บทที่ 787 ขีดจำกัด (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

“เต้า​เซ่อ​? พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​หรือ​” ซุน​เจาเห​อ​ที่อยู่​ด้าน​ข้าง​ลู่​เซิ่งสีหน้า​แปรเปลี่ยน​ รีบ​แนะนำ​กับ​ลู่​เซิ่งเบา​ๆ

พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​เต้า​เซ่อ​มีอานุภาพ​วัชระ​ทรงพลัง​น่าเกรงขาม​ กล่าว​ได้​ว่า​เป็น​ภิกษุ​ฆ่าคน​ที่​มีชื่อเสียง​บน​ยุทธ​จักร​ เคย​ก่อ​คดี​ฆ่าล้าง​ตระกูล​ที่​โด่งดัง​ขนาดที่​คนใน​ยุทธ​จักร​ที่อยู่​ห่าง​ออก​ไป​พัน​ลี้​ยัง​ต้อง​ตกตะลึง​เมื่อ​ได้ยิน​ ซึ่งสาเหตุ​เป็น​เพราะ​เขา​ขาด​ค่าใช้จ่าย​ใน​การ​เดินทาง​ชั่วคราว​

“ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​? พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​หรือ​” ในที่สุด​ดวงตา​ที่​หรี่​เล็ก​ของ​ลู่​เซิ่งก็​ค่อย​เบิก​กว้าง​ขึ้น​เล็กน้อย​

“พวก​เจ้าว่าง​หรือ​ เหตุใด​จึงมาทำ​อะไร​ใน​เขต​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ของ​ข้า​” ตอนแรก​เขา​คิด​จะฆ่าไป​ให้​จบเรื่อง​ แต่​ตาม​กฎ​ของ​ยุทธ​จักร​ การ​ก่อให้เกิด​ศึก​ขนาดใหญ่​เป็นเรื่อง​ต้องห้าม​สำหรับ​ทุก​ค่าย​พรรค​

“ลัทธิ​ของ​อาตมา​มีสมบัติ​สูญหาย​ ดังนั้น​จึงไล่ล่า​โจร​มาถึงที่นี่​ และ​เกิด​ความขัดแย้ง​กับ​สำนัก​ของ​โยม​โดย​ไม่ได้​ตั้งใจ​ ต้อง​ขออภัย​ด้วย​ ความเสียหาย​ทั้งหมด​ที่​ก่อ​ขึ้น​ก่อนหน้านี้​ พวกเรา​ยินดี​ชดใช้​ให้​”

พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​ไม่ได้​อำมหิต​เช่น​ใน​ข่าวลือ​ กลับ​ชวน​ให้​คน​รู้สึก​ว่า​สุภาพ​มีมารยาท​มากกว่า​

ตอนแรก​ลู่​เซิ่งคิด​หา​ข้ออ้าง​ทำให้​อีก​ฝ่าย​พิการ​บาง​จุด​ แต่​พอ​อีก​ฝ่าย​กล่าว​วาจา​เกรงใจ​แบบนี้​ เขา​ก็​หาเรื่อง​ไม่ได้​อีก​

“ดูเหมือน​พวก​เจ้าจะมีความจริงใจ​มาก​พอ​”

เวลานี้​ด้านนอก​ประตู​มีคน​สอง​คน​จับ​หญิงสาว​สวม​อาภรณ์​เหลือง​สอง​คน​เดิน​เข้ามา​

“ศิษย์​พี่​เฉิน​ นี่​เป็น​สตรี​สอง​นาง​ที่​เพิ่ง​จับตัว​ได้​ขอรับ​” ศิษย์​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​คน​หนึ่ง​เอ่ย​เสียง​ขรึม​ “ข้า​เห็น​พวก​นาง​กำลังจะ​หลบหนี​ จึงถือโอกาส​จับตัว​มาส่ง”

ขณะ​พูด​เขา​ก็​อด​มอง​รูปร่าง​ส่วนโค้ง​ส่วน​เว้า​ของ​หญิงสาว​ทั้งสอง​นาง​ไม่ได้​ ตอน​จับ​มาเมื่อ​ครู่​ เขา​ต้อง​อดกลั้น​ไม่ยอม​เอาเปรียบ​อย่าง​ยากลำบาก​ทีเดียว​

