ตอนที่589 ไม่ว่าเวลาหรือสถานที่ใด ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า
ซวนเทียนหมิงเข้าใจชายาของเขาเป็นอย่างดีเมื่อผู้หญิงคนนี้รู้สึกผิดหรือพบกับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ นางชอบที่จะเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ตัวอย่างเช่น เฟิงหยูเฮงกำลังถักผมของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นิ้วมือของนางขยับ เพียงแค่บิดมันก็ไม่พอเพราะมันดูเหมือนมาฮวาตัวเล็ก*
เขาพ่ายแพ้“คิดเสียว่าข้าไม่เคยถาม ปล่อยผมของข้าด้วย”
นางส่ายหน้า“เมื่อเจ้าได้ถามมาแล้ว ข้าจะทำราวกับว่าเจ้าไม่เคยถามได้อย่างไร ข้าไม่ได้หูหนวก”
ซวนเทียนหมิงมีความหวาดกลัวอย่างกะทันหันว่าเขาจะลงเอยด้วยถูกถักผมเปียทั้งหัว
โชคดีหลังจากหญิงสาวถักเปียที่สามเสร็จแล้วนางก็หยุด และกอดคอของเขาถามว่า “ซวนเทียนหมิง ถ้าข้าบอกว่าข้าเป็นเทพธิดา เจ้าจะมีความสุขหรือไม่ ? ”
ซวนเทียนหมิงพยักหน้า“ข้าต้องการ นั่นคือทั้งหมดที่ข้าต้องการ การมีเทพธิดาเป็นชายา นั่นหมายความว่าข้าสามารถมีชีวิตเฉกเช่นเทพเซียนได้ นั่นจะยอดเยี่ยมมาก”
“แล้วถ้าข้าเป็นภูตผีล่ะ? ” นางดึงคอไปข้างหน้าดึงหน้ากากของซวนเทียนหมิงมองตาเขาจากด้านข้าง “พูดสิ ถ้าข้าเป็นภูตผีล่ะ ? คนที่น่ากลัวมาก ๆ ”
ซวนเทียนหมิงค่อนข้างไร้กังวล“ แม้ว่าจะเป็นภูตผีก็ใช้ได้ ที่แย่ที่สุดเจ้าจะติดตามข้าไปตลอดชีวิตนี้ และข้าจะติดตามเจ้าไปที่นรกขุมที่ 18 ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ข้าจะไปกับเจ้าไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่” ในขณะที่เขาพูด เขาขยับนางขึ้นเล็กน้อย นางคนนี้หนักขึ้นเล็กน้อย
เฟิงหยูเฮงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจซบหัวบนไหล่ของเขา นางแอบยิ้มและไม่สนใจภาพพจน์ หากมีการกล่าวถึงการกลับชาติมาเกิดของนางนั้น การพบกับซวนเทียนหมิงนั่นคุ้มค่าจริง ๆ ! มันเป็นเรื่องที่ดีมาก !
ซวนเทียนหมิงอุ้มชายาของเขาและเดินฝ่าหิมะทั้งสองพูดและหัวเราะขณะเดินไปข้างหน้า บานซูที่ตามหลังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่อารมณ์ของเป่ยจื่อก็แย่ลงเรื่อย ๆ การอยู่รอดของเป่ยฟูหรงนั้นอยู่ในขั้นวิกฤติและอยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะทำอะไร
กลุ่มยังคงเดินผ่านถนนพวกเขาเดินผ่านถนนครึ่งทางในเมืองกวนโจว ในตอนเที่ยงเฟิงหยูเฮงชี้ไปที่แผงลอยบะหมี่ที่วางอยู่ขายบนหิมะ โดยยืนยันว่านางต้องการกินบะหมี่ ไม่มีสิ่งใดที่ซวนเทียนหมิงทำได้และต้องวางนางไว้บนเก้าอี้ตัวเล็ก
กลุ่มนี้หากไม่มีซวนเทียนหมิงอยู่ด้วยพวกเขาอาจหลอกว่าเป็นคนธรรมดาได้ เมืองกวนโจวไม่เล็ก มันเป็นไปไม่ได้ที่พลเมืองทุกคนจะคุ้นเคยกัน แต่ปานและรูปลักษณ์ไม่เหมือนใครของซวนเทียนหมิงก็สังเกตได้ชัดเจนเกินไป ด้วยหน้ากากทองคำที่อยู่บนใบหน้าของเขา พวกเขาได้พบผู้คนมากมายบนถนน และทุกคนที่ไม่ใช่คนโง่ ที่ไม่สามารถเดาตัวตนของเขาได้
เสี่ยวเอ้อหนุ่มที่ร้านดูเหมือนกลัวไม่กล้าที่จะพูดกับพวกเขาเขาโน้มตัวเข้าหาฝั่งเจ้านายของเขาอย่างสิ้นหวัง แต่เฟิงหยูเฮงต้องหยอกล้อเขาว่า “ข้าน่าเกลียดหรือ ทำให้เจ้าตกใจ ? ”
เสี่ยวเอ้อหนุ่มสั่นตัวจนเกือบโยนถ้วยบะหมี่ในมือเขาวางมันไว้ข้าง ๆ แล้ววิ่งออกไปโดยไม่พูดอะไรเลย
