ตอนที่ 2937 คำเชิญของเหยียนจี้
สิบปีแล้ว ถังเจียงมักจะนึกถึงอาจารย์ที่พานางเข้าลัทธิแรกกำเนิดในปีนั้น
นางไม่ใช่เด็กน้อยขลาดเขลาอย่างแต่ก่อนแล้ว
นางรู้แล้วว่าตำแหน่งอาจารย์ของตัวเองในลัทธิแรกกำเนิดสูงเพียงใด อีกทั้งอำนาจยิ่งใหญ่เท่าใด
ต่อให้โม่หลันซ่านที่ตามใจนางที่สุด ยามพูดถึงหลินสวินก็ล้วนเผยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส
และนางก็รู้เรื่องในอดีตที่เกี่ยวข้องกับอาจารย์มากมายเช่นกัน เช่น เขาในปีนั้นเข้าลัทธิแรกกำเนิดด้วยอันดับหนึ่งได้อย่างไร ทั้งผงาดขึ้นมาเรื่อยๆ ในหลายปีนี้ได้อย่างไร
ราวกับตำนาน!
บางทีถังเจียงก็ถึงขั้นเกิดความรู้สึกอย่างกับฝันไป
ตอนเด็กๆ ร่างกายของนางอ่อนแอ ถูกมองว่าไม่มีทางฝึกปราณได้ แต่ใครจะคิดว่าเวลาสั้นๆ สิบปี ตนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกับถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก
ส่วนอาจารย์ของนาง ก็เป็นบุคคลในตำนานคนหนึ่งที่ชื่อเสียงเลื่องลือ ท่วงท่าราวเทพ!
ทั้งหมดดูไม่น่าเป็นเรื่องจริงชัดๆ
ถังเจียงกลัวว่าเมื่อตื่นขึ้นแล้วทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น
“ก้าวหน้าไม่เบา”
ไกลออกไปหลินสวินเดินเคียงคู่มากับซย่าจื้อ มองถังเจียงที่สูงขึ้นเท่าไหล่ตัวเอง กล่าวว่า “ต่อไปยามฝึกปราณพึงรักษาเจตจำนงตน ไม่ทะเยอทะยานเกินตัว แล้วก็อย่าดูถูกตัวเองเกินไป”
ถังเจียงพยักหน้าแรงๆ “ข้าเชื่อฟังคำอาจารย์”
“นี่คือใจความฝึกปราณบางส่วนของข้าในสมัยก่อน เจ้าเอามันไปศึกษา”
หลินสวินส่งม้วนหยกที่เตรียมไว้ม้วนหนึ่งให้ถังเจียง “จำไว้ นี่เป็นใจความฝึกปราณของข้า ใช่ว่าจะเข้ากับเจ้าได้”
ถังเจียงรับมาด้วยมือทั้งสองข้างพลางเผยรอยยิ้มสดใส “อาจารย์ดีกับข้าที่สุด ต่อไปข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังแน่นอน!”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ฝึกปราณเป็นเรื่องของตัวเอง เพียงแค่ตัวเองยินยอมรับความลำบาก ต่อไปไม่ว่าจะสำเร็จมากน้อย ข้าไม่ผิดหวังเรื่องอะไรทั้งสิ้น อย่าได้กดดันอะไรตัวเองเลย”
จากนั้นหลินสวินก็ไปพบโม่หลันซาน คุยกันอยู่ครู่หนึ่งค่อยกลับไปพร้อมซย่าจื้อ
“โชคชะตาของแม่นางน้อยนั่นมีปัญหา”
ซย่าจื้อพลันเอ่ยขึ้นระหว่างทาง
นัยน์ตาหลินสวินหดรัด “เจ้ามองอะไรออกหรือ”
ซย่าจื้อกล่าว “ในการรับรู้ของข้า เคราะห์กรรมในอดีตบนตัวนางราวกับถูกลบทิ้ง ความรู้สึกนี้คล้ายกับคนตายคนหนึ่ง ร่องรอยในอดีตทั้งหมดสลายไปแล้ว มีแต่พันธะกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ในสิบปีนี้ โชคชะตาของนางก็เกิดการผันแปรไปหมด ไม่มีทางคาดเดาได้”
ในใจหลินสวินสะท้านทันที นึกถึงเรื่องที่คืนชีพถังเจียงในปีนั้น
ถังเจียงในปีนั้นตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ฉะนั้นผลกรรมบนร่างถึงสลายไป แต่ก็เพราะตนเช่นกันที่เปิดโชคชะตาของนางทั้งหมดใหม่
ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนต้องขอบคุณระเบียบนิพพาน!
“นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี”
หลินสวินอดถามไม่ได้
ซย่าจื้อตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด “ย่อมเป็นเรื่องดี นี่หมายความว่าการฝึกปราณของนางในภายหน้าจะกุมชะตาตัวเองได้โดยสมบูรณ์ จะเป็นหรือตายล้วนขึ้นกับโชคของนางคนเดียว เจ้าก็รู้ว่าโชคชะตาเป็นเรื่องลึกลับ ปีนั้นเจ้าพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาที่ห้องโถงมรรคาสวรรค์ถึงทำให้โชคชะตาเกิดการแปรเปลี่ยน สำหรับแม่นางน้อยนั่น เรื่องของนางก็เหมือนกับเจ้า”
นางหยุดไปครู่หนึ่งก็กล่าวต่อ “สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไป โชคชะตามักจะคล้ายกัน ต่อให้สำเร็จมหามรรคสูงสุด แต่ถ้าไม่ได้แจ้งมรรคนิรันดร์ โชคชะตาของพวกเขาย่อมต้องถูกคุกคามด้วยพิบัติเคราะห์สารพัดชนิดบนเส้นทางมหามรรค”
“ถ้าโชคดีก็อาศัยความกล้าของตัวเองต่อต้านและขจัดมันได้”
“ถ้าโชคร้ายก็อาจจะถูกฆ่าตายในพิบัติเคราะห์”
พูดถึงตรงนี้นัยน์ตาซย่าจื้อก็ฉายแววเลื่อนลอยเสี้ยวหนึ่ง “พูดง่ายๆ ที่จริงจนถึงตอนนี้ข้าก็ไม่รู้นัยเร้นลับที่แท้จริงของมหามรรคโชคชะตา…”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อน อย่างไรภายหน้าก็จะค่อยๆ เข้าใจนัยเร้นลับนี้ได้เอง”
ที่จริงในใจเขาก็สงบไม่ลงเช่นกัน
ระเบียบนิพพานไม่ใช่แค่คืนชีพจากความตายได้เท่านั้น ยังตัดเส้นชะตาในอดีตของคนผู้หนึ่งได้ สร้างโชคชะตาของอีกฝ่ายขึ้นใหม่ พลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาใหม่
โชคชะตาแปรเปลี่ยน!
พลังต้องห้ามระดับนี้น่าสะพรึงปานใด
หลินสวินตอนนี้ยังอดทอดถอนใจไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ว่าเจอศิษย์ถังเจียง เกรงว่าเขาคงไม่มีทางค้นพบว่าระเบียบนิพพานยังมีพลังวิเศษอัศจรรยน์เช่นนี้
ขณะเดียวกันถ้าไม่ใช่ซย่าจื้อ เขาก็คงไม่มีทางเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่านัยเร้นลับระเบียบนิพพานอย่าง ‘คืนชีพจากความตาย’ ‘พลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา’ น่าอัศจรรย์เพียงใด!
…
หลังกลับถ้ำสถิต หลินสวินก็ปิดด่านต่อ
ซย่าจื้ออยู่เป็นเพื่อนข้างๆ เขาตลอด กินแล้วนอน นอนแล้วกิน บางคราวตอนหลินสวินตื่นขึ้นมา นางถึงจะพูดคุยสัพเพเหระกับเขาแล้วกลับไปสงบเงียบตามเดิม
เวลาผ่านไปอีกแปดปีอย่างรวดเร็ว
ปีนี้ปราณของหลินสวินก้าวสู่ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์อย่างราบรื่น
ในขอบเขตขั้นนี้ไม่อาจทะลวงขั้นย่อยได้อีกแล้ว
ห่างจากระดับนิรันดร์อีกแค่ก้าวเดียว!
ก็เป็นชั่วขณะที่ทะลวงถึงขั้นสัมบูรณ์นี้เอง การหยั่งรู้ก็ผุดขึ้นในใจหลินสวิน
สามขั้นใหญ่บนมรรคาอมตะอย่าง อายุขัยเทียมฟ้า ดับเทพ หลุดพ้น ด้วยศักยภาพภาพแฝงยอดอมตะของตนล้วนปลดปล่อยออกมาถึงขีดสุด ผสานรวมในมรรควิถีของตน
นี่คือความสัมบูรณ์ที่แท้จริงชนิดหนึ่ง เป็นยอดพลังที่เกิดขึ้นเอง บนมรรคาอมตะไร้ใครเทียม!
หลินสวินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังทั้งหมดในร่างตนล้วนเผยท่วงทำนองบริบูรณ์ เป็นอิสระ โดดเด่นอย่างหนึ่งออกมา
เหมือนเป็นเตาหลอมหมื่นมรรค วิวัฒน์เป็นหนึ่งเดียว!
เทียบกับขั้นหลุดพ้นขั้นปลาย หลังจากมาถึงขั้นสัมบูรณ์ยังทำให้มรรควิถีทั่วร่างของเขายกระดับถึงขีดสุดไปสู่ขั้นพลังใหม่ทั้งหมด
อย่าว่าแต่สัตว์ประหลาดเฒ่าขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์เลย ต่อให้เผชิญหน้ากับรูปจำลองเจตจำนงของระดับนิรันดร์ หลินสวินก็มั่นใจว่าจะจัดการได้อย่างง่ายดาย!
ทั้งหมดนี้คือความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ออกมาจากใจของเขา เป็นความเข้าใจและการตัดสินที่ล้ำลึกที่สุดต่อพลังของตน ไม่ใช่การยกยอตนเอง
ขณะเดียวกันในแปดปีนี้หลินสวินก็หลอมระเบียบนิพพานสำเร็จแปดส่วนแล้ว ทำให้กฎเกฑณ์อมตะทั่วร่างเขาเปลี่ยนไปอีกขั้นเช่นกัน
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าภายใต้การหล่อเลี้ยงของกฎเกณฑ์อมตะของตน พลังระเบียบสองชนิดที่เกิดในยุคก่อนอย่างเสี่ยวเซียนและเสี่ยวหมิงก็กำลังพัฒนาการและแปรสภาพไม่หยุดเช่นกัน
เรื่องที่ทำให้เขาตกใจที่สุดคือระเบียบสองชนิดนี้ยังคงมีศักยภาพแฝงที่เติบโตอย่างน่าตกใจสุดๆ!
และก็เป็นการค้นพบนี้ที่ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า ‘เสี่ยวเซียน’ ที่เคยปกคลุมโลกมรรคเซียน กับ ‘เสี่ยวหมิง’ ที่เคยปกคลุมแดนนรกต่างเป็นพลังระเบียบระดับเทพ รูปลักษณ์ที่พวกมันแปรสภาพออกมาย่อมเกี่ยวข้องกับระเบียบมรรคเซียนและระเบียบนรก
นี่เป็นเรื่องที่หลินสวินไม่รู้มาก่อนสักนิด
เสียดายที่อู๋ซวงไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นด้วยการครอบครองนัยเร้นลับระเบียบนิพพานของหลินสวินตอนนี้ คงสมารถคาดเดาศักยภาพแฝงกับนัยเร้นลับทั้งหมดของพวกมันได้
ในปีเดียวกันนี้ เถาเหลิ่งที่เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสหอแรกนภาก็มาเยือน
หลินสวินตระหนักได้ทันทีว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ไม่เช่นนั้นโดยทั่วไปคงไม่มีใครมารบกวนการฝึกปราณของเขา
ดังคาด ทันทีที่เจอหน้าเถาเหลิ่งก็เอ่ยเสียงขรึม “น้องชาย หัวหน้าหอเหยีนยจี้มีคำเชิญ เรียกตัวเจ้ากับรองหัวหน้าหอคนอื่นมาไปรวมตัวกันที่เรือนมรรคกลาง”
“หัวหน้าหอเหยียนจี้ออกด่านแล้วหรือ” ในใจหลินสวินสะท้าน
เถาเหลิ่งกล่าว “ไม่ใช่ เป็นแค่รูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ แล้วพลันกำชับซย่าจื้อให้รออยู่ในถ้ำสถิต ส่วนเขาก็ทะยานไปเรือนมรรคกลางทันที
…
เรือนมรรคกลาง
เมื่อหลินสวินมาถึง รองหัวหน้าหออีกเจ็ดคนอย่างพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงก็มาถึงแล้ว
ส่วนเหยียนจี้ที่ร่างผอมแห้งหน้าตาราบเรียบนั่งอยู่ตรงที่นั่งประธานในเรือนมรรคกลาง
สวบ!
ยามหลินสวินปรากฏตัวนอกประตูเรือน นัยน์ตาดุจเพลิงหาญของเหยียนจี้ก็จับจ้องที่ร่างเขา แล้วพลันเผยสีหน้าตกตะลึง “เพิ่งจะไม่กี่ปี เจ้าแจ้งมรรคขั้นสัมบูรณ์แล้วหรือ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา พวกเสวียนเฟยหลิงพลันสะท้านไปทั้งร่าง แต่ละคนเผยสีหน้าประหลาด
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายหลินสวินด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเหยียนจี้พูดออกมา พวกเขาก็ไม่มีทางสังเกตได้
“ผู้อาวุโสสายตาเฉียบแหลม”
หลินสวินประสานมือคาราวะ เขารู้ว่าปิดบังอีกฝ่ายไม่ได้
เหยียนจี้อมยิ้มกล่าว “ครั้งก่อนเจ้าปิดด่านไปห้าสิบห้าปี จากขั้นหลุดพ้นขั้นต้นก้าวสู่ขั้นปลาย ครั้งนี้เจ้าปิดด่านสิบแปดปีก็ทะลวงขั้นที่ยากที่สุดได้ ก้าวสู่ขั้นสัมบูรณ์สำเร็จ ทะลวงขั้นรวดเร็วเช่นนี้เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน หาที่ใดไม่ได้อีกแล้ว”
เสวียนเฟยหลิงถอนหายใจกล่าว “เฮ้อ เฒ่าเหยียน เจ้าไม่รู้อะไร ตั้งแต่เจ้าหมอนี่ก้าวสู่ขั้นหลุดพ้น เจอกันแต่ละครั้งข้าก็อึดอัดไปทั้งร่าง รู้สึกอย่างกับถูกขี่คอ”
นี่ย่อมเป็นเรื่องล้อเล่น
ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
กระทั่งหลินสวินเข้ามานั่ง เหยียนจี้ถึงค่อยเอ่ยขึ้น “ที่เรียกทุกคนมาครั้งนี้เพื่อเรื่องเดียวเท่านั้น ครึ่งปีให้หลังเจ้าเฒ่าโหยวเป่ยไห่ก็จะแจ้งมรรคนิรันดร์ จึงมีบางเรื่องที่ควรเตรียมตัวล่วงหน้าเช่นกัน”
ใบหน้าทุกคนเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
“ตามที่คาดการณ์เวลาไว้ไม่ใช่อีกประมาณสามปีหรือ” ตู๋กูยงเอ่ยถาม
เหยียนจี้กล่าว “เรื่องทะลวงระดับเช่นนี้ไหนเลยจะกำหนดเวลาแน่นอนได้ เมื่อวานข้าได้รับการสื่อจิตจากเหล่าโหยว ยามพูดถึงเรื่องนี้เขาก็แปลกใจอยู่บ้างเช่นกัน แต่มั่นใจได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ถึงอย่างไรจุดเปลี่ยนของการแจ้งมรรคนิรันดร์ก็มาในที่สุดแล้ว”
เสวียนเฟยหลิงกล่าว “เช่นนั้นพวกข้าต้องเตรียมการอะไรบ้าง”
เหยียนจี้กล่าว “ถึงตอนนั้นข้าจะคุ้มครองเหล่าโหยวด้วยตัวเอง สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือรักษาความปลอดภัยทั่วลัทธิแรกกำเนิด หากมีศัตรูภายนอกบุกมาก็ต้องป้องกันไม่ให้ลัทธิแรกกำเนิดถูกรุกล้ำ ไม่เช่นนั้นรากฐานลัทธิแรกกำเนิดคงถูกสั่นคลอนอย่างไม่ต้องพูดถึง และการแจ้งมรรคของเหล่าโหยวย่อมได้รับผลกระทบเช่นกัน”
พูดถึงตอนท้ายสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
“ไม่กี่ปีก่อนข้าเคยออกไปข้างนอกเพื่อสืบเรื่องของลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานโดยเฉพาะ ที่มั่นใจได้ก็คือพวกเขาไม่มีทางพลาดโอกาสนี้แน่”
ฟางเต้าผิงกล่าวเสียงขรึม
ปฏิกิริยาทุกคนล้วนสงบนิ่งมาก เพราะเรื่องนี้อยู่ในการดาดเดาพวกเขาอยู่แล้ว
เหยียนจี้เอ่ยถาม “มีข่าวด้านน่านฟ้าที่แปดหรือไม่”
“พวกเขายากจะปกป้องตัวเองได้ ถึงจะอยากสอดมือเข้ามาก็คงเกินกำลังแล้ว”
เสวียนเฟยหลิงกล่าว “เรื่องที่คาดเดาไม่ได้ที่สุดตอนนี้กลับเป็นท่าทีของพวกเผ่านิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้า ถ้าพวกเขาสอดมือเข้ามาด้วยคงเกิดตัวแปรอีกมากอย่างไม่ต้องสงสัย”
เหยียนจี้ขมวดคิ้วกล่าว “เรื่องนี้ต้องวางแผนให้ดี”
เสวียนเฟยหลิงพยักหน้า
บรรยากาศอึมครึมขึ้นมาอยู่บ้างทันที เหยียนจี้ยิ้มกล่าว “ทุกคนอย่าได้กังวลมากไป ถ้าตัวแปรมาขึ้นอีกก็ยังมีข้ากับไท่เสวียนอยู่ ยามสำนักถึงช่วงคับขันคอขาดบาดตายจริงๆ ก็สู้กับพวกเขาก็พอ!”
ใคร่ครวญคราวแพ้ก่อนชนะ นี่เป็นการพิจารณาที่ปลอดภัยที่สุด
เสวียนเฟยหลิงยังอยากพูดอะไรต่อ เวลานี้เองจู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ฟังข้าสักครู่ได้หรือไม่”