หลังจากจ้งชิวปรากฏตัว บรรยากาศตึงเครียดใกล้ปะทุนั่นก็ปกคลุมไปด้วยความพิศวง
ว่ากันตามตรงเขามีพลังปราณแค่ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ แต่ฐานะกับถ้อยคำที่เขาพูดออกมากลับทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างฉงนอยู่ในใจ บรรยากาศยังแปรเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลและกดดันขึ้นมา
จนกระทั่งเขาเอ่ยกับปากเองว่าร่างต้นรวมถึงรูปจำลองเจตจำนงของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลไม่เคยปรากฏตัวออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนยิ่งกังขา
ถ้าเจ้าแห่งคีรีดวงกมลไม่ได้ลงมือ แล้วใครกันที่ลงมือพาราชครูฟ้าสองคนอย่างเหลยอู่กับเซียวอิ๋งไปที่แหล่งสถานคุนหลุน
เป็นเพราะมีข้อกังขามากมาย ลัทธิพ่อมดที่มีเทียนอูเป็นผู้นำ ลัทธิฌานที่มีซื่อเป็นผู้นำ รวมถึงระดับนิรันดร์จากน่านฟ้าที่เก้าอย่างพวกหยวนเฟยหูต่างไม่บุ่มบ่ามเคลื่อนไหว
เรื่องราวผิดปกติเกินไป
สถานการณ์ในวันนี้มีตัวแปรเกิดขึ้นมากมาย ทำให้พวกเขาเกิดความระแวดระวังขึ้นในใจ
“จะล่าช้าต่อไปอีกไม่ได้แล้ว”
เทียนอูเงยตามองส่วนลึกของเวิ้งฟ้า เคราะห์นิรันดร์ของโหยวเป่ยไห่ครั้งนี้ยังดำเนินอยู่
“จากที่ข้าดู มีเพียงลงมือถึงจะดูออกว่าตกลงใครกำลังเล่นลูกไม้อยู่ และใครกันแน่ที่ถ่วงเวลาหรือทำเสแสร้ง”
หยวนเฟยหูเอ่ยเย็นชา
จ้งชิวสองมือไพล่หลัง สุขุมเยือกเย็นเช่นเดิม เอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบ คำนวณเวลาดู ผู้อาวุโสคนนั้นกำลังเร่งมาแล้ว”
เทียนอูหนังตากระตุก ตระหนักได้ว่า ‘ผู้อาวุโส’ ที่จ้งชิวพูดถึงนี้ เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะเป็นคนที่ทำให้เหลยอู่กับเซียวอิ๋งไม่อาจปรากฏตัวที่นี่ผู้นั้น!
“ลงมือ!”
เขาเก็บกลั้นไว้ไม่อยู่ ก้าวออกไปข้างหน้า
ถ้าเปิดศึกตอนนี้พวกเขาจะยังได้เปรียบโดยสมบูรณ์ แต่ทันทีที่มีตัวแปรอื่นปรากฏขึ้นอีก เป็นไปได้สูงยิ่งว่าสถานการณ์ในวันนี้จะพลิกผัน
นี่เป็นสิ่งที่เทียนอูไม่อาจทนได้โดยเด็ดขาด
เขาเป็นเพียงรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่ง ต่อให้ถูกทำลายก็ไม่เสียดาย!
ตูม!
พอเทียนอูก้าวออกไป สถานการณ์ที่ตึงเครียดก็ปะทุขึ้นในชั่วพริบตา กลางฟ้าดินราวกับราตรีมาเยือน นรกสีดำไร้สิ้นสุดแถบหนึ่งอุบัติขึ้น เข้าปกคลุมทุกคนจากลัทธิแรกกำเนิดที่อยู่ไกลๆ
แทบจะในขณะเดียวกัน บรรพจารย์ลัทธิฌานซื่อ พุทธอดีตเจียซิว พุทธอนาคตเจียจิ้ง รวมถึงระดับนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าห้าคนก็เคลื่อนไหว
แสงธรรมแผ่กระจาย เสียงอสนีกัมปนาท ยามนี้กลิ่นอายระดับนิรันดร์อันน่าครั่นคร้ามปลดปล่อยออกมาในทันใด พลังกฎระเบียบของฟ้าดินแถบนี้ยังพังถล่มปั่นป่วนไปด้วย
มองเห็นด้วยตาเปล่าว่าระดับนิรันดร์อย่างพวกเจียซิว เจียจิ้ง หยวนเฟยหูถูกกฎระเบียบฟ้าดินสะท้อนกลับในชั่วพริบตาที่ลงมือ แต่พวกเขากลับไม่สนใจสักนิด สลายพลังที่สะท้อนกลับนั้นแล้วออกโจมตีอย่างแข็งกร้าว!
ครืน…
ในพื้นที่ไร้สิ้นสุดของน่านฟ้าที่เจ็ด ยามนี้สรรพชีวิตหลายร้อยล้านต่างพบอย่างน่าพรั่นพรึง ว่าเวิ้งฟ้าอันกว้างไกลนั้นเกิดรอยแยกน่าตกตะลึงขึ้นราวกับถูกถล่มโจมตี
คล้ายฟ้าจะถล่มลงจริงๆ!
กฎระเบียบมหามรรคยังมีเค้าว่าจะพังทลาย ถึงกับส่งผลกระทบต่อการโคจรของระเบียบทั้งน่านฟ้า ภูผาธารา เวิ้งฟ้ากว้างใหญ่ล้วนเกิดเภทภัยน่าเหลือเชื่อต่างๆ ตามไปด้วย
นั่นเป็นภัยพิบัติอย่างแท้จริง!
อย่างกับจะทำลายโลก!
“นี่…”
“สวรรค์!”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”
เสียงร้องหวาดหวั่นนับไม่ถ้วนดังขึ้นตามสถานที่มากมายในน่านฟ้าที่เจ็ด ยามนี้ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรต่างรู้สึกสิ้นหวัง
นี่ก็คือพลังของระดับนิรันดร์!
ทุกการเคลื่อนไหวส่งผลให้กฎระเบียบน่านฟ้าแห่งหนึ่งเปลี่ยนแปลงและปั่นป่วนได้ แข็งแกร่งจนไม่อาจคาดคิด
และตอนนี้ไม่ได้มีระดับนิรันดร์เพียงคนเดียวที่ลงมือ!
เมื่อเห็นพวกเฒ่าชราอย่างเทียนอู ซื่อโจมตีโดยไม่สนใจสิ่งใด พวกหยวนชู ซวีอิ่นก็สบตากันแล้วไม่ลังเลอีก
เพียงแต่ก็ในตอนที่พวกเขาจะลงมือ จู่ๆ ก็มีเสียงระฆังเสียงหนึ่งดังขึ้น
แกร๊ง!
เสียงระฆังนั้นยิ่งใหญ่ หนักแน่น และน่าเกรงขามประหนึ่งเสียงแห่งสรรพชีวิตทั่วหล้า ดังก้องท้องฟ้าเหนือทะเลหมื่นดารา กระจายไปบนเวิ้งฟ้าของน่านฟ้าที่เจ็ด
ชั่วพริบตานี้กฎระเบียบฟ้าดินที่เหมือนพังทลายแปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่นหาใดเทียบราวกับได้รับการซ่อมแซม
เวิ้งฟ้าไร้ขอบเขตที่กำลังจะถล่มลงนั้นคืนสู่ความสงบและกว้างไกลดังเก่า ปรากฏการณ์ภัยพิบัติอันน่าเหลือเชื่อต่างๆ คล้ายถูกมือใหญ่ไร้รูปมือหนึ่งขจัดไป ทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายในน่านฟ้าหลุดพ้นจากความรู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัวเช่นนั้น
เหล่าเฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างเทียนอู ซื่อต่างใจสั่นระรัว ดวงตาพลันนิ่งขึง
แกร๊ง!
เสียงระฆังดังขึ้น เกิดพลังน่ากลัวไร้รูปกดข่มให้แสงมรรคทั้งร่างพวกเทียนอูปั่นป่วน อานุภาพจู่โจมยังถูกเสียงอันยิ่งใหญ่ของระฆังนั้นสลายไป
แม้แต่พวกหยวนชู ซวีอิ่นยังเผยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างอดไม่ได้
เสียงระฆังคือสรรพชีวิต นี่เป็นพลังของระฆังมหามรรคไร้กฎแหล่งสถานคุนหลุน!
ในเวลาเดียวกันหลินสวินก็จำได้แล้วว่าเมื่อนานมาแล้วเขาเคยได้ยินเสียงระฆังนี้อยู่หลายครั้ง เพียงแต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถึงกับปรากฏขึ้นกะทันหันในตอนนี้
มิหนำซ้ำอานุภาพยังแข็งแกร่งเช่นนี้ด้วย!
แกร๊ง!
เสียงระฆังดังขึ้นอีกระลอก ประตูน้ำวนมหึมาบานหนึ่งพลันปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศ
สายตาทุกคู่ในนั้นล้วนหันมองไป
ในตอนนี้แม้แต่พวกเทียนอู ซื่อ หยวนเฟยหูยังล้วนยั้งมือ หว่างคิ้วปรากฏแววฉงน
ไม่ต้องสงสัย ตัวแปรที่ใหญ่ที่สุดของสถานการณ์ในวันนี้ปรากฏตัวแล้ว!
ประตูน้ำวนมีแสงเคลื่อนสดใส ลอยอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายไพศาลอันลึกลับแผ่กระจาย เงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากในนั้นท่ามกลางสายตาทั้งหมดที่จับจ้อง
ชุดป่าน เท้าเปล่า รูปลักษณ์หล่อเหลา ดวงตาทั้งสองลึกล้ำและสงบนิ่ง กลางฝ่ามือเขายังถือระฆังสำริดที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายหนักแน่นไพศาลใบหนึ่ง
เป็นเขา!
เมื่อเห็นเงาร่างของคนผู้นี้ หลินสวินก็อึ้งไป เผยสีหน้ายากจะเชื่อออกมา
เขาจะลืมผู้อาวุโสที่เคยจำศีลอยู่ในป่าต้นหม่อนและ ‘สนทนา’ กับตนคนนี้ได้อย่างไร
คนผู้นี้ย่อมเป็นจักจั่นทอง!
บุคคลลึกลับที่เคยเอ่ยความปรารถนายิ่งใหญ่ ‘ปรารถนาให้สรรพชีวิตทั่วหล้ากลายเป็นอริยะ’ บุคคลในตำนานที่เดินออกมาก้าวเดียวก็ทะลวงพลังระเบียบต้องห้ามได้ผู้นั้น!
ในใจหลินสวิน ชายหนุ่มจักจั่นทองเป็นคนลึกลับยิ่งคนหนึ่ง การได้ปฏิสัมพันธ์กับเขาทำให้ผู้คนไม่เกิดความรู้สึกขัดแย้ง
ทั้งตัวเขาอ่อนโยนดุจลมวสันต์ เรียบลื่นดุจหยกงาม ถึงขั้นทำให้ผู้คนมักจะมองข้ามว่าจริงๆ แล้วเขามีมรรควิถีและพลังที่สูงส่งปานไหนกันแน่!
หลินสวินยังจำได้อย่างแจ่มชัดว่าศิษย์พี่หลี่เสวียนเวยเคยพูดไว้ว่า นานมาแล้วเคยมีจักจั่นทองตัวหนึ่งมายังคีรีดวงกมล ยืนอยู่บนต้นไม้โบราณที่อยู่นอกสำนัก ฟังเจ้าแห่งคีรีดวงกมลบรรยายมหามรรคอยู่สามสิบปี
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลไม่ได้ขับไล่มัน และสั่งไม่ให้คนในสำนักไปรบกวน
สามสิบปีต่อมาจักจั่นทองกลายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง กุมมือคารวะคีรีดวงกมลจากไกลๆ แล้วหันหลังจากไป
ทันใดนั้นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลที่กำลังบรรยายมหามรรคให้คนในสำนักอยู่ก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เหล่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลจดจำได้ดีถึงทุกวันนี้ว่า
‘บำเพ็ญฌานสามสิบปี ทันทีที่ตื่นรู้ จักจั่นนี้แม้เล็กจ้อย แต่มรรคสูงล้ำฟ้า!’
มรรคสูงล้ำฟ้า!
และในตอนนี้ชายหนุ่มจักจั่นทองปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ยืนอยู่หน้าประตูน้ำวน มือถือระฆังมหามรรคไร้กฎ ครู่เดียวก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน
“เป็นเจ้าได้อย่างไร!”
บรรพจารย์ลัทธิฌาณซื่อเผยสีหน้าตกตะลึง
“เป็นจักจั่นทองที่ท่องไปในสายธารยุคสมัยตัวนั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะถึงกับปรากฏตัวขึ้นตอนนี้…”
เทียนอูเสียงต่ำลึก หว่างคิ้วเจือแววเคร่งเครียดอย่างหาได้ยาก
“ที่ผู้อาวุโสทั้งสองพูด หรือจะเป็นตำนานที่ข้ามหมื่นด่านมหาสมุทร เวียนว่ายในพันเคราะห์ร้อยพิบัติท่ามกลางนิรันดร์ผู้นั้น”
หยวนเฟยหูถามอย่างอดไม่ได้
ในใจเขาปั่นป่วน
ในตำราโบราณน่านฟ้าที่เก้าบันทึกไว้ว่าบนโลกนี้มีจักจั่นลึกลับตัวหนึ่งทิ้งร่องรอยไว้ในหลายยุคสมัย ทั้งยังเคยเวียนว่ายตายเกิด ผ่านพันเคราะห์ร้อยพิบัติในนิรันดร์!
“นอกจากเขายังจะเป็นใครได้”
เทียนอูแววตาน่ากลัว จ้องชายหนุ่มจักจั่นทองเขม็ง
พวกหยวนเฟยหูต่างใจสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้
“ผู้อาวุโส รบกวนด้วย”
ยามนี้จ้งชิวที่อยู่ไกลออกไปกุมมือคารวะ
หลินสวินก็กุมมือเอ่ยว่า “ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโส ไม่ได้พบกันนาน”
ชายหนุ่มจักจั่นทองพยักหน้าให้จ้งชิวก่อน จากนั้นจึงมองหลินสวินแล้วยิ้มอบอุ่นพูดว่า “สหายน้อย ตอนนั้นที่ได้สนทนากับเจ้าที่ป่าต้นหม่อนทำให้ข้านึกถึงมาจนตอนนี้ รู้สึกได้ถึงความเร้นลับของวาสนา การได้พบกันคราวนี้ก็ไม่ถึงกับเหนือความคาดหมาย”
หลินสวินอึ้งไป ที่แท้เขายังจำเหตุการณ์ยามได้พบกับตนเป็นครั้งแรกได้…
ชายหนุ่มจักจั่นทองเบนสายตาไปมองหยวนชู ซวีอิ่น พยักหน้าเล็กน้อย “สหายยุทธ์ทั้งสอง พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ”
หยวนชูแววตาแปลกไป
เขาก็ท่องผ่านยุคสมัยผันเปลี่ยนมากมาย และเคยพบชายหนุ่มจักจั่นทองเช่นกัน
ทั้งยังเคยได้ยินว่ามีจักจั่นตัวหนึ่งเหมือนเวียนว่ายอยู่ในวัฏจักร ในแต่ละวัฏจักรล้วนต้องข้ามพันเคราะห์ร้อยพิบัติ ถูกมองว่าเป็นตำนานบนมรรคานิรันดร์
เคยมีคำร่ำลือว่าจักจั่นนี้ ‘เกิดมามรรคสูงเหนือฟ้า ไม่ข้ามผ่านตนแต่ข้ามผ่านสรรพชีวิต!’
ซวีอิ่นแววตาประหลาด เอ่ยถอนใจเบาๆ ว่า “ถ้าไม่ใช่สหายยุทธ์ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าบนโลกนี้ยังมีใครมีพลังได้อย่างเจ้า ขอถามประโยคเดียว ชาตินี้ภพนี้ยุคนี้ สหายยุทธ์จะผ่านพันเคราะห์ร้อยพิบัติ หลุดพ้นจากวัฏจักรโดยสมบูรณ์หรือไม่”
จักจั่นทองยิ้มเอ่ย “ยังขาดอีกนิดเดียว”
อีกนิดเดียวคือเท่าไรกัน
ไม่มีใครรู้
แต่ไม่ว่าใครต่างรู้ว่าการปรากฏตัวของจักจั่นทองทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ใครก็ควบคุมไม่ได้อีกแล้ว!
“จักจั่นทอง ราชครูฟ้าจากลัทธิพ่อมดของข้าทั้งสองคนถูกเจ้าพาไปหรือไม่”
เทียนอูเสียงเยียบเย็น หลังจากจักจั่นทองปรากฏตัว สีหน้าเขาก็เย็นชาและอึมครึมลงอย่างประหลาด
“ไม่ผิด”
ชายหนุ่มจักจั่นทองเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ผู้แข็งแกร่งที่บรรลุนิรันดร์อย่างพวกเขา หากต่อสู้โดยไม่สนใจสิ่งใด สรรพชีวิตใต้หล้านี้ก็จะวอดวาย”
เขาหยุดไป สายตากวาดมองทุกคนที่นั่น “ข้ามาคราวนี้ไม่ได้คิดจะคลี่คลายความแค้นระหว่างพวกท่าน แต่เพื่อเลือกสถานที่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับทุกท่านสักที่หนึ่ง เช่นนี้ก็จะปกป้องสรรพชีวิตทั่วหล้าทั้งหมดได้”
เทียนอูเอ่ยเสียงเย็น “ใช้การทำเพื่อสรรพชีวิตมาเป็นข้ออ้าง ต้องการจะช่วยคีรีดวงกมลก็เท่านั้น จักจั่นทอง ข่าวลือเกี่ยวกับเจ้าบนโลกนี้ล้วนเลื่อนลอยไม่อาจจับต้องได้ ข้าล่ะอยากรู้นักว่าแค่เจ้าคนเดียวจะหยุดยั้งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างไร!”
ชายหนุ่มจักจั่นทองยิ้มน้อยๆ หันไปมองพวกหยวนชู ซวีอิ่นแล้วพูดว่า “สหายยุทธ์ทุกท่าน ต้องการไปจบเรื่องนี้ที่แหล่งสถานคุนหลุนหรือไม่”
“ได้”
พวกหยวนชูตกลง
ขอเพียงไม่ทำร้ายลัทธิแรกกำเนิด พวกเขาย่อมไม่ปฏิเสธข้อเสนอเช่นนี้
“ทุกท่านว่าอย่างไร”
สายตาชายหนุ่มจักจั่นทองมองไปที่พวกเทียนอู ซื่อ หยวนเฟยหูที่อยู่ไกลออกไปอีก
“ต้องการให้พวกเรารับปากด้วยคำพูดนี้ของเจ้า เข้าข้างตัวเองจริงๆ”
เทียนอูเอ่ยเย็นชา
ซื่อพนมมือทั้งสอง เอ่ยเคร่งขรึมว่า “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าสหายยุทธ์จะมีความสามารถพาพวกเราไปหรือไม่แล้ว”
เห็นชัดว่าเขาก็ไม่ตกลงเช่นกัน!
หยวนเฟยหูกับระดับนิรันดร์คนอื่นดวงตาวาบไหว แม้ไม่ได้เอ่ยปาก แต่พวกเขาก็ไม่มีทางยอมจากไปเพียงเท่านี้โดยไม่ต้องสงสัย