ท้องฟ้ามืดลงกะทันหัน กลิ่นอายด่านเคราะห์ไร้รูปแผ่กระจาย กดดันจนคนแทบหายใจไม่ออก
ใต้ฟ้าโหยวเป่ยไห่ยืนมือไพล่หลัง แขนเสื้อโบกสะบัด นิ่งเงียบไม่ไหวติง
รองหัวหออย่างพวกเสวียนเฟยหลิงล้วนเงยหน้าขึ้นมอง ในใจอดกังวลอยู่บ้างไม่ได้
ด่านเคราะห์ใกล้มาเยือน หัวหน้าหอโหยวเป่ยไห่จะแจ้งมรรคนิรันดร์ในวันนี้
“เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือไม่”
เสวียนเฟยหลิงถาม
พวกตู๋กูยง ฟางเต้าผิงล้วนพยักหน้า
นอกจากขั้นหลุดพ้นแล้ว คนอื่นๆ ในลัทธิแรกกำเนิด รวมถึงคนในตระกูลที่อยู่ในแดนแรกเริ่มล้วนถูกพาไปอยู่ในแดนลับแรกฟ้าแล้ว
ในแดนแรกเริ่มตอนนี้รกร้าง ว่างเปล่า และเงียบงันเป็นที่สุด
“ดี จากนี้ไปพวกเราเหล่าผู้ร่วมสำนักขั้นหลุดพ้นขึ้นไปจะปกปักษ์แดนแรกเริ่ม ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้ใครมาทำลายการแจ้งมรรคของหัวหน้าหอโหยว”
ดวงตาเสวียนเฟยหลิงทอประกายเด็ดขาด
รองหัวหน้าหออื่นๆ ต่างพยักหน้า เริ่มออกเคลื่อนไหว
ส่วนเสวียนเฟยหลิงกลับมุ่งหน้าไปนอกแดนแรกเริ่มเพียงลำพัง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังกังวลความปลอดภัยของหลินสวิน
…
ทะเลหมื่นดารา
บนวังกระบี่หมื่นยอด หลินสวินเงยหน้าขึ้นเช่นกัน
ท้องฟ้าปลอดโปร่งถูกเมฆาเคราะห์หนาทึบดำมืดปานน้ำหมึกปกคลุมจนสิ้น ฟ้าดินราวกับจมสู่ความมืดมิดไร้สิ้นสุดในพริบตา
กลิ่นอายด่านเคราะห์ที่กดดันบีบคั้นเหมือนมีอยู่ทุกที่ ทำเอาทั้งร่างหลินสวินหนาวเยือก
ฟ้าดินเงียบสงัดจนน่ากลัว แม้แต่ทะเลหมื่นดาราที่คลื่นโหมรอบทิศก็ดูเหมือนจมสู่ความเงียบสงบอย่างแท้จริง ไม่มีระลอกคลื่นสักนิด
มีเพียงเมฆเคราะห์ที่ปกคลุมบนท้องฟ้านั่นที่ยิ่งหนาขึ้นทุกที สีท้องฟ้าก็ยิ่งกลายเป็นมืดมิดไปทุกขณะเช่นกัน…
สีหน้าหลินสวินเจือแววเคร่งขรึม
นี่เป็นด่านเคราะห์นิรันดร์ของหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์โหยวเป่ยไห่อย่างไม่ต้องสงสัย น่าสะพรึงจนไม่อาจจินตนาการได้
ต่อให้ในอดีตหลินสวินเคยผ่านมหาเคราะห์เร้นลับที่คาดไม่ถึงมากมาย ทั้งก้าวข้ามด่านเคราะห์ชั้นเลิศที่เรียกได้ว่าเป็นประวัติการณ์ไม่รู้เท่าไร ทว่าตอนนี้ก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่ดี
นิรันดร์!
นี่คือระดับที่เปรียบเสมือนตำนานในสายตาสรรพชีวิตทั่วหล้า
และในสายตาผู้แข็งแกร่งบนมรรคาอมตะ นิรันดร์ก็เหมือนปราการสวรรค์แห่งหนึ่งที่แทบจะปีนข้ามไปไม่ได้!
พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างเสวียนเฟยหลิง ฟางเต้าผิง ตู๋กูยงแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์มาไม่รู้กี่หมื่นปี แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครแจ้งมรรคนิรันดร์
กรณีเช่นนี้ในหอบรรพจารย์อื่นๆ และในบรรดาสิบยักษ์ใหญ่อมตะเองก็มีให้เห็นกันเกลื่อน
สาเหตุนั้นง่ายมาก
อันที่จริงธรณีประตูแห่งนิรันดร์สูงมากเกินไป สูงถึงขั้นสามารถทำให้ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์พวกนั้นแทบยากจะเอื้อมถึง!
และทันทีที่เข้าสู่ระดับนิรันดร์ ก็ไม่ต้องกลัวภัยพิบัติแห่งยุคสมัยผันเปลี่ยน สามารถใช้และควบคุมกฎระเบียบฟ้าดินได้ นี่ไม่ต่างกับเทพผู้สร้าง!
แม้ตอนนี้หลินสวินเป็นขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์แล้ว ทว่าการแจ้งมรรคนิรันดร์… กลับไร้วี่แววเช่นกัน
แต่เขาไม่ได้รีบร้อน เขาเพิ่งจะก้าวสู่ธรณีประตูขั้นสัมบูรณ์ ภายหน้ายังมีโอกาสไปเสาะหานัยเร้นลับแห่งการแจ้งมรรคนิรันดร์
ตูม!
ทันใดนั้นเสียงดังลั่นรุนแรงอุบัติขึ้นกลางฟ้าดิน
นี่ไม่ใช่เสียงของอัสนีเคราะห์ เพราะมหาเคราะห์นิรันดร์ที่จ้องเล่นงานโหยวเป่ยไห่ครั้งนี้ยังไม่มาเยือน
หลินสวินสังเกตเห็นว่าพลังระเบียบที่ปกคลุมเหนือทะเลหมื่นดารากำลังเลือนหายไปด้วยความเร็วน่าตกใจ…
‘แม้แต่ระเบียบระดับเทพก็ยังประสบแรงกดดันของกลิ่นอายมหาเคราะห์นิรันดร์ เช่นนั้นด่านเคราะห์ระดับนี้จะน่าหวาดกลัวขนาดไหน’
หลินสวินทอดถอนใจ
จากนั้นเขาก็หันกลับมา ดวงตาดำดุจหุบเหวมองไปทางริมฝั่งทะเลหมื่นดาราไกลๆ
“ซย่าจื้อ”
หลินสวินกล่าวเสียงเบา
ซย่าจื้อที่กำลังนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้น ในดวงตากระจ่างใสคล้ายเขียนคำว่า ‘มีอะไร’
นางดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจมหาเคราะห์นิรันดร์ครั้งนี้ที่กำลังจะมาเยือนสักนิด และคร้านจะไปสนใจพลังระเบียบที่ค่อยๆ สลายตัวไปจากทะเลหมื่นดาราด้วย
เหมือนว่าตราบใดที่อยู่ข้างกายหลินสวิน ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลาย คลื่นยักษ์ท่วมฟ้า ล้วนไม่อาจดึงดูดความสนใจของนางได้สักเสี้ยว
“ศัตรูจะมาแล้ว อีกเดี๋ยวรอฟังคำสั่งลงมือจากข้า”
หลินสวินเอ่ยเสียงเบา
ซย่าจื้อขานรับคำหนึ่ง จากนั้นก็เก็บเมล็ดแตงวิญญาณขึ้นมาสองสามเมล็ด นางตั้งใจว่าเดี๋ยวค่อยกำจัดสิ่งน้อยๆ แสนอร่อยพวกนี้หลังจากการต่อสู้จบลง
ซย่าจื้อยืดตัวยืน เงาร่างอรชรยังคงสวมชุดยาวสีดำ ใบหน้างดงามที่สามารถทำให้ฟ้าดินอับแสงซ่อนอยู่ใต้ม่านหมวก
ทวนศึกกระดูกขาวถูกกระชับในมือหยกขาวเรียวบางของนางไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มองไปยังที่ไกลออกไปเคียงไหล่หลินสวิน
ห่างออกไปไกล คลื่นระลอกหนึ่งผุดขึ้นกลางอากาศ กลิ่นอายน่าสะพรึงทะยานขึ้นฟ้าเป็นระลอกคล้ายพายุหมุน ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดกลางฟ้าดิน กลิ่นอายกดดันเย็นเยียบประหนึ่งเขาถล่มสมุทรโหมซัดบดขยี้ผิวทะเลออกมา
คลื่นทะเลที่ซัดสาดยังคงหอบม้วนกึกก้อง สัญญาณความโกลาหลที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าปรากฏขึ้นกลางอากาศ
จากนั้นเงาร่างหลายกลุ่มกลายเป็นแสงพร่างพราวทะยานเข้ามาจากไกลๆ แต่ละคนสูงใหญ่อานุภาพร้ายกาจ แสงมรรคอมตะที่แผ่ออกมาทั่วร่างทำเอาฟ้าดินมืดมิดดั่งนิรันดร์นี้สว่างไสว
เงาร่างพวกนี้แบ่งเป็นผู้แข็งแกร่งลัทธิพ่อมดนำโดยถูมู่หุน และผู้แข็งแกร่งลัทธิฌานนำโดยจี้คง
คนที่ศักยภาพอ่อนแอ่ที่สุดยังมีมรรควิถีขั้นหลุดพ้นขั้นปลาย!
รวมผู้แข็งแกร่งของสองหอบรรพจารย์แล้วมีมากกว่าร้อยคน เมื่อพลังของพวกเขารวมกัน ทุกที่ที่ผ่านก็เหมือนการพลิกภูเขาคว่ำสมุทร สร้างความปั่นป่วนให้ฟ้าดิน
น่าสะพรึงเกินไป ต่อให้เป็นในน่าฟ้าที่แปด กำลังพลทั้งหมดของสิบยักษ์ใหญ่อมตะรวมตัวกันก็ไม่อาจต้านการโจมตีขบวนทัพระดับนี้ได้
เมื่อเห็นภาพนี้จากไกลๆ สีหน้าหลินสวินกลับยังสงบนิ่งเช่นเคย
ซย่าจื้อนับจำนวนอย่างจริงจังอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “อีกครู่อยากแข่งว่าใครฆ่าได้มากกว่ากันหรือไม่”
หลินสวินอึ้งไป สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กล่าวว่า “อย่าชะล่าใจไป ไพ่ตายในมือพวกเขาย่อมสามารถคุกคามเจ้ากับข้าได้”
เพราะเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของซย่าจื้อจึงทำให้เขากังวลขึ้นมาอยู่บ้าง
“เจ้ากลัวหรือ” ซย่าจื้อถาม
หลินสวินส่ายศีรษะ “ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น”
ซย่าจื้อกล่าว “เช่นนั้นเจ้ากับข้าต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันก็พอ”
หลินสวินถึงค่อยว่างใจ เอ่ยว่า “เช่นนี้ดีที่สุด”
ไกลออกไปคนของสองหอบรรพจารย์อย่างพวกถูมู่หุน จี้คงต่างหยุดเท้าโดยพลัน สายตามองไปในเมืองเทพหมื่นยอด และสังเกตเห็นตัวตนของหลินสวินกับซย่าจื้อแล้ว
นัยน์ตาพวกเขาหดรัดน้อยๆ ล้วนคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
“หลินสวินหรือ”
ถูมู่หุนกล่าวด้วยความแปลกใจ “ลัทธิแรกกำเนิดนี่ทำอะไรกัน ถึงขั้นให้พวกเจ้าสองคนมาเฝ้าที่นี่เชียวหรือ”
ความจริงนี่เกินความคาดหมายของพวกเขาไป
เดิมทีก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าการจับหลินสวินเกรงว่าจะต้องบุกเข้าลัทธิแรกกำเนิดให้ใด้ก่อน หลังจากผ่านการขัดขวางชั้นแล้วชั้นเล่าถึงจะเจอหลินสวินด้วยซ้ำ
แต่ใครจะคิดว่านี่ยังไม่ทันเข้าลัทธิแรกกำเนิด ก็เจอหลินสวินอยู่เหนือทะเลหมื่นดารานอกแดนแรกเริ่มแล้ว
มิหนำซ้ำในเมืองเทพหมื่นยอดที่ใหญ่โตยังมีแค่หลินสวินกับผู้หญิงคนเดียว!
จี้คงเองก็เลิกคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “ผิดปกติอยู่บ้างจริงๆ “
หลินสวินกล่าวเรียบๆ “เป็นิอะไร พวกเจ้ามาที่นี่ไม่ใช่ว่ามาเพื่อจัดการข้าคนแซ่หลินหรือ เหตุใดตอนนี้กลับลังเลแล้ว”
“ไม่เชิงว่าลังเล แค่คิดไม่ถึงว่าลัทธิแรกกำเนิดจะทุ่มสุดตัวเช่นนี้ หรือว่าเพื่อให้โหยวเป่ยไห้แจ้งมรรคนิรันดร์ ลัทธิแรกกำเนิดถึงได้ตัดสินใจสละเศษเดนคีรีดวงกมลอย่างเจ้า”
นัยน์ตาถูมู่หุนฉายแววชวนหวาดหวั่น เขาสัมผัสได้แล้วว่านอกจากพวกหลินสวินสองคน ข้างนอกแล้วในผืนทะเลแห่งนี้ก็ไม่มีใครดักซุ่มอีก
“ผิด”
หลินสวินกล่าวเรียบๆ “ดูจากในลัทธิแรกกำเนิดทั้งหมด แค่ให้ข้าคนแซ่หลินมารับมือพวกเจ้าก็พอแล้ว ไม่ต้องรบกวนคนอื่นอีก”
“กำเริบ!”
เฒ่าดึกดำบรรพ์ลัทธิพ่อมดคนหนึ่งหัวเราะหยัน
“ทุกท่าน ข้าใช้วิชาลับสัมผัสทั่วทิศแล้ว ที่นี่ไม่มีใครดักซุ่ม จัดการเจ้าหมอนี่ได้เต็มที่”
เฒ่าดึกดำบรรพ์อีกคนกล่าวอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
เพียงแต่ต่อให้พูดเช่นนี้กลับยังไม่มีใครเคลื่อนไหว
อันที่จริงภาพตรงหน้านี่ประหลาดเกินไป รู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาสองหอบรรพจารย์มาเพื่อจัดการหลินสวิน แต่ดันส่งหลินสวินออกมาเฝ้านอกแดนแรกเริ่ม เป็นใครจะไม่รู้สึกแปลกใจเล่า
เกิดเรื่องผิดปกติย่อมต้องมีเหตุ!
“ฮ่าๆๆ”
บนยอดวังกระบี่หมื่นยอด หลินสวินอดแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่นไม่ได้
แม้แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าแค่เพราะตัวเองเฝ้าอยู่ที่นี่ กลับทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าของสองหอบรรพจารย์ทั้งหมดถึงขั้นหวาดระแวง ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ
ชั่วขณะหนึ่งกลางฟ้าดินเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเยาะของหลินสวิน
นี่ทำให้พวกถูมู่หุนกับจี้คงอดขมวดคิ้วไม่ได้ เจ้านี่… หรือจะถูกลัทธิแรกกำเนิดตัดหางไปแล้วจริงๆ
หากเป็นเช่นนี้กลับจะเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก
เพียงแต่ใครจะกล้ามั่นใจว่านี่ไม่ใช่กับดัก
“หลินสวิน เหตุใดเจ้าถึงเริงร่าเช่นนี้” ซย่าจื้อกล่าวอย่างงุนงง
หลินสวินเอ่ยว่า “ข้ากำลังขำพวกเฒ่าชราเหล่านี้ แต่ละคนไม่รู้มีชีวิตมากี่ปีแล้ว แต่ความกล้ากลับยิ่งอยู่ยิ่งน้อยลง”
ซย่าจื้อกล่าวจริงจัง “พวกเขาหวาดกลัวพวกเราสองคน นี่ไม่ใช่ว่าปกติมากหรือ”
หลินสวินอึ้งไป เข้าใจเช่นนี้ก็ได้หรือ!?
ทันใดนั้นเข้าก็อดหัวเราะลั่นขึ้นมาอีกไม่ได้ พยักหน้าไม่หยุด “ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ”
เห็นพวกเขาสองคนคุยเล่นกันอย่างกับไม่มีใครอยู่ นัยที่เผยออกมาระหว่างคำพูดก็ทำให้ลัทธิพ่อมดอย่างพวกถูมู่หุนสีหน้าอึมครึมลง
“ไม่ว่าเขาจะเสแสร้งแกล้งทำอยู่หรือไม่ ข้าจะไปสู้กับเขาดูก่อน”
ทันใดนั้นเฒ่าดึกดำบรรพคนหนึ่งก็เดินก้าวออกมา ร่างของเขาองอาจดั่งขุนเขา ยิ่งใหญ่ไร้ใครเทียม หูทั้งสองใส่ห่วงกระดูกสัตว์สีขาวหิมะ ผิวหนังทั่วร่างเปล่งลวดลายแสงมรรคน่าสยอง
หลูถู!
หนึ่งในราชครูดินลัทธิพ่อมด ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์
ตูม!
เขาก้าวทะยานขึ้นฟ้า เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ประหนึ่งเทพที่เหี้ยมโหดดุดัน ไม่ว่าจะผ่านไปที่ใดห้วงอากาศล้วนพังทลายครั่นครืน
“เฮอะ!”
กระบองยาวกระดูกสัตว์อันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา ฟาดเข้าใส่หลินสวินอย่างรุนแรงจากไกลๆ
ตูม!
เงากระบองพุ่งโฉบกลางอากาศ กฎเกณฑ์อมตะสีดำน่าสยดสยองดุจน้ำตกไหลพุ่ง มองจากไกลๆ ราวกับรุ้งเทพพุ่งโฉบออกมาจากท้องฟ้า
“ข้าเอง”
ขณะที่ซย่าจื้อพูด เงาร่างงดงามก็พุ่งออกไป ทวนกระดูกขาวกวัดแกว่ง
ตูม โครม!
เงากระบองสายนั้นระเบิดออกอย่างน่าสะพรึง
หลูถูเผยยิ้มเย็น นี่เป็นแค่การล่อหลอกของเขาเท่านั้น
เห็นซย่าจื้อทะยานออกมา ไอสังหารในนัยน์ตาเขาก็ฉายวาบ พลันบิดข้อมือ กระบองยาวกระดูกสัตว์ส่งเสียงอสนีบาตรุนแรงเสียดหู ทะลวงทุบผ่านห้วงอากาศ
หนักหน่วงรุนแรง สั่นคลอนฟ้าดิน!
กระบองเดียวกดอัดจนห้วงอากาศแถบนี้พังทลาย บริเวณใกล้ๆ ผืนทะเลแยกออกเป็นหุบเหวลึกไม่อาจวัดได้สายหนึ่งทันที พลังสังหารรุนแรงหาใดเปรียบพุ่งออกมา กร้าวแกร่งจนพาให้คนใจสะท้าน
ซย่าจื้อไม่ได้หลบหลีก ใช้ทวนศึกเข้าปะทะจังๆ
เคร้ง!!
กระบองยาวกระดูกสัตว์ปะทะกับทวนศึก เสียงระเบิดกึกก้องกังลั่น กลิ่นอายสังหารน่าพรั่นพรึงแผ่ออกมาระหว่างทั้งสอง
ร่างของหลูถูที่องอาจดุจภูผาเซน้อยๆ เผยสีหน้าแปลกใจเสี้ยวหนึ่งอย่างอดไม่ได้
หญิงผู้นี้พลังแข็งแกร่งนัก!
แต่ไม่ให้เวลาเขาคิดมาก ทวนศึกกระดูกขาวในมือหยกขาวกระจ่างเรียวบางนั่นของซย่าจื้อก็แทงออกไปตรงๆ อย่างเรียบง่าย พลังแห่งโชคชะตากฎกรรมที่คลุมเครือแผ่ออกมา
พริบตาเดียวในใจหลูถูก็สั่นสะท้าน คล้ายสังเกตเห็นอันตราย หลบหลีกไปตามจิตใต้สำนึก
พรูด!
จากนั้นเลือดแดงฉานจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมา
หลูถูรู้สึกเพียงร่างกายเจ็บปวดรุนแรง ก้มหัวลงดูตามจิตใต้สำนึก ก็เห็นทวนศึกกระดูกขาวทะลุเข้าอกตัวเองแล้ว!
เขาเผยสีหน้ายากจะเชื่อ ถึงกับหนีไม่พ้นหรือ
นี่… นี่เป็นไปได้อย่างไร!?