“นัง​แพศยา​!” พอ​บุรุษ​อาภรณ์​เขียว​ที่อยู่​ใกล้​พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​เห็น​คน​ถูกจับ​มาถึง ก็​อด​โมโห​เป็นฟืนเป็นไฟ​ไม่ได้​ ถ้าไม่ใช่เพราะ​หญิง​แพศยา​สอง​นาง​นี้​ เขา​คง​ไม่ต้อง​ดั้นด้น​เป็น​พัน​ลี้​มาถึงที่นี่​ ทั้ง​ยัง​ได้รับบาดเจ็บ​ที่​ฝ่ามือขวา​จน​เกือบ​เอาชีวิต​ไม่รอด​อีก​ต่างหาก​

“พวก​นาง​คือ​คน​ที่​พวก​เจ้าต้องการ​จับตัว​หรือ​” ลู่​เซิ่งมอง​สตรี​สอง​นาง​แวบ​หนึ่ง​ พวก​นาง​ถูก​มัด​ด้วย​เชือก​หนา​ ปาก​ถูก​ยัด​ผ้า​ใส่ไว้​จน​พูดไม่ออก​

“ถูกต้อง​” ครั้น​พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​เห็น​คน​ถูกจับ​มาถึงก็​พลัน​โล่งอก​

ฉึก​ๆ!

ประกาย​สีเงิน​สาย​หนึ่ง​วาววับ​ขึ้น​ ละออง​เลือด​สอง​กลุ่ม​กระจาย​ออกมา​

ลู่​เซิ่งค่อย​ชัก​กระบี่​กลับ​ และ​เช็ด​เลือด​ที่​เหลือ​บน​ปลาย​กระบี่​ออก​

“ใช้ประโยชน์​จาก​ความสงสาร​ของ​คนอื่น​ ก่อให้เกิด​การต่อสู้​ระหว่าง​พรรค​ด้วย​เจตนาร้าย​ สมควร​ตาย​”

หญิง​งามสอง​นาง​บน​พื้น​เบิกตา​กว้าง​ มือจับ​คอ​ที่​ถูก​ฟัน​จน​เปิด​ออก​ไว้​แน่น​ ก่อน​จะนอน​ดีดดิ้น​กับ​พื้น​สอง​สามที​โดย​พูด​อะไร​ไม่ออก​ จากนั้น​ไม่นาน​ก็​หยุด​เคลื่อนไหว​ เลือด​สีแดงสด​ไหล​นอง​เต็ม​พื้น​

“ตอนนี้​พวก​เจ้าพา​คน​ไป​ได้​แล้ว​” ลู่​เซิ่งเอ่ย​อย่าง​ราบเรียบ​

ทุกคน​ต่าง​ตะลึงงัน​

ไม่ว่า​จะเป็น​คน​ของ​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​หรือ​คน​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ ต่าง​ไม่มีใคร​คาดคิด​ว่า​ลู่​เซิ่งจะลงมือ​อำมหิต​ปานนี้​

ชีวิต​คน​ถึงสอง​ชีวิต​นึก​จะฆ่าก็​ฆ่าทันที​ แม้สตรี​สอง​นาง​นี้​จะตั้งใจ​ใช้คนอื่น​เป็น​โล่​กำบัง​จริงๆ​ ทว่า​…

ใน​ตอนที่​มอง​ลู่​เซิ่งมีสีหน้า​ราบเรียบ​อีกครั้ง​ คน​ของ​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​รู้สึก​ร่าง​เย็นเฉียบ​ พรรค​ธรรมะ​ลงมือ​ได้​โหดเหี้ยม​ยิ่งกว่า​คน​จาก​ลัทธิ​นอกรีต​เช่น​พวกเขา​เสีย​อีก​

พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​พบ​เจอ​เรื่องราว​มามากมาย​ เพียง​แปลกใจ​กับ​ความ​อำ​มิต​ของ​ลู่​เซิ่งเล็กน้อย​เท่านั้น​ คนใน​พรรค​ธรรมะ​ที่​ลงมือ​ได้​เหี้ยมเกรียม​ขนาด​นี้​มีคน​แค่​ไม่กี่​คน​เท่านั้น​

เขา​โบกมือ​ ทอง​แท่ง​กลุ่ม​หนึ่ง​ลอย​เข้าหา​ลู่​เซิ่งพร้อม​เสียง​แหว​กลม​ทุ้ม​หนัก​

กริ้ง!​

ลู่​เซิ่งยก​ปลาย​กระบี่​ขึ้น​ พริบตาเดียว​ก็​ผ่า​ทอง​แท่ง​ออก​เป็น​หลาย​ก้อน​

ก้อน​หนึ่ง​ตกลง​ด้านหน้า​เจ้าของร้าน​ที่อยู่​ด้านหลัง​โต๊ะ​ตัว​ยาว​ไกล​ออก​ไป​ ก้อน​หนึ่ง​ตกลง​ใน​มือ​ซุน​เจาเห​อ​ ส่วน​อีก​ก้อน​เขา​เป็น​คนรับ​ไว้​อย่าง​สบาย​ๆ

“นี่​คือ​ของ​ชดเชย​สินะ​ พวก​เจ้าไป​ได้​แล้ว​”

พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​ได้ยิน​ดังนั้น​ก็​พยักหน้า​ แล้ว​พา​คน​ออกจาก​โรง​สุรา​ไป​ ทอง​ใน​ยุค​สมัยนี้​มีค่า​เป็น​อย่างยิ่ง​ นอกจาก​จะชดเชย​ค่า​ยา​รักษา​และ​โรง​สุรา​ที่​เสียหาย​ได้​แล้ว​ แท่ง​ทอง​พวก​นั้น​ยังมี​เหลือ​อีก​ส่วนหนึ่ง​ มาก​พอ​เป็น​ของขวัญ​ชดเชย​ให้​แก่​พวกเขา​ได้​แล้ว​

ก่อน​จะไป​ พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​ที่อยู่​บน​ถนน​นอก​ประตู​อด​มอง​ลู่​เซิ่งอีกครั้ง​ไม่ได้​

“คน​ผู้​นั้น​มีวิชา​กระบี่​เฉียบขาด​ ลงมือ​ไม่ปรานี​ ภายหลัง​ถ้าไม่มีความจำเป็น​ เห็น​เขา​แล้ว​ให้​พยายาม​หลบเลี่ยง​” เขา​กำชับ​แผ่วเบา​

“ขอรับ​!” แม้จะไม่ยินยอม​ แต่​คน​ของ​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​ที่​เหลือ​ต่าง​ก้มหน้า​ขานรับ​ เมื่อ​ครู่​ถ้าไม่ใช่พระ​อาจารย์​ลงมือ​ เกรง​ว่า​พวกเขา​คง​ไม่ได้​อยู่​เห็น​ดวงตะวัน​ของ​วันพรุ่งนี้​แล้ว​

รอ​จน​คน​ทั้งหมด​จากไป​

ลู่​เซิ่งสั่งให้​คน​จัดการ​รอย​เลือด​บน​พื้น​ จากนั้น​ก็​โยน​เรื่อง​หยุมหยิม​ให้​ซุน​เจาเห​อ​จัดการ​ ก่อน​จะกลับ​ไป​ฝึก​ กระบี่​ต่อ​

เพียงแต่​นับ​จาก​วันนี้​เป็นต้นไป​ ชื่อ​ของ​เขา​ได้​ถูก​คนใน​ยุทธ​จักร​ที่​คอย​สังเกตการณ์​อยู่​โดยรอบ​ขุดคุ้ย​ออกมา​

เฉินจื่อลัว​แห่ง​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ คุมเชิง​กับ​พระ​อาจารย์​ภูษาแดง​โดย​ไม่ตก​เป็นรอง​ แทง​ฝ่ามือ​ คน​ของ​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​จน​ทะลุ​ ทั้ง​ยัง​ใจคอ​อำมหิต​ สังหาร​โจร​โฉมงามต่อหน้า​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​

บน​ยุทธ​จักร​จึงเริ่ม​มีชื่อ​ของ​เขา​แพร่หลาย​

ลู่​เซิ่งกลับ​ไม่รู้เรื่อง​แม้แต่น้อย​ ยังคง​ฝึกฝน​วิชา​กระบี่​ต่อไป​

เขา​เริ่ม​รู้สึก​ว่า​ กระบี่​นกกระจาบ​เมฆาหาง​ยก​ยูง​เหมือน​จะไม่ได้​รวบรัด​ตาม​ความคิด​ของ​เขา​ใน​ตอนนี้​ แก่นแท้​ของ​มัน​ยัง​ขยาย​ไป​ยัง​ระดับ​ที่สูง​กว่า​เดิม​ได้​อีก​

นอกจากนั้น​เนื่องจาก​วิชา​กระบี่​บน​โลก​ใบ​นี้​ไม่ได้​เกี่ยวข้อง​กับ​ระบบ​พลังงาน​ใดๆ​ ทำให้​เขา​เพียงแค่​ปรับเปลี่ยน​เล็กน้อย​ ก็​นำมา​หลอม​รวม​เข้ากับ​ระบบ​มรรคา​ยุทธ์​ของ​ตัวเอง​ได้​ทันที​

เวลา​ล่วงเลย​ผ่าน​ไป​ พริบตาเดียว​ก็​ผ่าน​ไป​สอง​เดือน​กว่า​ ที่​โลก​มาร​สวรรค์​คือ​หก​ถึงเจ็ด​วัน​

ลู่​เซิ่งฝึกฝน​กระบี่​อย่าง​หนัก​ ในที่สุด​ก็​ฝึกฝน​กระบี่​นกกระจาบ​เมฆาหางนกยูง​จน​สำเร็จ​ ไป​ถึงขอบเขต​ระดับ​ที่​สิบ​สามแล้ว​

ใน​ประวัติศาสตร์​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ไม่เคย​มีใคร​ฝึกฝน​วิชา​กระบี่​วิชา​นี้​ไป​ถึงระดับ​ที่​สิบ​สาม อันเป็น​ระดับ​สูงสุด​เร็ว​ถึงเพียงนี้​มาก่อน​

บูรพาจารย์​ยอด​ฝีมือ​ที่​มีชื่อ​มีแซ่ใน​พรรค​หลาย​คน​ต่าง​ก็​ใช้มัน​เป็น​ทางผ่าน​ พอ​ถึงระดับ​ที่​ห้า​ก็​จะเปลี่ยนไป​ฝึก​ เข็ม​บรรณ​ภูผา​สะกด​สุริยา​อันเป็น​สุดยอด​วิชา​ประจำ​พรรค​แทน​

นั่น​คือ​สุดยอด​วิชา​ที่​แท้จริง​ที่​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ใช้สั่นสะเทือน​ยุทธ​จักร​ ได้​ชื่อว่า​สะบั้น​เงาไม่หวนกลับ​ ความหมาย​คือ​วิชา​กระบี่​นี้​รวดเร็ว​จน​ไม่มีเงา แม้แต่​แสงก็​ทอ​ทาบ​ฉาย​เงาไม่ทัน​

แน่นอน​ว่า​นี่​เป็น​ความหมาย​ที่​ยกยอ​จน​เกิน​จริง​

ทว่า​หลังจาก​ลู่​เซิ่งทำความเข้าใจ​สุดยอด​วิชา​นี้​เล็กน้อย​ ก็​ไม่สนใจ​อีก​ แม้สุดยอด​วิชา​นี้​จะร้ายกาจ​ ทว่า​เป็น​กระบวนท่า​กระบี่​ที่​สร้าง​ขึ้น​เพื่อ​โจมตี​จุดอ่อน​บน​ร่างกาย​มนุษย์​ แตกต่าง​กับ​กระบี่​นกกระจาบ​เมฆาหางนกยูง​ตรง​ที่​มีอานุภาพ​ใน​ระดับ​ต่ำกว่า​ก็​จริง​ แต่​สำหรับ​เขา​แล้ว​ ไม่อาจ​เอา​ไป​ใช้ใน​การต่อสู้​ที่​มีระดับสูง​กว่า​นั้น​ได้​

กลับเป็น​กระบี่​นกกระจาบ​เมฆาหางนกยูง​ที่​ทำให้​เขา​ค่อนข้าง​สนใจ​ แนวคิด​ที่​ขยาย​ไป​ยัง​ช่วงหลัง​ๆ ของ​วิชา​กระบี่​นี้​มีความน่าสนใจ​อยู่​บ้าง​

หลังจาก​ถึงขอบเขต​ระดับ​สิบ​สาม พลัง​ของ​ลู่​เซิ่งก็​ไป​ถึงระดับ​ของ​ตู้​เฟิงจื่อ​ผู้​เป็น​อาจารย์​ เข้าใกล้​ลำดับ​แรก​ๆ ของ​ยุทธ​จักร​แล้ว​

นี่​มาถึงขีดจำกัด​ของ​กระบี่​นกกระจาบ​เมฆาหางนกยูง​แล้ว​ ต่อให้​จะฝึก​วิชา​นี้​จน​ช่ำชอง​และ​แข็งแกร่ง​กว่า​เดิม​ อานุภาพ​ก็​จะยังคง​มีเท่าเดิม​

คำพูด​ที่​ขอบเขต​ใดๆ​ หาก​สูงมาก​พอ​ ต่อให้​เป็น​กระบวนท่า​ธรรมดา​ก็​สร้าง​อานุภาพ​ของ​สุดยอด​วรยุทธ์​ได้​ทั้งนั้น​ เรื่อง​เหล่านี้​ล้วน​เป็น​เรื่องไร้สาระ​

ให้​ธนู​ท่าน​คัน​หนึ่ง​ ต่อให้​ท่าน​มีแรง​เยอะ​หรือ​มีขอบเขต​สูงขนาด​ไหน​ แต่​จะสร้าง​อานุภาพ​เหมือน​ปืน​สไนเปอร์​ได้​หรือไง​

เพิ่งจะ​ฝึกฝน​ถึงขั้น​นี้​ได้​ไม่นาน​ ก็​มีข่าว​ส่งมาจาก​โลก​ภายนอก​ว่า​ พันธมิตร​เจ็ด​ขุนเขา​จัดงาน​ชุมนุม​ขึ้น​ ตู้​เฟิงจื่อ​กับ​หนิง​เหมย​ติดตาม​เจ้าสำนัก​ไป​ยัง​เขา​ล้อม​เมฆา อัน​เป็นที่​จัดงาน​ชุมนุม​ของ​พันธมิตร​เจ็ด​ขุนเขา​

ลู่​เซิ่งค้นหา​อยู่​นาน​ ยัง​ไม่ได้​เบาะแส​ เลย​ถือโอกาส​กลับ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​

แม้สถานที่​แห่ง​นั้น​จะทรุดโทรม​ไป​บ้าง​ แต่​ก็​ยัง​ดี​ที่​สะอาดสะอ้าน​

พอดี​ที่​ใน​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​เก็บ​ตำรา​ไว้​ไม่น้อย​ เขา​ยัง​ไม่ได้​พลิก​อ่าน​อย่าง​ละเอียด​ อย่าง​น้อย​ดู​จาก​ร่องรอย​ใน​ปัจจุบัน​ โลก​นี้​เหมือน​จะไม่เหมาะสม​กับ​โลก​พลังงาน​สูงเท่าไหร่​

หาก​มีแค่​การ​สะกด​ที่​แข็งแกร่ง​ล่ะ​ก็​ โลก​หลาย​ใบ​ก็​มีคุณสมบัติ​นี้​เช่นกัน​

ตอนที่​เขา​ตั้งสมาธิ​กับ​การเสาะหา​ข้อมูล​ใน​หอ​เก็บ​ตำรา​ ผ่าน​ไป​สอง​สามวัน​ นก​พิราบ​ส่งข่าว​ก็​ส่งข่าว​หนึ่ง​มา บน​ภูเขา​

อันดับ​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ใน​พันธมิตร​เจ็ด​ขุนเขา​ตกลง​จาก​เดิม​สอง​อันดับ​ มาอยู่​ใน​อันดับ​ที่หก​

เข็ม​บรรณ​ภูผา​สะกด​สุริยา​อันเป็น​สุดยอด​วิชา​ที่​ประมุข​พรรค​ใช้ใน​งาน​ชุมนุม​ถูก​ฝ่ามือ​ ถมทะเล​คลื่น​พิโรธ​ของ​พรรค​คืน​บูรพา​ทำลาย​ จากนั้น​ก็​ถูก​กระบี่​เต่าดำ​ฉลาม​นิล​ที่​มีชื่อเสียง​ของ​สำนัก​กระถาง​สามขา​สะกด​ไว้​ได้​

ชื่อเสียง​ของ​กระบี่​เร็ว​แผ่ว​พลิ้ว​ของ​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ตกต่ำ​ลง​ไม่น้อย​

ผู้​ที่​แย่งตำแหน่ง​ผู้อาวุโส​ของ​พันธมิตร​เจ็ด​ขุนเขา​จึงลดน้อยลง​ไป​คน​หนึ่ง​

ลู่​เซิ่งไม่ได้​สนใจ​ อย่างไร​อันดับ​ของ​พันธมิตร​เจ็ด​ขุนเขา​ก็​ไม่เกี่ยวข้อง​อะไร​กับ​เขา​ หลังจาก​วิชา​กระบี่​บรรลุ​จุดสูงสุด​แล้ว​ เขา​ก็​คิด​จะลง​เขา​ไป​ค้นหา​ที่อยู่​ของ​ดวงตา​แห่ง​ความเลวทราม​

เขา​ที่​ไม่อยาก​มีปัญหา​ แต่​ปัญหา​กลับ​มาหา​เขา​ถึงที่​

ลม​อ่อน​พัดพา​ ใบไม้​โบก​ไหว​ตาม​ลม​พลาง​ส่งเสียง​ซ่าๆ

ลู่​เซิ่งนั่ง​อยู่​ใต้​ต้น​ไหว​ต้น​ใหญ่​ตรง​ทางเข้า​ประตู​หอ​เก็บ​ตำรา​ ตำรา​กอง​ใหญ่​วาง​อยู่​ด้านหน้า​ เขา​กำลัง​พลิก​อ่าน​ตำรา​ม้วน​หนึ่ง​อย่าง​รวดเร็ว​

“ศิษย์​พี่​ มีคน​บอ​กว่า​ตัวเอง​เป็น​คน​จาก​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​ ระบุ​ว่า​ต้องการ​พบ​ท่าน​ที่​ประตู​รับแขก​ขอรับ​!”

จู่ๆ ก็​มีศิษย์​บรรณ​ภูผา​คน​หนึ่ง​วิ่ง​เข้ามา​ตะโกน​บอก​เสียงดัง​

“ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​หรือ​” ลู่​เซิ่งวาง​ตำรา​ลง​อย่าง​หงุดหงิด​ใจ “พวก​มัน​มาหา​ข้า​ทำไม​ ได้​บอก​หรือไม่​”

“ไม่ขอรับ​ แต่​ทำท่า​ดุร้าย​มาก​ อาจจะ​มาหาเรื่อง​ก็ได้​” ศิษย์​คน​นี้​คุ้นเคย​กับ​ลู่​เซิ่ง เขา​คือ​สวี​เทา​เทา​ศิษย์​ทางการ​ที่​เพิ่งจะ​เข้า​สำนัก​เมื่อ​ครึ่ง​ปีก่อน​

ปกติ​ลู่​เซิ่งจะชี้แนะ​ทักษะ​และ​ประสบการณ์​ง่ายๆ​ ส่วนหนึ่ง​ให้​เขา​เป็น​บางครั้งบางคราว​ สวี​เทา​เทา​ผู้​นี้​จึงค่อนข้าง​นับถือ​เขา​

ด้วย​เพราะ​สาเหตุนี้​ อีก​ฝ่าย​จึงเป็น​คน​แรก​ที่มา​รายงาน​ข่าว​

“มากี่​คน​” ลู่​เซิ่งถามอีก​

“ราว​สิบ​กว่า​คน​ขอรับ​ อาจารย์​อา​หวัง​ออก​ไป​รับหน้า​แล้ว​”

อาจารย์​อา​หวัง​เป็น​ผู้อาวุโส​ของ​สาย​ประมุข​พรรค​ ปกติ​คุ้มครอง​สำนัก​ใน​ขณะ​เร้น​กาย​ฝึกฝน​ ใช้ชีวิต​กึ่ง​หลบ​เร้น​ พลัง​ไม่แข็งแกร่ง​ แต่​ก็​ร้ายกาจ​กว่า​ระดับ​ศิษย์​อย่าง​หนิง​เหมย​ไม่น้อย​

ลู่​เซิ่งได้ยิน​ดังนั้น​ก็​ไม่ร้อนใจ​ วาง​ม้วน​ตำรา​ลง​และ​ลุกขึ้น​

“ไปดู​กัน​”

ช่วงนี้​เขา​สืบเสาะ​ข้อมูล​อย่าง​บ้าคลั่ง​ แต่​ก็​ยัง​ไม่เจอ​ดวงตา​แห่ง​ความเลวทราม​ เรื่อง​นี้​ทำให้​เขา​รู้สึก​หงุดหงิด​อยู่​บ้าง​

ออก​ไป​ผ่อนคลาย​จิตใจ​ แบ่งแยก​สมาธิสักหน่อย​ก็ดี​เหมือนกัน​

“ขอรับ​!” สวี​เทา​เทา​รีบ​พยักหน้า​ ก่อน​จะหันหลัง​นำทาง​

ทั้งสอง​คน​แยกกัน​หนึ่ง​หน้าหนึ่ง​หลัง​ขณะ​เดิน​ไป​ยัง​ประตู​รับแขก​ของ​พรรค​

ประตู​รับแขก​เป็น​ด่าน​แรก​ของ​พรรค​ หาก​จะขึ้น​เขา​เพื่อ​เข้าออก​พรรค​กระบี่​บรรณ​ภูผา​ จะต้อง​ผ่าน​ด่าน​สอง​ด่าน​ ด่าน​แรก​คือ​ประตู​รับแขก​นี่เอง​

ลู่​เซิ่งเร่งรุด​ไป​จนถึง​สันเขา​ ตอนที่​ใกล้​จะถึงประตู​รับแขก​ เขา​ก็​เห็น​คน​กลุ่ม​ใหญ่​มาห้อมล้อม​อยู่​ด้านล่าง​

ปกติ​ศิษย์​พี่​ศิษย์​น้อง​บน​เขา​ไม่มีกิจกรรม​บันเทิง​อะไร​ พอ​ได้ยิน​ว่า​มีเรื่อง​น่าสนุก​ ก็​วิ่ง​ออกมา​ดูเหมือน​รับ​ชมงิ้ว​ มีทั้งคน​อยู่​ใกล้​และ​ไกล​ ต่าง​มาชมดู​ความ​สนุกสนาน​ด้วย​ความ​สนอกสนใจ​

กว่า​ลู่​เซิ่งจะไป​ถึง รอบข้าง​ก็​มีคน​เจ็ด​แปด​คน​มาล้อม​ไว้​แล้ว​ ทั้งหมด​เป็น​ศิษย์​บรรณ​ภูผา​ที่​กำลัง​รอ​ลู่​เซิ่งเพื่อ​รับ​ชมเรื่อง​สนุก​อยู่​

“มาแล้ว​ๆๆๆ!”

“เจ้าโจร​สุนัข​เฉินจื่อลัว!​ ใช้วิธี​ลงมือ​ลอบทำร้าย​ เป็น​พรรค​ธรรมะ​ภาษาอะไร​กัน​! คืน​ชีวิต​ศิษย์​พี่​ข้า​มา!”

ครั้น​เห็น​ลู่​เซิ่งเข้ามา​ใกล้​ ชายฉกรรจ์​ที่​สวม​อาภรณ์​ดำ​และ​มัด​ผ้า​ขาว​ไว้​บน​แขน​กลุ่ม​นั้น​ต่าง​ก็​เกิด​ความ​พลุ่งพล่าน​ ปรารถนา​ใคร่​ฟัน​ลู่​เซิ่งให้​ตายคาที่​

คน​ที่​ยืน​อยู่​ด้านหน้า​สุด​จาก​ลัทธิ​อสรพิษ​ดำ​เป็น​ชายฉกรรจ์​ร่าง​สูงใหญ่​ที่​เปลือย​สอง​แขน​และ​ถือ​ลูกตุ้มเหล็ก​สีดำ​

เขา​สวม​ชุด​แนบเนื้อ​สีดำ​ที่​เย็บ​ลาย​ดอก​เหมย​สีทอง​เข้ม​เอาไว้​ ตอนนี้​พอ​เห็น​ลู่​เซิ่งเข้ามา​ใกล้​ สอง​ตา​ที่​มืดครึ้ม​อยู่​บ้าง​ของ​เขา​ก็​กวาด​มอง​ชาย​ชรา​สวม​อาภรณ์​เทา​ที่อยู่​ไม่ไกล​อย่าง​กริ่งเกรง​

……………………………………….

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

Status: Ongoing

โปรแกรมปรับแต่งเกมในโลกเดิมกลายเป็นความสามารถพิเศษในหัวเขา และเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในโลกที่เต็มไปด้วยภูตผีมารปีศาจนี้ ผู้ใดขวางเขา มันผู้นั้นเป็นมารปีศาจ เมื่อเป็นมารปีศาจ ก็ต้องตาย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท