเท็จจริง​กับ​เหตุผล​

ไม่ว่า​จะเป็น​ฝ่าย​อธรรม​หรือ​ฝ่าย​ธรรมะ​ เมื่อ​เกิด​ความขัดแย้ง​กัน​ขึ้น​ ทุกฝ่าย​ต่าง​ก็​อึดอัด​ใจ การ​ใช้กำลัง​ไม่ใช่ทางออก​ทางเดียว​ ทุกคน​อยู่อาศัย​ร่วมกัน​ ขอ​แค่​เห็นแก่หน้า​กัน​ พาด​บันได​ให้​กันลง​ และ​ประนีประนอม​กัน​ได้​ก็​พอ​

ตอนนี้​เขา​ไม่มีกะ​จิต​กะ​ใจสนใจ​เรื่องไร้สาระ​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ ถ้าไม่ใช่ว่า​เขา​เป็น​คน​ที่​มีสถานะ​สูงสุด​ใน​บริเวณ​นี้​ ลู่​เซิ่งถึงขั้น​ไม่อยาก​ไป​รับ​ชมความสนุก​ด้วยซ้ำ​

แต่​ตอนนี้​ทำ​อะไร​ไม่ได้​แล้ว​ ใน​เมื่อ​คน​มาหา​ถึงที่​ ก็​ต้อง​ไป​รับมือ​สักหน่อย​

เขา​เดินตาม​ศิษย์​น้อง​ที่​นำทาง​ไป​พลาง​ ส่งเสียงแหลม​สูงเหมือนกับ​เสียง​ผิวปาก​ไป​พลาง​ เพื่อ​แจ้งศิษย์​สำนัก​รอบนอก​ที่อยู่​ใน​บริเวณ​ใกล้เคียง​

ดังนั้น​ใน​ตอนที่​เดิน​ไป​ได้​ครึ่งทาง​ รอบตัว​ลู่​เซิ่งจึงมีศิษย์​รอบนอก​อย่าง​น้อย​ยี่สิบ​กว่า​คน​มารวมตัวกัน​ ต่าง​ก็​พก​กระบี่​และ​สวม​ชุด​สีเทา​อ่อน​เหมือนกัน​หมด​ คนเดินถนน​ยัง​ต้อง​หลีกทาง​ให้​

เพียงแต่​สิ่งที่​ลู่​เซิ่งนึกไม่ถึง​ก็​คือ​ เมื่อ​เขา​ไป​ถึงจุด​เกิดเหตุ​ ทุกอย่าง​ก็​สาย​ไป​เสียแล้ว​

ณ โรง​สุรา​เขียวขจี​

ด้านใน​โรง​สุรา​เละเทะ​อลหม่าน​ โต๊ะ​เก้าอี้​ล้ม​กับ​พื้น​ ขา​เก้าอี้​บางส่วน​ถูก​คน​ถือ​ไว้​ใน​มือ​ ไห​สุรา​ถูก​ทุบ​แหลก​จน​ชิ้นส่วน​กระจัดกระจาย​ไป​ทั่ว​

คน​สามคน​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​คุ้มครอง​สตรี​สวม​อาภรณ์​เหลือง​สอง​คน​ไว้​ พร้อมกับ​จ้องมอง​คน​สวม​อาภรณ์​สีเขียว​หลาย​คน​ที่นั่ง​อยู่​ฝั่งตรงข้าม​ด้วย​สีหน้า​คร่ำ​เครียด​

“ถึงกับ​มีคน​กล้า​ข่มเหง​สตรี​กลางวันแสกๆ​ หรือ​พวก​เจ้าไม่รู้​ว่า​ที่นี่​เป็น​ถิ่น​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ของ​พวกเรา​!?”

บุรุษ​วัยกลางคน​ที่​เป็น​ผู้นำทาง​ฝั่งพรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​แซ่ซุน​ นาม​เจาเห​อ​ ซุน​เจาเห​อ​เป็น​ผู้รับผิดชอบ​ฝ่าย​รักษา​ความปลอดภัย​ของ​เขต​ถนน​เขต​นี้​ ทั้ง​ยัง​เป็น​ผู้ควบคุม​กิจการ​ที่​พรรค​วางตัว​เขา​ไว้​ที่นี่​

ปกติ​เขา​ไม่คิด​ออกหน้า​จัดการ​เรื่อง​ทะเลาะเบาะแว้ง​เหล่านี้​ ทว่า​ครั้งนี้​แม้แต่​หลาน​ของ​เขา​ก็​เข้ามา​เกี่ยวข้อง​ด้วย​ ดังนั้น​เขา​จึงต้อง​ออกหน้า​ ด้วย​หวัง​ว่า​อีก​ฝ่าย​จะเห็นแก่หน้า​เขา​ ต่าง​ฝ่าย​ต่าง​ถอย​คนละ​ก้าว​

มิคาด​ว่า​อีก​ฝั่งไม่สน​ความเกรงใจ​ของ​เขา​แม้แต่น้อย​

ใน​เมื่อ​พวกเขา​ไม่เกรงใจ​ เช่นนั้น​ก็​อย่า​โทษ​เขา​ไม่เกรงใจ​เลย​ ซุน​เจาเห​อ​จับ​ด้าม​กระบี่​ที่​เอว​เอาไว้​ พร้อม​จะลงมือ​ตลอดเวลา​

คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​เหล่านั้น​หัวเราะ​เสียง​เย็น​

“อย่า​ว่าแต่​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ของ​พวก​เจ้าเลย​ ต่อให้​เป็น​พันธมิตร​เจ็ด​ขุนเขา​แล้ว​อย่างไร​ พวกเรา​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​ตาม​สืบ​โจร​ขโมย​ นัง​ผู้หญิง​สอง​คน​นี้​ขโมย​ของล้ำค่า​ไป​จาก​ลัทธิ​เรา​ พวกเรา​ต้องการ​ให้​พวก​นาง​เอา​ของ​คืน​มา! แต่​พวก​เจ้ากลับ​แส่หาเรื่อง​ นี่​กำลัง​ช่วย​คน​ผิด​หรือ​อย่างไร​”

“พูดจา​เหลวไหล​!” หญิงสาว​สวม​อาภรณ์​เหลือง​คน​หนึ่ง​น้ำตา​คลอ​เอ่ย​ด้วย​เสียง​โกรธแค้น​ “นั่น​เป็น​สมบัติ​ของ​ตระกูล​เรา​ชัด​ๆ! พวก​เจ้า…พวก​เจ้าถึงกับ​!?”

หญิง​งามอีก​คน​ร้องไห้​อยู่​ด้าน​ข้าง​ ชวน​ให้​รู้สึก​สงสาร​

“นัง​นี่​เสแสร้ง​ได้​เก่ง​นัก​!” คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​ผู้​นั้น​โมโห​ ก่อน​จะโบกมือ​ใหญ่​ “จัดการ​เลย​!”

อีก​สอง​คน​ที่​เหลือ​โถมตัว​พุ่ง​เข้ามา​โดย​ไม่พูดพร่ำทำเพลง​

ซุน​เจาเห​อ​ไม่เคย​ได้ยิน​ชื่อ​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​มาก่อน​ นึก​ว่า​เป็น​ลัทธิ​ธรรมดา​ ที่แท้​อีก​ฝ่าย​ก็​พอ​มีวิชา​ จึงนำ​ศิษย์​พี่​ศิษย์​น้อง​สอง​คน​ชัก​กระบี่​บุก​เข้าใส่​ ใช้วิชา​กระบี่​อาญา​หยก​ปะทะ​กับ​คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​ผู้​นั้น​ทันที​

ด้านนอก​ประตู​มีคน​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​เห็น​เข้า​ จึงรีบ​วิ่ง​แจ้น​ออก​ไป​แจ้งศิษย์​พี่​ศิษย์​น้อง​ใน​พรรค​ทันที​

“พวก​มัน​มีคน​เยอะ​ รีบ​เชิญพระ​ธรรมบาล​มา!” คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​ที่​เป็น​ผู้นำ​กล่าว​เสียง​เฉียบขาด​

คน​คน​หนึ่ง​ใน​กลุ่มคน​สวม​อาภรณ์​เขียว​เห็น​ดังนั้น​ก็​แอบ​ปล่อย​เส้น​สีเขียว​สาย​หนึ่ง​ออก​มาจาก​แขน​เสื้อ​ เส้น​สีเขียว​คืบคลาน​ออก​มาจาก​ข้าง​ใต้เท้า​ก่อน​จะหาย​แวบ​ไป​ดุจ​สายฟ้า​ฟาด​ แสดงให้เห็น​ว่า​ไป​แจ้งพวก​เดียวกัน​เรียบร้อย​แล้ว​