ซวนเทียนหมิงก็รู้สึกหมดหนทางจึงเรียกเจ้าของร้าน“มานี่สิ”
เจ้าของร้านเป็นชายวัยกลางคนในช่วงอายุ30 ปี เขาอ้วนและดูตรงไปตรงมาบนใบหน้าของเขา แต่เขาก็ไม่กล้ามากนัก เขาไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า แต่เขาไม่สามารถหนีไปได้อย่างที่เสี่ยวเอ้อทำ แต่ร้านนี้เป็นของเขา แม้ว่าเขาจะหลบหนีได้ แต่เขาก็ไม่สามารถหลบหนีได้อย่างสมบูรณ์ **
ซวนเทียนหมิงเห็นการแสดงออกที่ขี้ขลาดของเขาและสับสนว่า “เจ้าไม่ได้ขโมยร้านนี้มาใช่หรือไม่ ? ”
เจ้าของร้านโบกมืออย่างรวดเร็ว“ไม่ ไม่ เป็นร้านของกระหม่อมจริง ๆ พะยะค่ะ”
“แล้วทำไมเจ้าไม่มาล่ะ? ”
“อะ..องค์ชายเก้าเรียกกระหม่อมทำไมพะยะค่ะ? ” เนื่องจากความกลัวเขาเริ่มพูดติดอ่าง เมื่อถอนหลังกลับไปอีกก้าวก็ดูเหมือนว่าเขาเต็มใจยอมแพ้ในร้าน หากสิ่งต่าง ๆ ดูไม่ดีเขาจะหนีไป
ซวนเทียนหมิงรู้สึกโมโหเล็กน้อย“ข้าพูด เจ้าไม่ใช่คนจากภาคเหนือจริงหรือ ? พวกเขาไร้เหตุผลและค่อนข้างเย็นชา? มันคืออะไร? ด้วยความกล้าหาญเพียงเล็กน้อยนี้เจ้ากล้าที่จะก่อกบฏร่วมกับตวนมู่อันกัวและยอมจำนนต่อเฉียนโจว?”
เมื่อเจ้านายอ้วนได้ยินสิ่งนี้เขาก็คิดกับตัวเองว่าปัญหามาถึงแล้วจริงๆ เขากัดฟันของเขาและหันวิ่งออกไป น่าเสียดายที่เขาจะเร็วกว่าบานซูได้อย่างไร ก่อนที่เขาจะหันกลับไป บานซูได้ปิดกั้นเส้นทางของเขาไปแล้ว
เจ้าของร้านคุกเข่าแล้วเขาตะโกนซ้ำๆ ว่า “องค์ชาย ทรงไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยพะยะค่ะ ! ”
ใบหน้าของซวนเทียนหมิงมืดครึ้มลงไปถึงขีดจำกัดแล้วเตือนเขาอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้ายังไม่ทำบะหมี่ให้พวกเรา องค์ชายผู้นี้จะไม่ไว้ชีวิตเจ้าอย่างแน่นอน”
เจ้าของร้านมึนงง“หืมม”
จากนั้นเจ้าของร้านก็สามารถตอบสนองได้“องค์ชายต้องการที่จะกินบะหมี่หรือพะยะค่ะ ? ” เอ่อ องค์ชายแค่มากินบะหมี่ ! องค์ชายทำให้ข้ากลัวแทบตาย ข้าคิดว่าข้ากำลังจะถูกฆ่า ทำไมต้องใส่หน้ากากที่แข็งแกร่งเช่นนี้ถ้าองค์ชายอยากกินบะหมี่ ? ในขณะที่บ่นอยู่ในใจ เขาเริ่มลวกเส้นบะหมี่ เมื่อลวกบะหมี่ เขาต้องยอมรับว่ามันดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ทำหน้าตาที่ดุดันมากนัก มันเป็นเสี่ยวเอ้อที่ทำให้เขากลัวและวิ่งหนีไป นั่นคือสิ่งที่สร้างบรรยากาศนั้น
วัตถุดิบหลักของร้านนี้คือบะหมี่เส้นใหญ่ชามขนาดใหญ่ 4 ใบถูกยกขึ้นและเฟิงหยูเฮงกำลังจะน้ำลายไหล นางหยิบตะเกียบขึ้นมาหนึ่งคู่แล้วเริ่มคีบอาหารเข้าปาก ขณะรับประทานอาหารนางกล่าวว่า “ไม่น่าแปลกใจที่ร้านนี้จะต้องเปิดข้างนอก บะหมี่ร้อนมากและไม่สามารถกินได้ทันที เมื่อถึงเวลากินเนื้อจะไม่อร่อย ต้องารใช้ประโยชน์จากลมหนาวเท่านั้นถึงจะเพลิดเพลินอย่างเต็มที่ ! ”
อะไร? ทุกคนมองเฟิงหยูเฮงรวมถึงเจ้าของร้านด้วย ในขณะนี้ความคิดในใจของเขาคือ “องค์หญิง ถ้าไม่ใช่เพราะคนต่ำต้อยผู้นี้ที่ไม่มีเงินมากพอ ข้าจะไม่เปิดร้านนี้ท่ามกลางหิมะอย่างแน่นอนพะยะค่ะ”
แต่ด้วยเฟิงหยูเฮงที่พูดแบบนี้คนอื่น ๆ รู้สึกว่ามันค่อนข้างสมเหตุสมผล แม้แต่ซวนเทียนหมิงก็ยังคีบบะหมี่เข้าปากของเขา ในขณะที่รับประทานอาหาร เขาพยักหน้า “นั่นสมเหตุสมผล”
เนื่องจากกลิ่นอายของซวนเทียนหมิงและการมาถึงของคนทั้งสี่นี้ร้านที่เงียบอยู่แล้วก็เงียบยิ่งกว่าเดิม ! เจ้าของอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
กลุ่มนี้มีความสุขกับบะหมี่สี่ชามโดยเฉพาะเฟิงหยูเฮงหลังจากกินไปครึ่งหนึ่งนางก็ให้เจ้าของร้านเพิ่มบะหมี่อีกส่วนหนึ่ง ไม่นานเจ้าของร้านรู้สึกว่าองค์ชายจากราชวงศ์ต้าชุนและองค์หญิงไม่ได้วางท่าสูงส่งเกินไป พวกเขาดูเหมือนจะเป็นคนปกติ พวกเขานั่งที่ร้านบนถนนเพื่อทานบะหมี่ และเด็กหญิงก็ขอให้เพิ่มบะหมี่เป็นพิเศษ ในความเป็นจริงหลังจากที่นางจะใช้แขนเสื้อเพื่อเช็ดปากของนาง แม้แต่คุณหนูในตระกูลปกติก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากอย่างระมัดระวัง แต่องค์หญิงไม่ได้ทำแบบนั้น !
หลังจากบะหมี่หนึ่งถ้วยและเพิ่มเส้นพิเศษเฟิงหยูเฮงก็อิ่มแล้ว ชายสามคนที่โตแล้วดูเหมือนจะหิวนิดหน่อย ในที่สุดพวกเขาก็เดินวนไปรอบ ๆ มาทั้งวัน และมีบางคนต้องทำงานหนักเพื่ออุ้มชายาของเขา เจ้าของร้านใช้ความคิดเริ่มที่จะให้บะหมี่พวกเขาเพิ่มอีกครึ่งชามฟรี ๆ
เฟิงหยูเฮงเป็นคนแรกที่กินจนเสร็จรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องทำ นางไปเล่นกับเด็ก ๆ ที่กำลังมองจากด้านข้าง เด็กคนหนึ่งเพิ่งหัดหัดเดินและเดินเตาะแตะขณะที่มารดาจับมือและเดินไปบนหิมะ เด็กเล็กไม่รู้ที่จะกลัวผู้คน เมื่อเห็นเฟิงหยูเฮงและรู้สึกว่านางใจดี เด็กก็ยื่นมือเล็ก ๆ ออกมาแล้ววิ่งไป มารดากลัวต้องการพาบุตรกลับมา อย่างไรก็ตามนางเห็นว่าเฟิงหยูเฮงกางแขนเพื่อกอดบุตรของนางแล้ว ขณะที่ลูบหัวเด็กนางถามว่า “เจ้าชื่ออะไร ? ”
เด็กสองขวบพูดไม่เก่งพูดไม่ชัดว่า “เปาเอ๋อ, เปาเอ๋อ” เฟิงหยูเฮงอุ้มเด็กและนั่งที่ด้านข้างของซวนเทียนหมิง นางดึงขวดนมออกมาจากแขนเสื้อของนาง
บุตรของคนธรรมดาสามัญในสมัยโบราณจะมีนมวัวให้ได้อย่างไรเมื่อมารดาของเด็กเห็นเด็กหยิบขึ้นมา และเริ่มดื่มนางก็หวาดกลัวมาก ในทันทีความคิดอย่างที่อยู่รอบ ๆ “พิษ” ปรากฏขึ้น แต่หลังจากการเฝ้าดูอีกซักพักหนึ่งไม่นานเด็กก็ดูดีมีความสุขมาก จากนั้นนางก็สงบลงอย่างช้า ๆ
ซวนเทียนหมิงเห็นว่าเฟิงหยูเฮงกำลังอุ้มเด็กและเล่นอย่างมีความสุขและเขาก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวเด็ก เด็กน่ารักมาก เมื่อซวนเทียนหมิงลูบหัวเขา เขาหันไปมองซวนเทียนหมิงและยิ้มให้ ทำให้ซวนเทียนหมิงรู้สึกลังเลที่จะดึงมือของเขากลับมา
อาจเป็นเพราะฉากนี้อบอุ่นมากแต่เจ้าของร้าน พลเมืองที่อยู่ไม่ไกลเกินไปรวมถึงลูกค้าจากร้านค้ารอบ ๆ ก็รวมตัวกันอย่างช้า ๆ ไม่มีความกลัวแบบเดียวกันนี้อีกต่อไป ขณะที่พวกเขาเริ่มพูดคุยอย่างเงียบ ๆ
“นั่นคือองค์ชายเก้าและองค์หญิงจี่อันใช่หรือไม่? ทั้งสองเป็นมิตรมาก”
”ใช่พวกเขาแตกต่างจากสิ่งที่ท่านผู้นำพูดมาก”
“อย่าพูดถึงตวนมู่อันกัวอีกต่อไปตอนนี้เขาเป็นผู้ทรยศต่อราชวงศ์ต้าชุน หากต้องการเรียกเขาว่าท่านผู้นำอีกต่อไป เราจะถูกลงโทษด้วยกัน”
“หากพูดไปกองทัพของราชวงศ์ต้าชุนอยู่ในเมืองมานานแล้ว แต่พวกเขาก็ตั้งค่ายในถนนเท่านั้น พวกเขาไม่ได้สร้างความวุ่นวายมากในชีวิตของเรา พวกเขาก็ไม่ได้ทำให้พลเมืองเดือดร้อน คิดดูแล้วก็ค่อนข้างดี”
“ถูกต้อง! ” พลเมืองทุกคนเห็นด้วย ภาพที่พวกเขามองกลุ่มของซวนเทียนหมิงนั้นกลายเป็นคนใจดีมาก
เฟิงหยูเฮงอุ้มเด็กคนนั้นแล้วมองไปที่กลุ่มนางเห็นหญิงชราเร่ร่อนอยู่ข้างถนน ตัวสั่นจากความหนาว นางจ้องไปที่ไอน้ำเล็ดลอดออกมาจากหม้อบะหมี่ นางกลืนน้ำลาย บางทีนางอาจจะเป็นคนขอทาน
นางถามซวนเทียนหมิงอย่างเงียบๆ “ไม่ใช่วว่านโยบายของราชสำนักดีสำหรับภาคเหนือหรือ ? ยังมีคนขอทานได้อย่างไร ? ” ขณะที่พูดอย่างนี้นางมองไปที่หญิงชรา หลังจากนั้นไม่นานนางก็ส่ายหน้า “ดูเหมือนนางเป็นขอทาน เมื่อคนอื่นมองนางสายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ”
ซวนเทียนหมิงมองไปในทิศทางนั้นจากนั้นก็โบกมือให้เจ้าของร้าน“มานี่”
เจ้าของร้านรีบไปอย่างรวดเร็วขณะที่วิ่งเหยาะ ๆ เขากล่าวว่า “องค์ชายกินบะหมี่แค่ 4 ถ้วย ไม่ต้องจ่ายเงินพะยะค่ะ”
ซวนเทียนหมิงเงยหน้าขึ้นมอง“ข้าไม่ได้บอกว่าข้าจะให้เงินกับเจ้า ข้าแค่อยากถามคำถามกับเจ้าสองสามข้อ”
เจ้าของร้านเกาหัวแล้วก็ยืนต่อหน้าทั้งสองอย่างเชื่อฟังซวนเทียนหมิงชี้ไปที่หญิงชราแล้วถามเขาว่า “เจ้ารู้จักหญิงชราคนนั้นหรือไม่ ? นางมีเหตุผลที่ทำแบบนี้หรือไม่ ? ราชวงศ์ต้าชุนสนับสนุนภาคเหนือมาหลายปี ส่งเงินจำนวนมากมาที่นี่ ไม่เคยเก็บภาษีจากสามมณฑลภาคเหนือ ทำไมคนที่ดูเหมือนขอทานถึงปรากฏที่นี่”
เจ้าของร้านถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วกล่าวว่า“ข้าจะไม่ปิดบังฝ่าบาท นางไม่ใช่ขอทาน นางเป็นแค่คนจนที่ถูกไล่ออกจากบ้านของนางโดยลูกสะใภ้ เมื่อปีที่แล้วบุตรชายของนางพาภรรยากลับบ้านเมื่อต้นฤดูใบไม้ร่วง คิดว่าอนาคตจะดีขึ้นและดีขึ้น น่าเสียดายที่สภาพบ้านดีขึ้น แต่ภรรยาพบว่านางแก่และไม่ต้องการดูแลนาง บุตรชายคนนั้นก็ไร้ค่าเช่นกัน เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ภรรยาของเขาพอใจ เมื่อได้รับคำสั่งให้ไล่มารดาของเขา เขาก็เตะมารดาออกบ้าน หญิงชราคนนั้นขอทานอาหารเป็นเวลาสองสามเดือนแล้ว เป็นเรื่องที่ค่อนข้างดีที่นางไม่แข็งตายจากความหนาวพะยะค่ะ”
เจ้าของร้านก็โกรธมากในขณะที่พูดถึงผู้หญิงเลวคนนั้นแต่มันก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับความสับสนที่เกิดจากสิ่งที่เขาได้ยินซวนเทียนหมิงพูด เขางงและถามว่า “องค์ชายบอกว่าราชสำนักไม่เคยเก็บภาษีจากสามมณฑลภาคเหนือหรือพะยะค่ะ ? ”
——————————————————————————————————
*TN: มาฮวาเป็นขนมแป้งทอดที่ถูกบิด คล้ายปาท่องโก๋
**TN: การแปลโดยตรงจะเป็น “แม้ว่าเขาจะหนีพระได้ แต่เขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากพระวิหารได้”
ตอนที่ 590 ผู้ชายของนางดูดีที่สุดไม่ว่านางจะดูเป็นอย่างไร
ตอนที่590 ผู้ชายของนางดูดีที่สุดไม่ว่านางจะดูเป็นอย่างไร
“หืม? ” ซวนเทียนหมิงสับสนมากกับคำถามของเขา “สามมณฑลทางเหนือได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี นี่เป็นข้อบังคับที่ตั้งไว้เมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว มันคืออะไรเจ้ามีข้อสงสัยหรือ ? ”
เจ้าของร้านพยักหน้าอย่างจริงจัง“กระหม่อมสงสัยขอรับ ! กระหม่อมมีข้อสงสัยมากมาย ! ” ดูเหมือนว่าเขาจะมีอารมณ์เล็กน้อย เสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อยในขณะที่เขากล่าวด้วยเสียงที่ดัง “เราไม่เคยได้ยินเรื่องการยกเว้นภาษี เราต้องจ่ายภาษีสำหรับทุกสิ่งที่เราทำ และภาษีนั้นสูงมาก เงินครึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายบะหมี่ต้องจ่ายให้กับทางการพะยะค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้กลุ่มของซวนเทียนหมิงขมวดคิ้วโดยพร้อมเพรียงกัน เฟิงหยูเฮงรู้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ปกติรีบถามว่า “ถ้าอย่างนั้นสำหรับเด็ก ๆ ที่เข้าสำนักศึกษาและการไปพบแพทย์ล่ะ ที่อยู่อาศัยที่เจ้าอาศัยอยู่ได้รับการสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนหรือไม่ ? ไม่ต้องจ่ายอะไรให้กับพวกเขาใช่หรือไม่ ? ”
ฝูงชนได้ยินการสนทนานี้และทุกคนมารวมตัวกันใกล้ชิดใครบางคนกล่าวว่า “เมื่อพูดถึงเด็ก ๆ ที่ไปสำนักศึกษาและไปพบแพทย์ ตวนมู่อันกัวกล่าวว่าราชสำนักของราชวงศ์ต้าชุนจ่ายค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งต้องจ่ายเอง สำหรับบ้านของพวกเขาถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และได้มีการกล่าวว่าพวกมันถูกสร้างโดยราชวงศ์ต้าชุน แต่เราต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการจัดการให้ราชสำนักในแต่ละปี”
อีกคนกล่าวว่า“ใช่แล้ว ! แต่นี่เป็นสิ่งที่ดีมากอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะราชสำนักครอบคลุมค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งเดียว เด็ก ๆ จะสามารถไปสำนักศึกษาได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินแบบนี้เป่ยจื่อตบโต๊ะด้วยความโกรธ กล่าวว่า “พวกเจ้าทุกคนถูกตวนมู่อันกัวโกง ! พวกเจ้าถูกโกงมานานกว่า 100 ปีแล้ว ! ”
“โกง”ผู้คนงงงวย “เราถูกโกงได้อย่างไร”
เป่ยจื่อโกรธและกระทืบเท้าของเขาขณะที่เฟิงหยูเฮงและซวนเทียนหมิงมองหน้ากันอย่างรวดเร็ว ซวนเทียนหมิงยืนขึ้นและเผชิญหน้ากับฝูงชน เขากล่าวว่า “พวกเจ้าถูกโกงอย่างแน่นอน นับตั้งแต่มณฑลทางภาคเหนือได้รับการดูแลจากราชวงศ์ต้าชุนเมื่อกว่า 100 ปี ก่อน ตระกูลซวนของข้ายอมรับว่าภาคเหนือเป็นสภาพแวดล้อมที่มีเอกลักษณ์ ไม่มีความสามารถในการผลิตอาหาร ดังนั้นจึงแนะนำให้พวกเจ้าทำงานอื่น ๆ เราสร้างบ้าน ร้านค้า สำนักศึกษา และโรงหมอสำหรับพวกเจ้า นอกจากค่าใช้จ่ายพื้นฐานของสมุนไพรทางการแพทย์ ค่าใช้จ่ายในการพบแพทย์และรับยา ค่าใช้จ่ายในการส่งเด็กไปสำนักศึกษา รวมถึงค่าที่พักอาศัย สิ่งเหล่านี้ได้รับการจ่ายให้ราชสำนัก พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน เมื่อ 100 ปีที่แล้วราชสำนักได้ยกเว้นภาษีให้กับมณฑลทางภาคเหนือ”
“อะไรนะ? ” ทุกคนงงงวย ไม่จำเป็นต้องจ่ายภาษีหรือ ? แต่… “เฉพาะตระกูลที่มีบุตรสาวที่ได้รับเลือกให้เข้าสู่พระราชวังฤดูหนาวเท่านั้น เนื่องจากอนุได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ! ”
ซวนเทียนหมิงส่ายหน้า“ทุกสิ่งที่องค์ชายผู้นี้พูดนั้นเป็นเรื่องจริง เป็นเวลากว่า 100 ปีแล้วที่ราชสำนักไม่ได้ขอ แต่พวกเขาต้องส่งเงินจำนวนมากมาทางเหนือเพื่อให้พวกเจ้ามีชีวิตอย่างมีความสุข เพื่อให้พวกเจ้าได้สัมผัสกับความเมตตาและความอบอุ่นของราชวงศ์ต้าชุน แทนที่จะทิ้งพวกเจ้าไว้ที่ภาคเหนือที่หนาวเย็นเพื่อให้หัวใจของพวกเจ้าเย็นชา สำหรับสถานการณ์ที่พวกเจ้าพูดถึง องค์ชายผู้นี้คิดว่ามันคงจะเป็นผลมาจากตวนมู่อันกัวที่หลอกลวงและโกหกผู้ติดตามของเขา ในเวลานี้เมื่อกองทัพขององค์ชายผู้นี้เข้าสู่ซงโจว เราจะทำการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน”
ทุกคนส่งเสียงโห่ร้อง!
ข่าวที่นำโดยซวนเทียนหมิงทำให้พวกเขารู้สึกตกใจอย่างมากเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ไปตามถนนสายหลักและตรอกซอกซอยเล็ก ๆ ตรงหน้านี้กล่าวว่าหากพวกเขาต้องการกลับไปที่เฉียนโจว พวกเขาจำเป็นต้องจ่ายเงินสำหรับค่าเล่าเรียนและไปพบแพทย์ พวกเขาคิดว่าพวกเขาต้องชำระครึ่งหนึ่งหลังจากที่ได้รับการยกเว้น แต่ใครจะรู้ว่าราชวงศ์ต้าชุนไม่เคยร้องขอจากพวกเขา ! ทั้งหมดนี้ทำโดยตวนมู่อันกัว !
ฝูงชนเริ่มโกรธผู้คนในภาคเหนือต่างก็มีอารมณ์ไม่ดี และผู้ชายกับผู้หญิงก็เริ่มสาปแช่งตวนมู่อันกัว มีบางคนที่ตะโกนว่าพวกเขาต้องการเข้าร่วมกองทัพเพื่อโจมตีซงโจวและจับตวนมู่อันกัวที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นขนมพายเนื้อ
กลุ่มของซวนเทียนหมิงเริ่มสงบฝูงชนซวนเทียนหมิงยังสัญญาว่า “นับจากวันนี้ไปข้างหน้า เงินจะถูกเรียกคืนจากคลังของตวนมู่อันกัว ทั้งหมดจะถูกกระจายไปยังพลเมือง”
ฝูงชนดีใจอย่างร่าเริงความรู้สึกสุดท้ายของพวกเขาที่มีต่อเฉียนโจวและตวนมู่อันกัวนั้นหายไป
เฟิงหยูเฮงมีเจ้าของร้านเตรียมบะหมี่อีกหนึ่งชามจากนั้นก็ให้หญิงชราวางตรงหน้านาง นางกล่าวว่า “กิน หลังจากที่เจ้าทานเสร็จแล้ว เราจะส่งเจ้ากลับบ้าน”
ดวงตาของหญิงชราเต็มไปด้วยน้ำตาอย่างไรก็ตามนางขอร้องเฟิงหยูเฮง “อย่าโทษลูกชายของข้า ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ โทษข้าที่ไร้ความสามารถและไม่ได้ทำงานดี ๆ ในการเลี้ยงดูเขา เขาพบภรรยาเมื่อเขาอายุเกือบ 40 ปี หากเขาไม่ทำตามความต้องการของภรรยา นางจะไม่อยู่กับเขา นี่ไม่ใช่ความพยายามที่สูญเปล่าหรือ ? ข้าจะไม่ขออะไรอีกแล้ว มันดีสำหรับข้าที่จะขออาหารบนท้องถนน ข้าแค่หวังว่าพวกเขาจะให้กำเนิดบุตรได้อย่างรวดเร็ว เช่นนั้นข้าจะมีหน้าพบกับตาแก่เมื่อข้าตายไป”
บางคนที่ได้ยินสิ่งนี้จากด้านข้างกล่าวว่า“คนในครอบครัวนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงลำบากกว่าเมื่อก่อน นอกจากบุตรชายที่เกิดมาพิการแล้ว ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนที่อยากแต่งงานกับครอบครัว ภรรยาคนปัจจุบันถูกนำมาจากชนบท”
เฟิงหยูเฮงขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งโดยไม่พูดอะไรเลยนางผลักชามบะหมี่ไปที่หญิงชรา แล้วกล่าวซ้ำว่า “กินก่อน หลังจากที่เจ้าทานข้าวเสร็จแล้ว เราจะส่งเจ้ากลับบ้าน”
หญิงชราไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ความหิวทำให้นางไม่สามารถคิดต่อไปได้ เมื่อหยิบตะเกียบขึ้นมานางก็เริ่มคีบอาหารเข้าไปในปากของนาง
คนอื่นๆ ล้อมรอบซวนเทียนหมิงและถามถึงทุกสิ่ง ความกลัวที่พวกเขามีต่อองค์ชายเก้าก็ถูกแทนที่ด้วยความคุ้นเคย ซวนเทียนหมิงยังชวนคนชราบางคนมานั่งกับเขา คนเหล่านั้นไม่ได้ปฏิเสธและไปนั่งตรงข้ามกับเขา คนเหล่านี้บอกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ในหลายปีที่ผ่านมาในมณฑลทางภาคเหนือ พวกเขาบอกเขาเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ตวนมู่อันกัวเก็บภาษีจนถึงการเลือกอนุประจำปีในพระราชวังฤดูหนาวของเขา
มีภรรยาวัยกลางคนที่พูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำ“บุตรสาวของข้าอายุแค่ 14 ปีเท่านั้น เมื่อปีที่แล้วนางถูกส่งไปที่ซงโจว เห็นได้ชัดว่าเพราะตวนมู่อันกัวที่แสดงความสนใจในตัวนาง เนื่องจากความงามของนางทำให้นางอยู่ในพระราชวังฤดูหนาวของเขา ครอบครัวของเราได้รับการยกเว้นจากการจ่ายภาษีและเราได้รับเงินจำนวนเล็กน้อย แต่ตระกูลใดต้องการให้บุตรสาวที่รักของพวกเขาถูกส่งไปเพื่อรับเงิน ? นางยังเด็กอยู่ นางจะถูกส่งไปเป็นภรรยาของใครได้อย่างไร ตวนมู่อันกัวกำลังทำบาปมหันต์”
ภายใต้การนำของนางคนที่บุตรสาวของนางถูกพาเข้าไปในพระราชวังฤดูหนาวเริ่มส่งเสียงร้องทุกข์ บางคนถึงกับคุกเข่าขอให้ซวนเทียนหมิงช่วยบุตรสาว ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งงานในอนาคตได้หรือไม่ การอยู่บ้านจะดีกว่าการอยู่ร่วมกับตวนมู่อันกัว
ในเรื่องที่เกี่ยวกับตวนมู่อันกัวที่เลี้ยงดูอนุซวนเทียนหมิงได้ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ในอดีต อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่ามันจะรุนแรงมาก การเดินทางเข้าสู่ภาคเหนือนี้ทำให้เขาสามารถรับฟังข้อร้องเรียนของพลเมืองได้โดยตรง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธทันทีและมีแรงกระตุ้นอย่างฉับพลัน เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “นี่เป็นความผิดของราชสำนัก ราชสำนักของราชวงศ์ต้าชุนทำให้พวกเจ้าผิดหวัง เราเชื่อมั่นตวนมู่อันกัวมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และไม่ได้ใช้เวลาในการทำความเข้าใจสถานการณ์ในภาคเหนืออย่างลึกซึ้ง ไม่ต้องกังวล องค์ชายผู้นี้จะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเด็กผู้หญิงในพระราชวังฤดูหนาว”
ในความเป็นจริงเขารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนในราชสำนักที่เชื่อถือตวนมู่อันกัวมันเป็นเพียงว่าภาคเหนือเป็นของตระกูลตวน นี่คือสิ่งที่ตัดสินใจเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ในเวลานั้นฮ่องเต้นั้นคนละคน และไม่มีใครสามารถตัดสินใจเช่นนี้ได้ ข้อเสียคือการสืบทอดรุ่นต่อรุ่น เมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเข้ามามีอำนาจและต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงอิทธิพลของตวนมู่อันกัวในภาคเหนือนั้นแต่ภาคเหนือได้ถูกยึดครองไว้อย่างลึกซึ้งแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ว่ากันว่าน้ำแข็งสามฟุตไม่ก่อตัวชั่วข้ามคืน* การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลกระทบต่อทุกสิ่ง นี่คือสาเหตุที่ภาคเหนือไม่ได้จัดการได้ง่ายนัก
แต่ตอนนี้เขานำทัพไปภาคเหนือทุกอย่างจะต้องได้รับการสรุป
หลังจากเข้าสู่เมืองกวนโจวไม่ว่าจะเป็นซวนเทียนหมิง เฟิงหยูเฮง หรือแม้กระทั่งรองแม่ทัพเฉียนหลี่ พวกเขาต่างก็เข้าใจสิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้ง นั่นคือ : การได้รับหัวใจของพลเมืองก็คือการควบคุมโลก หากปราศจากจิตใจของพลเมืองที่เป็นของราชวงศ์ต้าชุน ไม่ว่ากองทัพจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่มีจุดประสงค์ในการตั้งค่าย
พวกเขาทุกคนกำลังมองหาโอกาสในการคุยกับพลเมืองค่อย ๆ พยายามใช้ความคิดของตนเองเพื่อทดลองและส่งผลกระทบต่อคนเหล่านี้ การตัดสินใจของพวกเขาที่จะออกไปเดินเล่น และการตัดสินใจของเฟิงหยูเฮงที่จะกินบะหมี่ที่แผงลอยข้างถนน พวกเขาทุกคนต่างก็มีส่วนร่วมในการปรับปรุงการรับรู้ของพวกเขาต่อสาธารณะ อย่างไรก็ตามใครจะรู้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับปาฏิหาริย์เช่นนี้ในการดึงดูดกลุ่มคนจำนวนมาก บรรยากาศสงบสุขเพราะพวกเขาทั้งหมดพูดคุยกันและกินด้วยกัน ในความเป็นจริง ในตอนท้ายซวนเทียนหมิงได้ถามพวกเขาแล้วว่าภาคเหนือเป็นของราชวงศ์ต้าชุนอีกหรือไม่ พวกเขาต้องการให้มีลักษณะแบบใดสำหรับบ้านเกิดของพวกเขา
พลเมืองต่างตั้งตารอคอยที่จะมีอนาคตนี้ผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในร้านบะหมี่เล็ก ๆ เจ้าของร้านไม่เคยรู้สึกภูมิใจเลย เขายืนอยู่ใกล้กับที่ซวนเทียนหมิงและจะหยุดผู้คนไม่ให้เข้าใกล้เกินไปเป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่ซวนเทียนหมิงจะกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เจ้าสามารถเข้ามาใกล้ได้ ผู้คนที่กลับไปจะสามารถได้ยินคำพูดขององค์ชายผู้นี้ได้เช่นกัน”
บางคนสับสนพวกเขาได้ยินมาว่าองค์ชายเก้าของราชวงศ์ต้าชุนเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวน ใครก็ตามที่ทำให้เขารำคาญจะถูกเฆี่ยนตีจนตาย ใครก็ตามที่เขาไม่ชอบบ้านของพวกเขาจะถูกไฟไหม้ แต่เมื่อดูเขาตอนนี้ สิ่งนี้ดูไม่เหมือนคนที่มีอารมณ์รุนแรง ! คนผู้นี้ดีเพียงใด เขาไม่ได้โอ้อวดอำนาจของเขาเลย ใกล้ชิดกับผู้คนโดยไม่ถือตัวว่าเขาเป็นองค์ชาย แม้กระทั่งอดีตผู้นำตวนมู่อันกัวไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวนักฆ่า หรืออะไรทำนองนั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าคำพูดนั้นเป็นความจริง : ยิ่งมีคนแสดงออกถึงสิ่งใดมากเท่าไหร่ คน ๆ นั้นก็จะขาดมากขึ้น ตวนมู่อันกัวได้วางกรอบอันยิ่งใหญ่ไว้อย่างชัดเจนทำให้เขาชัดเจนว่าเขาขาดสถานะที่สูงส่งอย่างแท้จริง ในทางกลับกันองค์ชายเก้าก็เป็นอย่างนี้ เขาเป็นพระโอรสของฮ่องเต้ ในโลกนี้นอกจากฮ่องเต้ ใครจะมีสถานะที่สูงกว่าเขา ไม่จำเป็นต้องให้เขาทำและพิสูจน์มัน สถานะของเขาชัดเจนสำหรับทุกคน ดังนั้นเขาจึงสนิทสนมกว่ามาก
เฟิงหยูเฮงคิดว่าพวกเขาต้องการขอบคุณตวนมู่อันกัวจริงๆ สำหรับบรรยากาศที่กลมกลืนกัน หากไม่ใช่เพราะตระกูลตวนกระทำกับราชสำนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมาและยักยอกเงินทุนที่ราชสำนักมอบให้ พลเมืองอาจไม่ได้รับความอบอุ่นกับซวนเทียนหมิง มันเป็นตระกูลตวนที่สร้างปัญหาด้วยตัวเองซึ่งทำให้พวกเขามีโอกาสได้กุมจิตใจของภาคเหนือ
เฟิงหยูเฮงยิ้มและมองซวนเทียนหมิงไม่ว่านางจะดูอย่างไร นางก็รู้สึกว่าผู้ชายที่นางเลือกนั้นดีที่สุดในโลก ไม่มีใครอีกแล้วที่จะรุ่งโรจน์ ไม่มีใครอีกแล้วที่มีอารมณ์ที่ดีแบบนี้ตามธรรมชาติ ไม่ว่านางจะดูอย่างไรผู้ชายของนางก็ดีที่สุด
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มรอยยิ้มนี้ทำให้บานซูพูดอย่างเงียบ ๆ จากด้านข้าง “หลงรักอย่างโง่งม”
นางเลิกคิ้ว“ข้ามีความสุขกับมัน”
อย่างไรก็ตามในเวลานี้รองแม่ทัพจากกองทัพของราชวงศ์ต้าชุนเดินฝ่าฝูงชนมาตรงหน้าซวนเทียนหมิงด้วยท่าทางที่เหนื่อยเขาพูดอย่างเร่งด่วน “องค์ชาย แย่แล้วพะยะค่ะ ตวนมู่อันกัวเริ่มฆ่าผู้คนในซงโจวขอรับ ! ”
——————————————————————————————————
TN:การแปลที่พบบ่อยกว่าคือ “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว”