ตอนที่ 2933 ชีวิตฟื้นคืน
เมื่อฝุ่นควันจางหาย
หลินสวินยืนอยู่ในประทับผนึกเวลา ทอดสายตามองไปรอบๆ ก็ไม่มีคู่ต่อสู้อีกแม้แต่คนเดียว
ร่างแยกมหามรรคกำลังจัดการทรัพย์หลังศึกในสนามรบ
ฮู่ว…
ผ่านไปครู่ใหญ่ร่างต้นของหลินสวินก็พ่นลมหายใจยาว
การต่อสู้ครั้งนี้ต่อเนื่องมาถึงตอนนี้ นอกจากกายมรรคไม้เขียวบาดเจ็บสาหัสต้องพักฟื้นระยะหนึ่งแล้วก็ไม่มีความเสียหายอื่นอีก
และการต่อสู้กับไท่เฮ่าหานเว่ยก็ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า ต่อให้เป็นในระดับนิรันดร์ แต่ก็ไม่ใช่รูปจำลองเจตจำนงของทุกคนจะแข็งแกร่งเหมือนอย่างไท่เสวียน!
อย่างน้อยการฆ่ารูปจำลองเจตจำนงของไท่เฮ่าหานเว่ยก็ไม่ต้องใช้พลังอภินิหารพรสวรรค์
หลังจากนั้นครู่หนึ่งร่างแยกมหามรรคก็เก็บกวาดทรัพย์หลังศึกเสร็จ
ไม่อาจไม่พูดว่าสมบัติที่ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ทั้งหมดพกมาแทบจะเกี่ยวกับการฝึกปราณของขั้นนี้ และย่อมเติมเต็มความต้องการในการฝึกปราณของหลินสวินได้เช่นกัน
‘มีของพวกนี้แล้ว ก่อนฝึกปราณถึงขั้นสัมบูรณ์ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีทรัพยากรฝึกปราณไม่พอแล้ว’
หลินสวินพึมพำในใจ
เขาเก็บร่างแยกมหามรรคและเดินออกจากประทับผนึกเวลา มองไปรอบๆ ภูเขาแม่น้ำพังทลาย สรรพสิ่งสูญสิ้น ปรากฏภาพเสื่อมโทรมกลางฟ้าดิน
เมื่อก่อนที่นี่เคยมีเมืองใหญ่ที่กว้างใหญ่ไพศาล ในเมืองรุ่งเรืองคึกคัก สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนพักพิงในนั้น พลังชีวิตเปี่ยมล้น อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
แต่เพียงพริบตาทั้งหมดนี้กลับสลายสิ้นคล้ายไม่เคยมีมาก่อน
ทั้งหมดนี้ทำเอาหลินสวินสะท้านใจอย่างยิ่ง
ยามนี้เมื่อมองดูทิวทัศน์หักพังเงียบงันนี่ ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้
สรรพสิ่งมีขึ้นลง เป็นตายคืออนิจจัง ถ้าผู้ฝึกปราณล้วนทำตามใจตัวเอง มองผู้คนดั่งกอหญ้าและมดปลวก ใต้หล้านี้คงถึงคราวสรรพชีวิตเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ผู้คนไม่อาจมีชีวิตอยู่
หลินสวินรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก และก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่นอน
สิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้คือทำตามเจตนาเดิมของตน รักษาความเมตตาและบรรทัดฐานไว้ ไม่ไปทำเรื่องที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้
หืม?
จู่ๆ นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด
พริบตาถัดมาเงาร่างของเขาพริบวาบ มาถึงซากปรักหักพังกลางเมืองใหญ่ที่พังพินาศ แล้วหยิบหยกประดับที่แตกพังชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากพื้นดินที่ไหม้เกรียม
หยกประดับเสียหาย แต่กลับมีไข่มุกเลือดที่พลังชีวิตเต็มเปี่ยมเม็ดหนึ่งข้างใน
‘คงเพราะปลดปล่อยพลังของหยกประดับนี้ออกมาก่อนเมืองจะถล่ม ถึงรักษาเลือดพิสุทธิ์หยดนี้ไว้ได้’ หลินสวินเดาความจริงบางส่วนออกคร่าวๆ
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนวางหยกประดับชำรุดนี้กลางฝ่ามือ แล้วโคจรกฎเกณฑ์อมตะแห่งตน ไข่มุกเลือดสีแดงสดหยดนั้นค่อยๆ แทรกเข้าไปในหยกประดับ
ทันใดนั้นไข่มุกเลือดพลันสั่นไหวราวกับน้ำเดือด
ปึง!
หยกประดับที่ชำรุดระเบิดออก ไข่มุกเลือดเม็ดนี้ปรากฏกลางฝ่ามือหลินสวิน อาบไล้กฎเกณฑ์อมตะ ราวกับผ่านการนิพพานและสร้างใหม่มาครั้งหนึ่ง พลังชีวิตของไข่มุกเลือดยิ่งอบอวลหนาแน่นขึ้นอย่างช้าๆ…
‘ดูท่า… จะทำได้จริงๆ’
นัยน์ตาดำของหลินสวินวาบประกาย ในใจฮึกเหิม
ก่อนหน้านี้พลังที่ระเบียบนิพพานสร้างใหม่และฟื้นคืนมาตลอดล้วนเป็นพลังระเบียบ อย่างเช่นอู๋ซวง เสี่ยวหมิง เสี่ยวเซียน ล้วนเคยได้รับการฟูมฟักและฟื้นฟูจากระเบียบนิพพาน
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินลองใช้พลังแห่งนิพพานไปสรรสร้างและฟื้นฟูเลือดพิสุทธิ์!
หากสำเร็จ ก็หมายความว่าพลังของระเบียบนิพพานถึงขั้นมีผลมหัศจรรย์ในการ ‘คืนชีพจากความตาย’ ได้
ผู้ที่มีปราณระดับอริยะ ต่อให้เหลือเลือดที่แฝงพลังชีวิตแค่หยดเดียวก็สามารถอาศัยพลังแห่งตนฟื้นคืนกลับมาได้
แต่เลือดพิสุทธิ์ที่หลินสวินเก็บมาหยดนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะมีพลังชีวิตแต่ในเลือดกลับไร้กลิ่นอายมหามรรค
กล่าวง่ายๆ คือเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทิ้งไว้
นี่สำหรับผู้ฝึกปราณคนอื่นคงไม่อาจช่วยให้กลับมามีชีวิตได้สักนิด
แต่ภายใต้การหล่อหลอมด้วยพลังระเบียบนิพพาน เลือดพิสุทธิ์หยดนี้กลับแสดงการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจ
วู้ม…
ไม่นานนักเลือดหยดนี้ก็เริ่มหมุนวน เปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นไม่หยุด ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงาร่างเล็กดั่งมายาสายหนึ่งภายใต้การห่อหุ้มของระเบียบนิพพาน
เวลานี้ความปิติอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้นในใจหลินสวิน
ผู้ฝึกปราณหลายคนครอบครองวิชาอภินิหารที่สามารถ ‘ชี้ศิลาเป็นทอง’ ได้ แต่สำหรับการคืนชีพจากความตาย สร้างชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง กลับแทบไม่มีใครสามารถทำได้!
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างระดับนิรันดร์ก็ยังช่วยคนธรรมดาที่ตายไปแล้วไม่ได้
เพราะนี่เกี่ยวพันกับนัยเร้นลับสูงสุดแห่ง ‘โชคชะตา’
ทว่าตอนนี้ หลินสวินตระหนักได้ว่าระเบียบนิพพานดูเหมือนจะมีความสามารถดั่งต้องห้ามเช่นนี้
แน่นอนว่าหากกล่าวกันอย่างเคร่งครัด เลือดที่แฝงพลังชีวิตหยดนี้ถูกเก็บรักษาไว้ ไม่อาจเรียกว่าดับสิ้นได้อย่างแท้จริง
แต่ต้องรู้ว่านี่เป็นเลือดของคนธรรมดา สามารถช่วยกลับมาได้ก็เรียกได้ว่าเย้ยฟ้าเปลี่ยนชะตาแล้ว!
ไม่ทันไรในครรลองสายตาของหลินสวิน เด็กน้อยวัยราวหกเจ็บขวบ ถักผมเปียสองข้างก็ปรากฏตัวขึ้น
ความเซื่องซึมเขียนอยู่ในดวงตากลมโตของนาง กล่าวอย่างอึ้งงัน “ท่านพ่อเล่า”
ความทรงจำของเด็กน้อยยังอยู่ ทำให้หลินสวินสัมผัสความคิดทั้งหมดในสมองของนางได้ทันที
นางชื่อถังเจียง ปีนี้อายุหกขวบ ร่างกายอ่อนแอ่ตั้งแต่เด็ก ไร้ซึ่งพลังปราณ ดีที่มีบิดาที่ห่วงใยนางรักนางมาก ไม่ว่าจะไปไหนก็จะพานางไปด้วย
แต่ในเมืองเย็นวันนี้ ในพริบตาที่หายนะกำลังมาเยือน บิดาของนางก็ปกป้องนางไว้ใต้ร่าง ทั้งยังเอาหยกประดับคงชีพบนร่างแนบไว้ในอกนาง…
ส่วนบิดาของนางกลับตายในหายนะครั้งนี้
เดิมทีถังเจียงไม่มีโอกาสมีชีวิตแล้วด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรหายนะครั้งนี้ก็น่าสะพรึงยิ่งนัก
แต่บัดนี้ภายใต้การหล่อเลี้ยงของพลังระเบียบนิพพาน นางกลับได้รับการนิพพานที่ประหนึ่งการสรรสร้างขึ้นใหม่ คืนชีพก่อรูปร่าง กลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง
หลินสวินเห็นภาพที่บิดาผู้นั้นปกป้องลูกสาวไว้เช่นกัน ทั้งหมดนั้นเป็นการกระทำของจิตใต้สำนึก นี่ทำให้ในใจเขาผุดความรู้สึกซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านอา ที่นี่คือที่ไหน ท่านพ่อข้าเล่า “
ถังเจียงเบิกดวงตาดำโตแล้วเอ่ยถามเสียงใส
นางไม่รู้ว่าบิดาของนางล้วนย่อยยับไปพร้อมกับเมืองใหญ่นี้แล้ว
ในใจหลินสวินผุดความรู้สึกเวทนา กล่าวเสียงเบา “พ่อเจ้าบอกว่าภายหน้าให้เจ้าฝึกปราณข้างกายข้า เขาหวังว่าเจ้าจะมีวิชาติดตัวไว้”
ถังเจียงกล่าวงุนงง “แต่ข้า… ไม่มีทางฝึกปราณได้”
หลินสวินขยี้หัวน้อยๆ ของนาง ยิ้มกล่าว “ข้าบอกว่าได้ก็ได้”
ถังเจียงกล่าวอย่างดีใจ “จริงหรือ”
หลินสวินพูดอย่างจริงจัง “ไม่หลอกเจ้าหรอก”
ถังเจียงเอ่ย “ถ้าอย่างนั้น… ข้าจะได้เจอท่านพ่อเมื่อไร”
หลินสวินเจ็บแปลบในใจทันที แต่ปากกลับยิ้มกล่าว “รอภายหน้าเมื่อเจ้ามีวิชาติดตัวแล้วข้าค่อยบอกเจ้า”
ถังเจียงขานรับคำหนึ่งอย่างหนัก ใบหน้าน้อยๆ ฉายแววแน่วแน่
หลินสวินสูดหายใจลึก กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยายหนู นับแต่นี้ไปเจ้าก็เป็นศิษย์คนที่สองของข้า จำไว้ว่าชื่อของอาจารย์คือหลินสวิน ฉายาเต้ายวน ผู้สืบทอดคนที่ห้าสิบของคีรีดวงกมล รองหัวหน้าหอแรกนภาลัทธิแรกกำเนิด ภายหน้า… อาจารย์จะไม่ให้เจ้าเผชิญความทุกข์ยากเช่นวันนี้อีก”
ขณะพูดเขาก็อุ้มถังเจียงขึ้นมาวางบนไหล่ตัวเอง พลางก้าวเท้าออกเดินไปไกล
หลายปีให้หลัง ทุกครั้งที่คิดถึงภาพวันนี้ ‘จักรพรรดิซาง’ ที่ได้รับการสรรเสริญและเคารพจากสรรพชีวิตมากมาย ชื่อเสียงระบือทั่วหล้า โดดเด่นในเก้าชั้นฟ้าก็จะเผยสีหน้าหวนรำลึกออกมา
เป็นอาจารย์ที่มอบชีวิตใหม่ให้นาง
และเป็นอาจารย์เช่นกันที่ชี้แนะถ่ายทอดมรรคให้นาง
นางใช้ชื่อ ‘ซาง’ (สิ้นชีพแต่เยาว์วัย) เป็นฉายามรรคเพื่อรำลึกถึงบิดาผู้ล่วงลับ
มีเพียงยามอยู่ข้างกายอาจารย์เท่านั้นนางถึงจะเป็นถังเจียง
และแน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องในภายหน้า
…
ตลอดทางที่จากมา หลินสวินจัดให้ถังเจียงอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
เขาตัดสินใจออกจากน่านฟ้าที่หก
หลังการต่อสู้ครั้งนี้ สิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดบาดเจ็บล้มตายไปมาก ไม่มีทางส่งคนมาที่นี่อีกแน่นอน
อยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมายอะไรอีก
วันนั้นหลินสวินจึงออกจากน่านฟ้าที่หก
…
ศึกใหญ่ที่สะเทือนเลื่อนลั่นเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข่าวหลุดออกไป
ไม่นานนักข่าวการต่อสู้ของหลินสวินและผู้แข็งแกร่งพันธมิตรสงครามสิบตระกูลก็กระจายไปทั่วน่านฟ้าที่หก เรียกเสียงฮือฮามากมายขึ้นมาอีกครั้ง
และเวลาเดียวกันนี้ ข่าวร้ายเช่นนี้ก็ส่งกลับไปน่านฟ้าที่แปดทันทีเช่นกัน
ตระกูลหวัง
กลางโถงใหญ่
“ผ่านมาสามวันแล้ว เหตุใดยังไม่มีข่าวส่งกลับมา”
ฝูเฉาหลันผู้นำตระกูลฝูขมวดคิ้ว ในใจเขารู้สึกกระสับกระส่ายบอกไม่ถูก
หลังจากเฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างพวกหวังเต้าเฟิงมุ่งหน้าไปน่านฟ้าที่หก เขาและผู้นำตระกูลของยักษ์ใหญ่อมตะก็รออยู่ที่ตระกูลหวังมาตลอด
แต่จนถึงตอนนี้กลับยังไม่มีข่าวอะไรส่งกลับมา
“พี่ฝูอย่าได้ร้อนใจไป ถ้าหลินสวินนั่นซ่อนตัวขึ้นมา คิดจะหาร่องรอยของเขาให้เจอก็ต้องเสียเวลากันบ้าง”
มีคนยิ้มพลางเอ่ยปาก
“ใช่แล้ว พวกเราก็แค่รอฟังข่าวดีเท่านั้น”
ผู้นำตระกูลคนอื่นๆ ล้วนผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
ครั้งนี้พวกเขาสิบยักษ์ใหญ่อมตะส่งขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ไปสี่สิบคน รวมกับรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์อีกสามคน กำลังพลขนาดนี้สามารถกวาดล้างยักษ์ใหญ่อมตะอย่างพวกเขาได้ด้วยซ้ำ
ถ้ายังจับหลินสวินไม่ได้อีก นั่นต่างหากที่เรียกว่าน่าขัน!
“ทุกท่านอย่าได้ชะล่าใจ ถ้ากำลังพลของลัทธิแรกกำเนิดสอดมือเข้ามา เกรงว่าอยากจับหลินสวินนั่นก็ต้องใช้ความพยายามมากเช่นกัน”
หวังจ้งเทียนเอ่ยปากยิ้มๆ
ถึงจะพูดเช่นนี้แต่เขาก็เยือกเย็นมากอย่างเห็นได้ชัด
เขาถึงขั้นมั่นใจว่าต่อให้เป็นลัทธิแรกกำเนิด เกรงว่าคงคิดไม่ถึงว่าพวกเขาพันธมิตรสงครามสิบตระกูลจะลงทุนเช่นนี้ นี่สามารถโจมตีอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัวได้!
“เหอะๆ ครั้งนี้ต่อให้ลัทธิแรกกำเนิดส่งรองหัวหน้าหอเหล่านั้นออกเคลื่อนไหว ก็เกรงว่าจะเป็นได้เพียงตั๊กแตนขวางรถเช่นกัน!”
มีคนยิ้มเย็น
“มาๆๆ ดื่มสุรา”
หวังจ้งเทียนชูจอกขึ้น
ก็เป็นตอนนี้เองเสียงร้องตื่นตระหนกดังขึ้นนอกโถงใหญ่
“ผู้นำตระกูล แย่… แย่แล้ว! ผู้อาวุโสทุกคนที่ไปน่านฟ้าที่หกครั้งนี้ทั้งหมด… ทั้งหมดประสบเคราะห์แล้ว!!”
ประโยคเดียวเสมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำเอาผู้นำตระกูลทั้งสิบในโถงใหญ่ต่างอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น
บรรยากาศก็กดดันลงถึงขีดสุดทันที
“เจ้าว่าอะไรนะ พูดอีกรอบ!!”
หวังจ้งเทียนคล้ายยากจะเชื่อ
ข้ารับใช้อาวุโสนอกโถงใหญ่คลานลงกับพื้น เอ่ยเสียงสั่น “ผู้นำตระกูล ตายหมดแล้ว ตายทั้งหมดแล้ว! ไม่มีเหลือรอดสักคน!”
จอกเหล้าในมือหวังจ้งเทียนแตกละเอียด ทว่าเขากลับเหมือนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ สองตามองเหม่อเหมือนวิญญาณหลุดลอย
ครั้นมองดูผู้นำตระกูลอีกเก้าคนที่เหลือ บ้างตกตะลึงระคนเดือดดาล โมโหจนเคราผมชี้ชัน บ้างสั่นเทิ้มทั่วร่าง ตาแดงก่ำลมหายใจหนักหน่วง
ยิ่งมีคนโกรธจนเบื้องหน้าดำมืด กระอักเลือดออกมาภายใต้โทสะที่ถาโถม!
“จบกัน… จบสิ้นแล้ว…”
มีคนพึมพำ หน้าซีดเซียวราวกับสูญเสียวเรี่ยวแรงทั้งหมดในทันใด
ทั่วโถงใหญ่อบอวลด้วยกลิ่นอายหดหู่หนักอึ้ง
ข่าวร้ายนี้ สำหรับพวกเขายักษ์ใหญ่อมตะทุกตระกูลเป็นเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ความร้ายแรงไม่ต่างอะไรกับฟ้าถล่ม!