ทั้งสองฝ่าย​สู้กัน​เสียงดัง​วุ่นวาย​ วิชา​กระบี่​หยก​อาญา​เดิน​บน​เส้นทาง​แผ่ว​พลิ้ว​ที่​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ถนัด​ คล่องแคล่ว​รวดเร็ว​ กลอกกลิ้ง​เจ้าเล่ห์​

คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​ถือ​ดาบ​โค้ง​รุก​ถอย​อย่าง​มีจังหวะ​ รอบตัว​กลายเป็น​เหมือน​เม่น​ ไม่ว่า​จะตั้ง​รับ​หรือ​รุก​ดาบ​โจมตี​ ล้วน​หนักแน่น​ทรงพลัง​ รุก​ถอย​อย่าง​อิสระ​เสรี​

สู้ไป​สู้มา คน​ที่​เหลือ​ต่าง​ถูก​การต่อสู้​ของ​ผู้นำ​ทั้งสอง​บีบบังคับ​ให้​หยุดชั่วคราว​ ใน​กฎ​ของ​ยุทธ​จักร​ การต่อสู้​ของ​ยอด​ฝีมือ​ที่​ถูก​เรียก​เป็น​มือดี​ได้​อย่าง​พวกเขา​สอง​คน​ สามารถ​ตัดสิน​ผล​แพ้ชนะ​ของ​การทะเลาะวิวาท​ครั้งนี้​ได้​เลย​

ซุน​เจาเห​อ​กับ​ผู้นำ​สวม​อาภรณ์​เขียว​สามารถ​รับมือ​ชายฉกรรจ์​ห้า​หก​คน​ได้​สบาย​ๆ

กล่าว​ได้​ว่า​พวกเขา​มีพลัง​ต่อสู้​ใน​ระดับ​ตัดสิน​ผลลัพธ์​ ผล​แพ้ชนะ​ระหว่าง​ทั้งสอง​จะส่งผล​ต่อ​เหตุการณ์​ทั้งหมด​

รอ​สักพัก​

เค​ร้ง​ เค​ร้ง​ เค​ร้ง​

เกิด​เสียงดัง​ติดต่อกัน​สามครั้ง​ คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​ฟัน​ใส่กระบี่​ยาว​ของ​ซุน​เจาเห​อ​สามดาบ​ติดต่อกัน​

คม​กระบี่​หัก​กระเด็น​ออก​ไป​ ซุน​เจาเห​อห​น้า​เหยเก​ ถอยหลัง​ไป​หลาย​ก้าว​ เลือด​ไหล​ออก​มาจาก​มุมปาก​ เขา​พ่ายแพ้​ไป​กระบวนท่า​หนึ่ง​ แต่​อีก​ฝ่าย​ก็​ไม่ได้​มีสภาพ​ดี​ไป​กว่า​กัน​เท่าไร​

คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​หัวเราะ​ แต่​ก็​กระอัก​ไอ​ออกมา​ทันที​ ทรวงอก​เขา​มีรอย​กระบี่​เพิ่ม​มาสามรอย​ แม้จะไม่ลึก​ แต่​ก็​ทำให้​ชีพจร​ปอด​ของ​เขา​เสียหาย​

“พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ก็​เท่านี้​! ฮ่าๆๆๆ!”

ซุน​เจาเห​อ​ได้ยิน​ดังนั้น​ สีหน้า​ก็​เขียว​คล้ำ​อย่าง​รวดเร็ว​

“ไอ้​หนู​รนหาที่​ตาย​! จัดการ​ซะ!” เขา​โบกมือ​ใหญ่​

หลาย​คน​ที่อยู่​ด้านหลัง​ที่​ต่าง​อดกลั้น​ไม่ไหว​มาตั้ง​แต่ต้น​พา​กัน​ชัก​กระบี่​ แล้ว​พุ่ง​เข้าใส่​คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​ด้วย​แววตา​โกรธแค้น​

ด้านนอก​ประตู​มีชายฉกรรจ์​ร่าง​กำยำ​ที่​ถือ​ดาบ​มายืนออ​อยู่​เมื่อไร​ก็​ไม่ทราบ​ พอ​ได้ยิน​ดังนั้น​ พวกเขา​ก็​พุ่ง​เข้า​ประตู​เหมือน​ฝูงผึ้ง​

“บังอาจ​หยาม​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ ฟัน​มัน​ให้​ตาย​เสีย​!” ซุน​เจาเห​อ​ตะโกน​

ครั้งนี้​คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​สามคน​ลนลาน​แล้ว​ คน​มากมาย​ขนาด​นี้​ มองดู​คร่าวๆ​ ก็​มีคน​สามสิบ​สี่สิบ​คน​แล้ว​ หนำซ้ำ​ยัง​มาอยู่​ใน​พื้นที่​คับแคบ​เช่นนี้​อีก​ หาก​อีก​ฝ่าย​คิด​สังหาร​เข้า​จริง​ พวกเขา​ก็​อย่า​ได้คิด​หนีรอด​จาก​ที่นี่​เลย​

“วาจา​สามหาว​นัก​!”

ใน​ตอนนี้​เอง​ มีเงาร่าง​สีเขียว​สาย​หนึ่ง​พุ่ง​เข้า​มาจาก​ช่องว่าง​ระหว่าง​ฝูงชน​ดุจ​พายุ​ แล้ว​กระแทก​ฝ่ามือ​ใส่ทรวงอก​คน​ห้า​หก​คน​ราวกับ​สายฟ้า​ฟาด​

เปรี้ยง​ เปรี้ยง​ เปรี้ยง​ เปรี้ยง​ เปรี้ยง​!

ทั้ง​ห้า​คน​กลายเป็น​น้ำเต้า​กลิ้ง​หลุนๆ​ กระเด็น​ออก​ไป​ บน​พื้น​ ก่อน​จะกระอัก​เลือด​ออกมา​และ​สลบเหมือด​ไป​ทันที​

พลัน​สะกด​ชายฉกรรจ์​จาก​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ทั้งหมด​ได้​อยู่หมัด​ ซุน​เจาเห​อ​สีหน้า​แปรเปลี่ยน​ ตอนนี้​พอ​มอง​ไป​ด้านหลัง​อีกครั้ง​ หญิงสาว​สวม​อาภรณ์​เหลือง​สอง​คน​นั้น​หาย​ไป​อยู่​ไหน​แล้วก็​ไม่ทราบ​

ทว่า​ตอนนี้​เลือดขึ้นหน้า​แล้ว​ ไม่อาจ​แยกย้าย​ได้​อีก​

ซู่!

จู่ๆ เงาคน​สีเขียว​ที่อยู่​ด้านหลัง​ก็​ลอยตัว​มาตรงหน้า​ซุน​เจาเห​อ​ราวกับ​ภูต​พราย​

ซุน​เจาเห​อ​ตื่นตระหนก​ ด้วย​คาดไม่ถึง​ว่า​อีก​ฝ่าย​จะรวดเร็ว​ถึงเพียงนี้​ รีบ​ใช้วิชา​กระบี่​หยก​อาญา​ออก​ไป​ด้วย​ความเร็ว​สูงสุด​ใน​ชีวิต​

เค​ร้ง​ เค​ร้ง​ เค​ร้ง!​

เกิด​เสียงดัง​สามครั้ง​ ปลาย​กระบี่​ถูก​อีก​ฝ่าย​ป้องกัน​ได้​อย่าง​ง่ายดาย​

กร๊อบ​

เกิด​เสียง​แผ่วเบา​ดัง​ขึ้น​เป็น​ครั้งสุดท้าย​ กระบี่​เล่ม​ใหม่​ที่​ซุน​เจาเห​อ​เพิ่ง​เปลี่ยน​หัก​กระเด็น​ไป​เสียบ​กับ​ขื่อ​ไม้

“กระบี่​เร็ว​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ก็​มีดี​เท่านี้​เอง​” เงาคน​สีเขียว​แค่น​เสียง​ แล้ว​กระแทก​ฝ่ามือขวา​ใส่หน้าอก​ซ้าย​ของ​ซุน​เจาเห​อ​ดุจ​สาย​ฟ้าแลบ​

จู่ๆ ก็​มีเสียง​แหว​กลม​แหลมคม​ดัง​มาจาก​ประตู​ใหญ่​

ฟ้าว!​

ประกาย​สีเงิน​สาย​หนึ่ง​วาด​ผ่าน​ดุจ​สายฟ้า​ฟาด​ แล้ว​แทง​ใส่หลัง​มือ​ของ​เงาคน​สีเขียว​อย่าง​แผ่ว​ยำ​ดัง​ฉึก​

อ๊าก!​

คน​ผู้​นี้​ร้อง​โหยหวน​ ถอยหลัง​ไป​หลาย​ก้าว​พร้อมกับ​กุม​มือขวา​ไว้​

“มือ​ข้า​! บัดซบ​!”

เวลานี้​มีคน​สอง​คน​เดิน​เข้า​มาจาก​นอก​ประตู​ เป็น​คนหนุ่ม​ที่​สวม​เครื่องแบบ​ศิษย์​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​

คนหนุ่ม​ที่​เป็น​ผู้​นำแสดง​สีหน้า​เกียจคร้าน​ หยี​ตา​เล็กน้อย​ ผม​สั้น​สีน้ำตาล​อ่อน​พลิ้วไหว​ไป​ตาม​ลม​ ถือ​ฝัก​กระบี่​เปล่า​ใน​มือ​ แสดงให้เห็น​ว่า​เขา​เป็น​คน​ขว้าง​กระบี่​เมื่อ​ครู่​ออกมา​

“เมื่อ​ครู่​เจ้าว่า​อะไร​นะ​ ข้า​ได้ยิน​ไม่ชัด​ พูด​ใหม่​อีกครั้ง​ได้​หรือไม่​” ลู่​เซิ่งเดิน​ไป​ถึงหน้า​กระบี่​ยาว​ของ​ตัวเอง​ที่​เสียบ​ติด​กำแพง​อยู่​ แล้ว​เอื้อมมือ​ไป​ชัก​ออกมา​มาเบา​ๆ

“เจ้า!” เงาคน​สีเขียว​จ้องมอง​ลู่​เซิ่งอย่าง​โกรธแค้น​ สายตา​กิน​เลือด​กิน​เนื้อ​

“ศิษย์​พี่​เฉิน!”​ ซุน​เจาเห​อ​อายุ​มาก​แล้ว​ ทว่า​เวลานี้​พอ​เห็น​ลู่​เซิ่งปรากฏ​ก​ตัว​ ก็​รู้สึก​ขอบตา​ร้อน​ผะ​ผ่าว​ เมื่อ​ครู่​เขา​ไป​วนรอบ​ประตู​นรก​มารอบ​หนึ่ง​ เกือบจะ​ถูก​ฆ่าตายคาที่​แล้ว​

ลู่​เซิ่งกวาดตา​มอง​เขา​และ​ศิษย์​รอบนอก​ที่​เผย​สีหน้า​ตื่นตัว​ขึ้น​มา

พลัง​ของ​คน​เหล่านี้​ไม่ได้​ดีเด่น​นัก​ ต่อให้​ไม่ใช่เขา​มา เป็น​แค่​เฉินจื่อลัวคน​เดิม​ ก็​จัด​การคน​สิบ​กว่า​คน​นี้​ได้​อย่าง​ง่ายดาย​

ศิษย์​ทางการ​เป็น​ผู้​เข้มแข็ง​ระดับ​กระแส​หลัก​ของ​ยุทธ​จักร​ตัวจริง​เสียง​จริง​ แต่​คน​เหล่านี้​ได้​แต่​ถือเป็น​แค่​นักเลง​ธรรมดา​เท่านั้น​

มองดู​คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​สี่คน​ที่อยู่​ด้านหน้า​อีกครั้ง​ ต่าง​คน​ต่าง​เกร็ง​ร่าง​เหมือน​เผชิญ​ศัตรู​ตัวฉกาจ​

“ข้า​ไม่อยาก​สร้าง​ความลำบาก​ให้​พวก​เจ้า บังอาจ​มาก่อเรื่อง​ใน​ถิ่น​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ ทุกคน​ทิ้ง​แขน​ไว้​ข้าง​หนึ่ง​แล้ว​ไสหัวไป​ซะ ข้า​จะถือว่า​เรื่อง​ใน​วันนี้​ไม่เคย​เกิดขึ้น​”

เขา​เผย​สีหน้า​เรียบ​เฉย​ แต่​วาจา​ที่​กล่าว​ออกมา​กลับ​ทำให้​คน​ที่อยู่​อีก​ฝั่งเนื้อตัว​เย็นเฉียบ​

สำหรับ​จอม​ยุทธ์​ หาก​เสีย​แขน​ไป​ข้าง​หนึ่ง​ เช่นนั้น​ก็​แทบจะ​เป็นการ​ทำลาย​มรรคา​ยุทธ์​ชั่วชีวิต​ของ​พวกเขา​ทีเดียว​ โทษทัณฑ์​นี้​ดีกว่า​การ​ฆ่าพวกเขา​เล็กน้อย​เท่านั้น​

ทว่า​ตอนนี้​พอ​มองดู​คน​ที่อยู่​รอบข้าง​และ​ลู่​เซิ่งที่อยู่​ห่าง​ออก​ไป​โดย​มีโต๊ะ​ตัว​หนึ่ง​กั้น​อยู่​ เหงื่อกาฬ​ของ​พวกเขา​ก็​หลั่งไหล​ออกมา​

“นาย​ท่าน​จะจัดการ​เรื่อง​นี้​ให้​ถึงที่สุด​จริงๆ​ หรือ​” บุรุษ​อาภรณ์​เขียว​ที่​กุมมือ​เอ่ย​เสียง​เย็น​

“หรือ​เจ้าจะเลือก​รับ​หนึ่ง​กระบี่​ของ​ข้า​ก็ได้​ ถ้าไม่ตาย​ข้า​ก็​จะปล่อย​เจ้าไป​” ลู่​เซิ่งมอง​เขา​ด้วย​สายตา​แปลก​พิกล​ น้อย​ครั้ง​ที่​เขา​จะพูด​ด้วยดี​ๆ แบบนี้​ อีก​ฝ่าย​กลับ​ไม่รับ​บุญคุณ​เขา​

ใน​กลุ่มคน​ที่อยู่​อีก​ฝั่ง คน​ที่​โผล่​มาทีหลัง​ผู้​นั้น​มีความสามารถ​นิดหน่อย​ กระนั้น​อย่า​ว่าแต่​เทียบ​กับ​ลู่​เซิ่งเลย​ แม้จะเทียบ​กับ​เฉินจื่อลัว​ เขา​ก็​ยัง​ด้อย​กว่า​ไป​ขั้น​หนึ่ง​

“ท่าน​!” คน​ผู้​นั้น​เหงื่อ​แตก​เต็ม​ศีรษะ​ “ท่าน​…ประเสริฐ​นัก​! ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​ของ​ข้า​จดจำ​ท่าน​ไว้​แล้ว​!”

“ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​หรือ​ ถ้าใน​ลัทธิ​พวก​เจ้ามีแค่​ระดับ​เท่า​เจ้า เช่นนั้น​ข้า​ก็​ไม่มีอะไร​ต้อง​กลัว​แล้ว​” ลู่​เซิ่งเอ่ย​อย่าง​ราบเรียบ​

“วาจา​โอหัง​นัก​!”

ทันใดนั้น​ก็​มีเสียง​แหว​กลม​ทึบ​หนัก​ดัง​มาจาก​นอก​หน้าต่าง​

เปรี้ยง​!

หน้าต่าง​ถูก​เงาสีเทา​ชน​แตก​ พระภิกษุ​ร่าง​บึกบึน​ห่ม​จีวร​สีเทา​และ​ถือ​ไม้เท้า​พระธรรม​รูป​หนึ่ง​ทิ้งตัว​ลง​ตรงหน้า​คน​จาก​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​พร้อมกับ​เสียง​แหว​กลม​ทุ้ม​หนัก​

“อาจารย์​อา​!”

“พระ​อาจารย์​!”

“ธรรมบาล​มาถึงแล้ว​!”

แม้พวก​คน​สวม​อาภรณ์​เขียว​จะเรียก​ไม่เหมือนกัน​ แต่​ทุกคน​ต่าง​เผย​สีหน้า​ลิงโลด​

เปรี้ยง​!

ไม้เท้า​พระธรรม​สีดำ​อัน​หนักอึ้ง​ถูก​กระแทก​ปัก​เข้าไป​ใน​พื้น​

พระภิกษุ​พนมมือ​ กล้ามเนื้อ​ท่อน​บน​ที่​กำยำ​ขยับ​เล็กน้อย​เหมือนกับ​มีลูกหนู​ตัว​น้อย​วิ่ง​อยู่​

“อาตมา​เต้า​เซ่อ​ ขอ​คำนับ​ประสก​”

……………………………………….

[1] ขว้าง​มุสิก​กลัว​ภาชนะ​เสียหาย​ เป็น​สำนวน​จีน​ใช้อุป​มาถึงการ​อยาก​กำจัด​ศัตรู​แต่​ก็​กลัว​ของ​ๆ ตน​จะเสียหาย​

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท