หลินสวินตะลึงไป เก็บกลั้นความกังขาในใจเอาไว้ไม่พูดอะไรอีก
“เหล่าเสวียน สำนักก็ฝากพวกเจ้าดูแลแล้ว”
ก่อนจากไปไท่เสวียน เหยียนจี้ต่างกำชับกับเสวียนเฟยหลิงและหลินสวิน
“ศิษย์หลาน คืนรูปจำลองเจตจำนงให้ข้าเถอะ”
คงเจวี๋ยยื่นมือออกมา ยิ้มมองหลินสวิน “ด้วยมรรควิถีของเจ้าในตอนนี้ก็ไม่จำเป็นอยู่แล้ว”
หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน ส่ายหัวปฏิเสธ “เก็บไว้ระลึกถึงก็ดี”
คงเจวี๋ยอึ้งไป ยิ้มด่าว่า “ระลึกถึงหรือ เจ้ามั่นใจว่าข้ากลับมาไม่ได้แล้วใช่ไหม ช่างเถอะ เจ้าอยากเก็บไว้ก็เก็บ ภายหน้าไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
พูดจบเขากลับหุบยิ้ม ประสานหมัดเอ่ยกับหลินสวินว่า “หลายปีนี้ขอบคุณมากจริงๆ!”
หลินสวินใจสะท้าน กำลังจะพูดอะไรคงเจวี๋ยก็หมุนตัวเดินหายเข้าไปในประตูน้ำวนนั้นอย่างสง่างาม
‘คนในครอบครัวตัวเองยังต้องขอบคุณอะไร อาจารย์อาหนออาจารย์อา ถ้าอยากขอบคุณข้าจริงๆ ท่านรอดกลับมาให้ข้าก็พอแล้ว…’ หลินสวินคิดในใจ
ไม่นานนักพวกไท่เสวียน เหยียนจี้ ต้งลี่และจือเจิ้งก็ทยอยจากไป
เห็นเงาร่างพวกเขาหายลับไปในประตูน้ำวนนั้นคนแล้วคนเล่า หลินสวินยังกลัดกลุ้มอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
ใครจะคิดว่าสถานการณ์ในวันนี้จะพลิกผันมาถึงขั้นนี้
ดวงตาจักจั่นทองมองไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้า มหาเคราะห์นิรันดร์ที่พุ่งเป้าไปที่โหยวเป่ยไห่นั้นยังดำเนินอยู่ตลอด
จักจั่นทองจับจ้องอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนใจเบาๆ เมื่อสะบัดแขนเสื้อขวดหยกขวดหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ส่งผ่านอากาศมาให้หลินสวิน “รอด่านเคราะห์นี้จบลง มอบขวดนี้ให้คนที่ข้ามด่านเคราะห์นั้นก็พอ”
หลินสวินจิตใจหดรัด เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสดูอะไรออกหรือ”
จักจั่นทองพูดเสียงอ่อนโยน “นี่ก็คือพิบัติเคราะห์ รอเมื่อทุกอย่างปิดฉากเจ้าก็จะรู้เอง”
หลินสวินกำขวดหยกนั้นไว้ในมือ สูดหายใจลึกแล้วเอ่ยว่า “ครั้งนี้ยังต้องขอบคุณผู้อาวุโสที่ลงมือโดยทวงความเป็ฯธรรม หากไม่เป็นเช่นนี้ เคราะห์ในวันนี้ต้องสร้างหายนะไปทั้งลัทธิแรกกำเนิดแน่”
จักจั่นทองยิ้ม “เจ้าไปขอบคุณอาจารย์เจ้าเถอะ ข้ามาจัดการตามที่เขากำชับ เอาล่ะ จะชักช้าไม่ได้ ข้าก็ควรจากไปแล้ว”
พูดถึงตรงนี้เขาอดมองไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั้นไม่ได้ “ไม่เช่นนั้นก็จะหนีไม่พ้นแล้ว”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ
เงาร่างของเขาพลันหายลับไปพร้อมกับประตูน้ำวนบานนั้น
ชั่วขณะเดียวฝั่งลัทธิแรกกำเนิดเหลือเพียงหลินสวิน เสวียนเฟยหลิง และจ้งชิว
ส่วนสัตว์ประหลาดเฒ่าของสองหอบรรพจารย์อย่างพวกถูมู่หุนกับจี้คงยังอยู่ห่างออกไปมาตลอด
ผ่านเหตุการณ์พลิกผันน่าตกตะลึงก่อนหน้านี้แต่ละอย่าง ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกอยากถอยมานานแล้ว แต่กลับไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว เพราะตัวตนของจักจั่นทองน่ากลัวเกินไปจริงๆ ทำให้พวกเขายังไม่กล้ามีความคิดหลบหนี!
แต่หลังจากเห็นว่าพวกน่ากลัวฝั่งลัทธิแรกกำเนิดหายไปเช่นเดียวกับจักจั่นทอง พวกถูมู่หุนกับจี้คงต่างถอนใจโล่งอกโดยไม่ได้นัดหมาย รู้สึกเหมือนพวกเขาเพิ่งเดินออกจากประตูผี ในที่สุดก็ฟื้นคืนชีพมา
ยามนี้พวกเขาแค่อยากจากไปทันที!
แต่ยังไม่ทันรอให้พวกเขาเคลื่อนไหว หลินสวินที่อยู่ไกลๆ ก็เอ่ยเสียงเย็นเยียบว่า “ทุกท่าน ตอนนี้ไม่มีใครมารบกวนการต่อสู้ของพวกเราอีกแล้ว”
เมื่อแรกสุดหลินสวินกำลังห้ำหั่นกับรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์จากสองหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌาน สังหารรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์เก้าคนอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็ในตอนนั้นเองที่ถูมู่หุนใช้ไพ่ตาย เชิญรูปจำลองเจตจำนงบรรพจารย์ผู้ก่อตั้งลัทธิพ่อมดเทียนอูออกมา
สถานการณ์ก็เริ่มมีตัวแปรปรากฏขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น
รูปจำลองเจตจำนงของบรรพจารย์สี่หอบรรพจารย์ทยอยปรากฏตัว เข้าเผชิญหน้าและต่อสู้กัน
จากนั้นมาระดับนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าห้าคนอย่างหยวนเฟยหูก็มาเยือน จากนั้นก็เป็นพวกไท่เสวียน เหยียนจี้และคงเจวี๋ยที่ปรากฏตัวออกมา
จนต่อมาสองหอบรรพจารย์ลัทธิฌานและลัทธิวิญญาณต่างก็เคลื่อนพลระดับนิรันดร์ฝั่งละสองคน ถึงกับทำให้สถานการณ์มีเค้าลางว่าจะคุมไม่อยู่
กระทั่งจ้งชิวปรากฏตัว ก็คล้ายเป็นคนทำลายสถานการณ์ ทำให้เหตุการณ์พลิกผันจากจุดนี้!
และการลงมือของจักจั่นทอง เรียกได้ว่าหนึ่งคนกำหนดจักรวาล ย้ายเคราะห์สังหารที่พุ่งเป้ามายังหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดในวันนี้ไปยังแหล่งสถานคุนหลุน
ก็ด้วยเหตุนี้ ทั้งแดนแรกเริ่มกับลัทธิแรกกำเนิดจึงได้รับการปกป้อง!
พูดเหมือนง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างนั้นต่างเรียกได้ว่าน่าอกสั่นขวัญแขวน เคราะห์สังหารมีอยู่ทั่วไปหมด อันตรายถึงขีดสุด
และตอนนี้วิกฤตทั้งหมดต่างมลายไปแล้ว หลินสวินจะปล่อยพวกถูมู่หุน จี้คงไปได้อย่างไร
ขณะพูดเงาร่างของเขาก็เคลื่อนออกไปอย่างฉับไว สำแดงประทับผนึกเวลาออกไปโดยไม่ลังเล!
วู้ม…
กฎระเบียบฟ้าดินเหมือนถูกเหนี่ยวนำ แสงเคลื่อนนับไม่ถ้วนไหลหลั่ง ทอประสานตัดสลับแปลงเป็นกระบวนผนึกเข้าปกคลุมผืนน้ำแห่งนี้ไว้
ทั้งยังปิดตายทางหนีของพวกถูมู่หุน จี้คงอีกด้วย!
ฝั่งสองหอบรรพจารย์ยังเหลือรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์หกคน รวมถึงขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์กับขั้นหลุดพ้นขั้นปลายอีกจำนวนหนึ่ง กำลังพลเรียกได้ว่าแกร่งกล้ายิ่งยวดเช่นกัน
แต่ยามเผชิญหน้ากับพวกหลินสวิน จ้งชิว และเสวียนเฟยหลิงที่อยู่ไกลออกไป ในใจพวกเขาต่างหนักอึ้ง
“ทุกท่าน จะรอดออกไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับศึกนี้แล้ว!”
ถูมู่หุนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แววตาเย็นชา
ตูม!
รูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์หกคนลงมือทันที แต่ไม่ได้ไปจัดการหลินสวิน กลับจ่อปลายหอกไปที่พลังของประทับผนึกเวลา
เห็นชัดว่าพวกเขาต้องการร่วมมือกันทลายกระบวนผนึกนี้เต็มกำลัง!
และในขณะเดียวกัน ถูมู่หุนกับจี้คงต่างนำเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าที่อยู่ใต้อาณัติออกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญ
พวกเขาไม่หวังจะสังหารศัตรู แต่ต้องการซื้อเวลาเพิ่มให้รูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์หกคนนั้นไปทำลายกระบวนผนึกกาลเวลานั่น!
“ศิษย์น้องเล็ก มาดูกันว่าใครฆ่าศัตรูได้เยอะกว่าเป็นอย่างไร อาศัยโอกาสนี้ให้ศิษย์พี่ได้เห็นความสง่างามของยอดอมตะด้วย!”
จ้งชิวยิ้มเอ่ย
เงาร่างเขาทะยานฟ้า ชุดดำปลิวไสว ทั้งร่างมีแสงดุดันหาใดเทียบพลุ่งพล่าน ประหนึ่งกระบี่เทพไร้เทียมทานที่ไม่หวั่นการเผยคมออกมา
ชิ้ง!
กระบี่มรรคสีดำที่มืดมนอับแสงเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือจ้งชิว ยามเผชิญหน้ากับศัตรูที่จู่โจมเข้ามา เขาไม่หลบไม่หนี เข้าประจันหน้าตรงๆ
“ทำไมจะไม่ได้”
ขณะที่หลินสวินพูด เงาร่างสูงโปร่งเหยียบย่างไปในอากาศ
ครืน!
กายมรรคทั้งห้าออกเคลื่อนไหวพร้อมกับร่างต้น กระโจนเข้าไปในหมู่ศัตรู
เสวียนเฟยหลิงเห็นดังนี้ก็เลือกสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ อย่างรู้จังหวะ
พวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนหมายจะเทียบสูงต่ำ เขาจะสอดมือเข้าไปยุ่งไม่ได้
ตูม…
การต่อสู้ปะทุขึ้น ห้วงอากาศปั่นป่วน
จ้งชิวอานุภาพแข็งแกร่งหาใดเทียบ มีท่วงท่าสูงส่งเหนือใต้หล้า โอหังหยิ่งผยองเหนือปวงชนเช่นเดียวกับสมัยที่เขาอยู่ในโลกมืด
มรรควิถียิ่งสูง ใจเขายิ่งผยอง!
เขาที่มีมรรควิถีขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ ทันทีที่เปิดศึกก็พิชิตคู่ต่อสู้ได้คนหนึ่ง กระบี่มรรคกดข่มลงซัดให้ฝ่ายหลังเลือดออกเจ็ดทวาร ทั้งตัวถอยกระเด็นออกไปอย่างจัง
ท่วงท่าอหังการเช่นนั้นทำเอาเสวียนเฟยหลิงยังตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ คนที่หยิ่งผยองที่สุดในคีรีดวงกมลผู้นี้ ไม่อาจเทียบกับคนระดับเดียวกันทั่วไปได้ดังคาด!
ภาพนี้ก็ถูกหลินสวินเห็นเช่นกัน ในใจปรีดาหาใดเทียบ
นึกย้อนไปสมัยอยู่โลกมืด ศิษย์พี่รองที่มีฐานะเป็นเจ้าหอวิหคทองแดงหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่ของโลกมืด ย่อมเป็นผู้ที่ทำให้เขาได้แต่แหงนมองอย่างแน่นอน
ตอนนั้นก็เป็นเพราะมีจ้งชิวปกป้อง ทำให้เขาสลายข้อพิพาทและเคราะห์สังหารได้หลายครั้ง
และตอนนี้ศิษย์พี่รองยังแกร่งกล้าหาใดเทียบ สง่างามยิ่งกว่าเก่า เพียงแต่ตนกลับไม่ใช่ศิษย์น้องเล็กที่ต้องได้รับการปกป้องเช่นตอนนั้นนานแล้ว!
เขาในตอนนี้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับศิษย์พี่รองได้ ด้านพลังปราณก็สูสีกัน!
“ฆ่า!”
หลินสวินองอาจมั่นใจ ไม่ได้ออมมือ ปลดปล่อยมรรควิถีของตนออกมาไม่ยั้ง
ถ้าเปลี่ยนเป็นรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์เหล่านั้นอาจจะยังเปลืองแรงอยู่บ้าง แต่ยามเผชิญหน้ากับคนระดับเดียวกันเหล่านี้ ต่อให้มีคนมากแค่ไหน สำหรับหลินสวินแล้วก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายเท่าไร
ฟุ่บๆๆ!
คู่ต่อสู้คนแล้วคนเล่าล้มลง ซัดให้เกิดดอกไม้โลหิตสีแดงฉาน
เพียงครู่สั้นๆ เท่านั้น ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวินก็มีเจ็ดคนแล้ว
ส่วนฝั่งจ้งชิว เพิ่งปลิดชีพขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์คนหนึ่งกับผู้แข็งแกร่งขั้นหลุดพ้นขั้นปลายไปห้าคน
แบ่งแยกสูงต่ำได้ทันที
อย่างน้อยในความคิดของเสวียนเฟยหลิง แม้พลังต่อสู้ของจ้งชิวจะเรียกได้ว่าตะลึงโลกเช่นกัน แต่เทียบกับศิษย์น้องเล็กของเขาแล้วก็ดูด้อยกว่าเล็กน้อย
จ้งชิวได้เห็นภาพนี้เช่นกัน แม้เขาจะไม่พูดอะไรแต่ในใจกลับยินดีปรีดาหาใดเทียบ
เขาเชื่อฟังคำสั่งอาจารย์ บัญชาการโลกมืดมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด เพียงเพื่อรอหนึ่งบัวที่จะเบ่งบานเหนือหมื่นกาล
ในคีรีดวงกมล ก็มีแต่เขาที่เข้าใจมรรคคาถาบทนั้นดีที่สุด
ยอดหนทางสู่อมตะ แดนปรินิพพาน
เคราะห์จ่อมจมชั่วกัปกัลป์ หนึ่งบัวเบ่งบาน!
ตอนนี้บัวดอกนี้บานสะพรั่งในที่สุด ปลดปล่อยแสงแห่งยอดอมตะ มีชื่อระบือใต้หล้าสะท้านสี่ทิศ!
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคน สภาวะจิตล้วนแตกต่างกัน
แต่ยามสังหารศัตรูกลับไม่มีใครปรานีสักคน ต่อให้มองออกนานแล้วว่าแม้จะสู้สุดตัวก็ก้าวข้ามหลินสวินได้ยาก แต่จ้งชิวไม่ได้รามือเพียงเท่านี้
เขามีสภาวะจิตมหามรรคของตัวเอง เป็นอย่างที่อาจารย์ว่าไว้ ศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้ ระหว่างผู้ร่วมสำนักก็ไม่จำเป็นต้องเอาลำดับมาตัดสินสูงต่ำ
ศิษย์เก่งกาจเหนืออาจารย์ถึงสำคัญที่สุด!
ตูม…
เสียงมรรคสะเทือนเลื่อนลั่น ประกายเลือดสาดกระเซ็น
การต่อสู้ปรากฏรูปการณ์เอนเอียงไปฝั่งเดียว เพียงครู่หนึ่งเท่านั้นฝั่งลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานก็บาดเจ็บล้มตายมากมาย มีขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ล้มลงอย่างต่อเนื่อง!
ถูมู่หุนโจมตีจนตาแดงฉาน ดวงตาแทบหลุดจากเบ้า ตะโกนเสียงดังอย่างเศร้าโศกว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ขอให้มาช่วยด้วย!”
ไกลออกไปรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์หกคนที่กำลังโจมตีประทับผนึกเวลาอยู่ก็จิตใจหนักอึ้ง
พวกเขาจู่โจมเต็มกำลังกลับทำได้เพียงสร้างแรงสะเทือนให้ผนึกกาลเวลานั้น แค่คิดก็รู้ว่าถ้าต้องการทะลวงออกไปย่อมไม่อาจทำได้ในเวลาสั้นๆ
ยามนี้เมื่อได้ยินเสียงร้องเศร้าตรมของถูมู่หุน พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสถานการณ์ร้ายแรงจนไม่อาจเพิ่มไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
“สู้สุดตัว!”
พวกเขาสบตากัน เคลื่อนไหวไปในสนามรบพร้อมกัน
เห็นดังนี้หลินสวินสูดหายใจเฮือกหนึ่ง เงาร่างพลันไหววูบมาตรงหน้าจ้งชิว คว้าไหล่ของเขาไว้ แล้วออกจากฟ้าดินที่ถูกปกคลุมด้วยประทับผนึกเวลาแห่งนี้ไปในชั่วพริบตา
รูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์หกคนนั้นพลันโจมตีได้เพียงห้วงอากาศ
“ศิษย์พี่ ท่านคอยดูก็พอ คู่ต่อสู้พวกนี้ให้ข้าสะสางเอง”
ขณะพูดหลินสวินก็กลืนกินน้ำค้างเทพฟ้าประทานหยดหนึ่ง มรรควิถีที่ใช้ไปมหาศาลก็คืนกลับมาถึงสภาพสมบูรณ์ยิ่งในชั่วพริบตา
“เจ้าจะต้านรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์ได้หรือ”
จ้งชิวอึ้งไป
“ได้”
ที่ตอบกลับมาคือเสวียนเฟยหลิง เขาเคลื่อนตัวมายืนอยู่ข้างๆ จ้งชิว เอ่ยว่า “รอเจ้าได้เห็นฝีมือของศิษย์น้องเจ้าคนนี้ ก็จะรู้ว่าในระดับนี้อะไรเรียกว่าอานุภาพสูงสุด”
จ้งชิวประหลาดใจ พูดว่า “เช่นนั้นข้าจะต้องดูให้ชัดจริงๆ แล้ว”
ระหว่างที่สนทนากัน หลินสวินก็พุ่งเข้าไปใกล้ฟ้าดินที่มีประทับผนึกเวลาปกคลุมแห่งนั้นอีกครั้ง