หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้หลินสวินตื่นจากสมาธิ หัวคิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย
ตั้งแต่ครึ่งปีก่อนเขาหลอมระเบียบนิพพานได้ถึงเก้าส่วน แต่ครึ่งปีต่อมากลับไม่ขยับแม้แต่นิด!
แกนพลังหนึ่งส่วนที่เหลือนั้น ไม่ว่าเขาทุ่มเทหลอมอย่างไรล้วนไม่อาจสั่นคลอนสักเสี้ยว
‘ดูท่าว่านี่จะเป็นคอขวด ใช่ว่าใช้เวลาและความทุ่มเมไปแล้วจะจัดการได้…’
หลินสวินสันนิษฐาน
‘อู๋ซวง’
เขาคิดในใจ เงาร่างของอู๋ซวงปรากฏตัวกะทันหัน “นายท่านมีเรื่องใดสั่งความหรือ”
ตอนนั้นยามพาคนตระกูลลั่วกลับมาจากน่านฟ้าที่หก อู๋ซวงก็ถูกหลินสวินพากลับมาด้วย
“จากมุมมองของเจ้า อานุภาพกฎเกณฑ์อมตะของข้าตอนนี้เป็นอย่างไร”
หลินสวินถาม
อู๋ซวงคือวิญญาณระเบียบมรรคสวรรค์ของโลกต้นกำเนิดในยุคก่อน ผ่านเคราะห์แห่งยุคสมัยจนรอดมาถึงปัจจุบัน มีอานุภาพน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
จากคำพูดของนาง ตอนนางรุ่งเรืองที่สุดอานุภาพที่ครอบครองไม่ด้อยไปกว่าระเบียบระดับเทพ
นัยเร้นลับที่แฝงอยู่ในระเบียบระดับเทพบนโลกล้วนเกี่ยวข้องกับมรรคนิรันดร์ พลังระเบียบที่แฝงอยู่ไม่ต่างอะไรกับพลังกฎระเบียบ
หรือพูดได้ว่ายามอู๋ซวงอยู่ในสภาพยอดเยี่ยม พลังที่ครอบครองล้วนไม่ต่างกับกฎระเบียบมรรคสวรรค์
อู๋ซวงกล่าวเสียงกระจ่างใส “กฎเกณฑ์อมตะของนายท่านไม่ด้อยไปกว่าระเบียบระดับเทพแล้ว กระทั่งแข็งแกร่งกว่าระเบียบระดับเทพ แต่กฎเกณฑ์อมตะของนายท่าน สุดท้ายแล้วก็เป็นพลังกฎเกณฑ์ ไม่ใช่มรรคนิรันดร์ที่แท้จริง”
นางเว้นช่วงไปก่อนกล่าวอย่างใคร่ครวญ “ในความเห็นข้า สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะถูกจำกัดด้วยพลังปราณของนายท่าน หากนายท่านแจ้งมรรคนิรันดร์ กฎเกณฑ์อมตะทั้งตัวนี้ต้องเปลี่ยนเป็นกฎเกณฑ์นิรันดร์ที่น่าเหลือเชื่อแน่ เพราะเดิมทีกฎเกณฑ์นิรันดร์ก็ไม่ต่างกับกฎระเบียบฟ้าดิน”
หลินสวินพยักหน้า “ดูท่าว่าสิ่งที่ข้าสันนิษฐานไว้คงไม่ผิด ต่อให้กฎเกณฑ์อมตะเย้ยฟ้าแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นพลังบนมรรคาอมตะ ถูกจำกัดด้วยระดับมรรควิถีของข้า ย่อมไม่มีทางเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดได้อีก”
เขาเข้าใจกระจ่างแล้ว
แกนพลังหนึ่งส่วนที่เหลืออยู่ของระเบียบนิพพานนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ระดับของเขาในตอนนี้สามารถหลอมได้ แต่ต้องรอเขาแจ้งมรรคนิรันดร์จึงจะมีคุณสมบัติไปหลอมมันได้อย่างสมบูรณ์
“นายท่าน กฎเกณฑ์อมตะของท่านเรียกได้ว่าเป็นสิ่งต้องห้ามแล้ว เทียบกับระเบียบระดับเทพแล้วมีแต่จะเหนือกว่า นี่หมายความว่ามรรควิถีของท่านตอนนี้สามารถต้านทานพลังของกฎระเบียบฟ้าดินได้”
เสียงของอู๋ซวงกังวานเสนาะหู
หลินสวินยิ้มพลางกล่าว “ปากหวานขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่าคิดจะเอาพลังระเบียบจากข้าอีกกระมัง”
ใบหน้าเล็กไร้เดียงสาเหมือนเด็กสาวของอู๋ซวงเผยแววเขินอายพลางกล่าว “นายท่าน ซวงเอ๋อร์ขาดแค่ก้าวเดียวก็ฟื้นคืนสภาพยอดเยี่ยมได้แล้ว…”
ไม่รอให้พูดจบ หลินสวินก็โยนระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าห้าสายออกมา “เอาไปเถอะ”
นัยน์ตางามเป็นประกายของอู๋ซวงพราวระยับ กระโดดโลดเต้นกล่าว “ขอบคุณนายท่าน รู้อยู่แล้วว่านายท่านรักซวงเอ๋อร์ที่สุด”
หลินสวินยิ้มออกมา
แม้รู้ว่าอู๋ซวงไร้ความรู้สึกและสติปัญญา การกระทำและสีหน้าท่าทางตอนนี้ล้วนวิวัฒน์ออกมาจากพลังระเบียบของนาง แต่เหมือนไม่แสร้งทำสักนิด ดูเป็นธรรมชาติและมีจิตวิญญาณนัก
หลินสวินเก็บอู๋ซวงลงไปแล้วจมสู่ห้วงคิด
ตอนนี้บนตัวเขายังมีพลังระเบียบไม่น้อย แต่ระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่หายากเหลือเพียงน้ำเต้าม่วงเขียวคู่หนึ่งแล้ว
นอกจากนี้ยังมีอู๋ซวง เสี่ยวหมิง เสี่ยวเซียน รวมถึงระเบียบระดับเทพปฐมด้วย
ในนั้น ระเบียบปฐมกำราบได้มาจากแดนมารสิบทิศ แฝงด้วยมรรคนิรันดร์แรกเริ่มสุด
จากคำพูดของอู๋ซวง ตอนนั้นระเบียบปฐมเพิ่งก่อเกิด เหมือนเด็กที่เป็นดั่งกระดาษขาว มีศักยภาพแฝงไร้สิ้นสุดให้ขุดค้น
หลายปีมานี้ระเบียบปฐมถูกกฎเกณฑ์นิพพานทั้งตัวหลินสวินหล่อเลี้ยงตลอด มองกฎเกณฑ์นิพพานเป็นผู้ให้กำเนิด หลายปีนี้ยังฟื้นคืนและเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง
แต่สุดท้ายจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร แม้แต่ตัวหลินสวินก็ไม่รู้แน่ชัด
แต่สิ่งที่หลินสวินแน่ใจได้คือพลังของระเบียบนิพพาน สามารถดำเนินการนิพพานและสร้าง ‘ระเบียบระดับเทพ’ ขึ้นใหม่ได้!
เหมือนตอนนี้ที่ระเบียบระดับเทพปฐมถูกหล่อเลี้ยงในกฎเกณฑ์อมตะของหลินสวินตลอดเวลา
เมื่อหลินสวินแจ้งมรรคนิรันดร์ก็จะหลอมมันได้ ควบรวมเป็นกฎเกณฑ์นิรันดร์ของตน
แน่นอนว่าเก็บระเบียบระดับเทพนี้ไว้ได้ด้วย ถ้าเป็นเช่นนี้ภายหน้าย่อมสามารถสร้างขุมอำนาจที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์แห่งหนึ่งขึ้นมาได้
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงตื่นจากห้วงความคิด
‘ควรเดินทางกลับทางเดินโบราณฟ้าดาราแล้ว…’
เขาหยัดร่างขึ้นและออกจากถ้ำสถิตไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
หลินสวินมาพบหัวหน้าหอแรกนภาเสวียนเฟยหลิงกับหัวหน้าหอแรกมายาตู๋กูยงที่เรือนมรรคกลาง พูดถึงเรื่องที่ตนตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางเดินโบราณฟ้าดารากับทั้งสองคน
ทั้งสองต่างพยักหน้ารับคำ
สำหรับหลินสวินในตอนนี้ นอกเสียจากว่าร่างต้นระดับนิรันดร์ลงมือ มิฉะนั้นบนโลกนี้ก็แทบไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขา
ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่อย่างทางเดินโบราณฟ้าดารา เป็นแค่เพียงดินแดนแห่งหนึ่งในโลกพันจักรวาล ทั้งตกต่ำมานานแล้ว ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้แทบจะถูกโลกยอดนิรันดร์ลืมเลือน
สถานที่เช่นนี้ไหนเลยจะมีคู่ต่อสู้ที่เป็นภัยคุกคามต่อหลินสวินปรากฏตัว
“แม้ทางเดินโบราณฟ้าดาราจะตกต่ำมานาน แต่กลับมีแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในจตุโบราณสถาน สถานที่ซึ่งเชื่อมต่อกับแหล่งสถานคุนหลุน กล่าวได้ว่าสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย”
เสวียนเฟยหลิงมาจากตระกูลเสวียน ย่อมรู้สถานการณ์ของทางเดินโบราณฟ้าดาราอย่างดี “สิ่งที่น่าเสียดายคือแม้ว่าแหล่งสถานคุนหลุนจะมีวาสนาและศุภโชคเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ถูกชิงไปนานแล้ว ตอนนี้จึงกลายเป็นสถานที่แก่งแย่งแห่งหนึ่งยามยุคสมัยผันเปลี่ยน มีเพียงเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับนิรันดร์ที่มีคุณสมบัติฟันฝ่าอยู่ในนั้น อันตรายเกินไป”
“แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นสถานที่ซึ่งสำนักคีรีดวงกมลของพวกเจ้าตั้งอยู่ เรียกว่าเป็นแดนต้นกำเนิดมหามรรคของทั่วหล้าหมื่นพิภพ หากย้อนทวนต้นกำเนิด โลกยอดนิรันดร์นี้ก็มีความสัมพันธ์บางอย่างกับแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน”
“แต่เมื่อนานมาแล้วพลังต้นกำเนิดของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หมดกำลัง ไม่อย่างนั้นคีรีดวงกมลของพวกเจ้าคงไม่มีทางถูกศัตรูเหยียบย่ำโดยง่าย”
หลินสวินได้ยินถึงตรงนี้แล้วนึกถึง ‘ซากคีรีดวงกมล’ ที่เคยเห็นในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เมื่อตอนนั้น เขาพลันทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่
“ผู้อาวุโสรู้เรื่องตอนนั้นด้วยหรือ”
หลินสวินกล่าว
เสวียนเฟยหลิงกล่าว “แน่นอน ทว่าความพินาศย่อยยับตรงประตูทางเข้าคีรีดวงกมลของพวกเจ้าไม่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของศัตรู แต่เป็นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลสังเกตเห็นว่าพลังต้นกำเนิดของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์อ่อนกำลังตั้งแต่ช่วงต้นดึกดำบรรพ์ จึงได้ย้ายสำนักไปอยู่แหล่งสถานคุนหลุนก่อนแล้ว”
“มิน่าเล่า”
หลินสวินพยักหน้า เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่ากำลังพลที่ทำให้ประตูทางเข้าคีรีดวงกมลพินาศย่อยยับนั้น มาจากหกเรือนมรรคใหญ่แห่งทางเดินโบราณฟ้าดารา
แต่ตอนนี้ดูท่าว่าประตูคีรีดวงกมลที่ถูกพวกเขาเหยียบย่ำเมื่อปีนั้นคงเป็นแค่เปลือกแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้
“จริงสิ หากเจ้าจากไปครั้งนี้ ช่วยพาลื่อคนนั้นของข้าไปด้วย”
เสวียนเฟยหลิงพลันกล่าว
หลินสวินกล่าว “ผู้อาวุโสก็คิดพาคนตระกูลตนมาแดนแรกเริ่มหรือ”
เสวียนเฟยหลิงพยักหน้ายิ้มกล่าว “ไม่ผิด เดิมข้าคิดรออีกสองสามปีค่อยไปเยือนทางเดินโบราณฟ้าดารา แต่หากมีเจ้าไปแทน ข้าคงไม่ต้องเสียเวลาไปกลับ”
หลินสวินรับคำอย่างยินดี
หลังจากบอกลาเสวียนเฟยหลิงกับตู๋กูยง เขาก็ไปหาเสวียนจิ่วอิ้นกับจินเทียนเสวียนเยวี่ย
หอแรกนภา เรือนเมฆาคลั่ง
เมื่อเห็นหลินสวิน เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มระรื่นกล่าว “ข้าก็ว่าอยู่ว่าเป็นใคร ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าหลินหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า”
หลินสวินใช้มือข้างหนึ่งตบบ่าเขา “เจอหัวหน้าหอทำไมไม่คารวะ”
เสวียนจิ่วอิ้นเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน รีบร้องขอความเมตตาไม่หยุด
หลินสวินยิ้มอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า “เตรียมตัวกลับไปทางเดินโบราณฟ้าดาราพร้อมข้า”
“ข้าไปด้วย”
ห่างไปไม่ไกลจินเทียนเสวียนเยวี่ยอดกล่าวไม่ได้
“แน่นอนว่าไม่มีทางทิ้งเจ้าไว้โดยไม่สนใจ”
หลินสวินยิ้มพลางมองจินเทียนเสวียนเยวี่ย
อาภรณ์ขาวของนางพลิ้วไหว เอวคาดเข็มขัดทอง งามผุดผ่องดั่งภาพวาด บุคลิกเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง งดงามขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้นางเหมือนกับเสวียนจิ่วอิ้น ล้วนก้าวสู่มรรคาอมตะอย่างราบรื่นตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนแล้ว ปัจจุบันต่างมีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้า
เปรียบเทียบกับหลินสวินแล้ว การเลื่อนขั้นไม่อาจพูดได้ว่าเร็วมากนัก
แต่เทียบกับคนอื่นแล้วเรียกได้ว่ามีพัฒนาการรวดเร็ว
ไม่นานหลินสวินก็พาเสวียนจิ่วอิ้นและจินเทียนเสวียนเยวี่ยกลับมาถ้ำสถิตพร้อมกัน
“ซย่าจื้อ พวกเราควรออกเดินทางแล้ว”
ซย่าจื้อกำลังแทะเมล็ดแตง ได้ยินดังนั้นแล้วขานรับว่าอืมก่อนลุกขึ้นกล่าว “ไปเถอะ”
ไม่เคยมีความลังเลหรือใคร่ครวญใดๆ เป็นธรรมชาติจนเหมือนแค่ออกไปเดินเล่นรอบหนึ่ง
หลินสวินทิ้งกายมรรคทั้งห้าไว้ให้คอยดูแลลัทธิแรกกำเนิดและจัดการทุกเรื่องในสำนักได้ตลอดเวลา
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งยังถูกหลินสวินทิ้งไว้ด้วย มีกายมรรคเพลิงแดง กายมรรคไม้เขียว กายมรรคทองขาวช่วยหลอมด้วยกัน
เจตวัตถุและวัตถุดิบเทพที่ชิงมาจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะเหล่านั้น สามารถยกระดับอานุภาพของเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งได้อีกช่วงใหญ่
สรุปคือตอนนี้ไม่ว่าหลินสวินทำเรื่องใด เวลาที่ถูกใช้ไปล้วนไม่สิ้นเปลืองแม้แต่น้อย
วันนั้นหลินสวิน ซย่าจื้อ เสวียนจิ่วอิ้น จินเทียนเสวียนเยวี่ยออกจากแดนแรกเริ่มไปพร้อมกัน
…
ฟุ่บ!
ในเขตแดนฟ้าดารานอกเวิ้งฟ้า ยานน้อยลำหนึ่งนำพวกหลินสวินเดินทางไปด้วยความเร็วว่องไว แสงวาบเดียวก็ข้ามผ่านฟ้าดาราแห่งหนึ่งราวแล่นผ่านห้วงมิติ ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนดาวเคลื่อนดาราคล้อย
เพียงไม่กี่ชั่วยาม
ประตูสีทองมหึมากว้างพันจั้งบานหนึ่งปรากฏในครรลองสายตา ราวกับสะพานรุ้งสีทองสายหนึ่งพาดขวางกลางอากาศ
นี่คือหนึ่งในประตูซึ่งเชื่อมต่อจาก ‘เมืองจรดฟ้า’ ด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้าของแดนใหญ่พันศึกมายังโลกยอดนิรันดร์
เมื่อหลินสวินขับเคลื่อนยานมาถึงก็ผ่านบานประตูสีทองนี้อย่างราบรื่น ทัศนวิสัยพลันแปรเปลี่ยน มาถึงในเมืองจรดฟ้าทันที
เมืองจรดฟ้า!
ในฐานะที่เป็นด่านสุดท้ายของแดนใหญ่พันศึก เมืองจรดฟ้าเป็นศูนย์กลางสำคัญในการเชื่อมต่อกับโลกยอดนิรันดร์
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมามีขุมอำนาจจากโลกยอดนิรันดร์มากมายตั้งถิ่นฐานที่เมืองนี้ เปิดกิจการสารพัดเพื่อรับซื้อสมบัตินานัปการที่หาได้แค่ในแดนใหญ่พันศึก
เช่นสมบัติอย่างมุกยมโลกและมุกบรรจุมรรค หากอยู่ในโลกยอดนิรันดร์ก็เป็นทรัพยากรในการฝึกปราณที่ขายดีอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ยังมีเผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายลงหลักปักฐาน ควบคุมดูแลอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ เป้าหมายคือเพื่อเชิญชวนอัจฉริยบุคคลให้ได้เร็วที่สุด!
ต้องรู้ว่าขอแค่เป็นผู้เข้าสู่แดนใหญ่พันศึก ทั้งผ่านการเข่นฆ่าและนองเลือดนับไม่ถ้วนจนมาถึงด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้านี้ได้ ย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งระดับในหมื่นคนยังหาไม่ได้ทั้งสิ้น
ปีนั้นหลินสวินก็เคยบุกฝ่าจากด่านนภาอมตะด่านแรก มาถึงเมืองจรดฟ้าด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้านี้ตลอดทาง
ตอนนั้นเขาเป็นระดับมกุฎจักรพรรดิ
แต่ตอนนี้เมื่อมาอีกครั้ง เขาเป็นระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์แล้ว!
เมื่อมาถึงเมืองนี้ในใจหลินสวินอดนึกถึงความทรงจำมากมายในปีนั้นไม่ได้ เขาเก็บยานน้อยลงไปพลางกล่าว “ทุกคน เดินเล่นในเมืองนี้เป็นเพื่อนข้าหน่อยเป็นอย่างไร”