ตอนที่ 2976 เจ็ดขุมอำนาจใหญ่ของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 2976 เจ็ดขุมอำนาจใหญ่ของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์

ในบรรยากาศเงียบสงัด จินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่สนใจทุกสายตาที่มองมาโดยรอบ นางเอ่ยเสียงเบา “คุณชาย ควรจัดการคนผู้นี้อย่างไรดี”

หลินสวินกล่าว “แน่นอนว่ามอบหมายให้เจ้าจัดการ วางใจเถอะ เรือนกระบี่ต้าเหิงไม่คู่ควรให้พูดถึง ไม่ต้องห่วงว่าจะก่อความวุ่นวายอะไรให้ข้า”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยพยักหน้าน้อยๆ

วู้ม!

กระบี่มรรคที่จ่อร่างฟางเซียวอวิ๋นพลันสั่นสะเทือนรุนแรง เจตกระบี่ที่แผ่ออกมาซัดร่างของฟางเซียวอวิ๋นจนแหลกทั้งเป็น พลังจิตดับสลาย

ระดับอมตะคนหนึ่งตายต่อหน้า เหตุการณ์นองเลือดนั้นกระตุ้นจนเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลจินเทียนในที่นั้นตัวแข็งทื่อ

ตึง! ตึง!

พวกจินเทียนอู่หงที่รู้ว่าท่าไม่ดีล้วนคุกเข่าลงกับพื้น อ้อนวอนขอชีวิต

“เสวียนเยวี่ย พวกเราคิดแทนคนในตระกูลทั้งบนล่าง ไม่มีทางยอมจำนนต่อเรือนกระบี่ต้าเหิงจริงๆ พวกเรารู้ตัวว่ามีโทษ ไม่ร้องขอให้เจ้ายกโทษ แต่เจ้าโปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย”

“ใช่แล้ว เสวียนเยวี่ยเจ้ายังจำได้ไหม ข้าเป็นคนชุบเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่ ตอนเด็กยังเคยสอนเจ้าฝึกวิชามรรคด้วย”

เสียงอ้อนวอนมากมายดังขึ้น

หลินสวินเห็นภาพนี้แล้วส่ายหัว หันหลังเดินออกไปจากโถงใหญ่ “เสวียนเยวี่ย เจ้าจัดการเองเถอะ”

จากนั้นซย่าจื้อกับเสวียนจิ่วอิ้นก็เดินออกไปจากโถงใหญ่เช่นกัน

“แม่นางเสวียนเยวี่ยน่าสงสารจริงๆ ต้องมาเจอคนร่วมตระกูลเช่นนี้” เสวียนจิ่วอิ้นถอนใจเบาๆ

ในใจหลินสวินรู้สึกทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้เช่นกัน

ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แค่พูดถึงตัวเขาเองก็เคยผ่านเรื่องแบบเดียวกันมาไม่น้อย

เช่นตอนเยาว์วัยยามเข้าสู่นครต้องห้ามครั้งแรก ยามเขาไปจัดการเรื่องราวภายในตระกูลหลิน

หรืออย่างตอนมุ่งหน้าไปโลกยอดนิรันดร์ สะสางความแค้นในตระกูลลั่ว

แม้แต่ในลัทธิแรกกำเนิดเมื่อปีนั้นก็มีภัยแฝงและปัญหาภายในดำรงอยู่

ในโลกหล้าเรื่องราวเช่นนี้ล้วนเห็นบ่อยจนชินตา

ผ่านไปครึ่งเค่อ จินเทียนเสวียนเยวี่ยเดินออกมาจากโถงใหญ่

“จัดการแล้วหรือ”

เสวียนจิ่วอิ้นอดถามไม่ได้

จินเทียนเสวียนเยวี่ยขานรับว่าอืม มองหลินสวินพลางกล่าว “คุณชาย พวกท่านพ่อบอกว่าอยากขอโทษท่านด้วยตัวเอง แต่ห่วงว่า… ห่วงว่าท่านจะโกรธ ไม่ยอมยกโทษเรื่องเมื่อปีนั้น”

หลินสวินยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องทำเช่นนั้น ข้าไม่มีอคติอะไรกับพวกเขา ขอแค่เจ้าคิดว่าอภัยได้ก็พอแล้ว”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยพยักหน้าพลางกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”

หลินสวินกล่าวเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องคิดมากเกินไป ข้าไม่สนใจเรื่องที่พวกเขาทำเมื่อปีนั้นสักนิด แค่ในใจรู้สึกละอายต่อเจ้ามาตลอด หากเจ้าไม่วางใจเรื่องคนในตระกูลเหล่านี้ รอครั้งนี้ยามข้ากลับไปโลกยอดนิรันดร์ก็พาพวกเขาจากไปด้วยกันได้”

เมื่อปีนั้นจินเทียนเสวียนเยวี่ยเลือกตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเพื่อเขาหลินสวินอย่างเด็ดเดี่ยว ตั้งแต่นั้นมานางก็ติดตามอยู่ข้างกายตนเสมอ ตลอดทางผ่านพายุฝนนองเลือด ไม่เคยกล่าวแค้นเคืองใดๆ ทั้งไม่เคยร้องขออะไรจากตนมาก่อน

นี่จะไม่ให้หลินสวินซาบซึ้งใจได้อย่างไร

ถึงขั้นรู้สึกละอายใจต่อนางอยู่บ่อยครั้ง

เคยเฆี่ยนม้าดีด้วยมึนเมา หวั่นเพียงความรู้สึกทำร้ายหญิงงาม!

“จริงหรือ”

นัยน์ตาจินเทียนเสวียนเยวี่ยเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ

ก่อนหน้านี้นางไม่กล้าร้องขอเรื่องนี้ กลัวว่าในใจหลินสวินจะต่อต้าน แต่ไม่คิดเลยว่าหลินสวินกลับเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาก่อน

หลินสวินยิ้มพลางตบบ่าของนางแล้วกล่าว “เสวียนเยวี่ย ภายหน้าไม่ต้องคาดเดาความคิดของข้าอย่างระมัดระวังเช่นนี้ เจ้าอยากทำอะไร ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ย่อมช่วยเจ้าทั้งสิ้น”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยพยักหน้า ใบหน้างามผุดผ่องเผยรอยยิ้มชวนหลงใหลจากก้นบึ้งหัวใจ กล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

เสวียนจิ่วอิ้นที่อยู่ด้านข้างกระวนกระวายใจ เจ้าเข้าใจอะไร กล้าพูดสิ่งที่เจ้าต้องการที่สุดออกมาต่อหน้าหลินสวินตอนนี้ไหมเล่า

น่าเสียดาย จินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่ได้ทำเช่นนั้น

ราวกับการที่หลินสวินรับปากว่าจะพาคนตระกูลจินเทียนพวกนั้นจากไปด้วย ทำให้นางรู้สึกยินดีและพอใจหาใดเปรียบแล้ว

เพียงหนึ่งชั่วยามคนทั้งตระกูลจินเทียนถูกเรียกมารวมตัว จัดเตรียมให้อยู่ในสมบัติที่จินเทียนเสวียนเยวี่ยพกติดตัว

สมบัติระดับศาสตรามรรคอมตะรองรับโลกใบเล็กแห่งหนึ่งได้ การพาคนทั้งตระกูลจินเทียนจากไปย่อมมากเกินพอเป็นธรรมดา

แน่นอนว่าสิ่งที่ตระกูลจินเทียนต้องจ่ายให้เรื่องนี้ ก็คือกิจการและอาณาเขตของตระกูลทั้งหมดในเขตแดนดาราจักรพรรดิขาว

แต่ขอเพียงมุ่งหน้าไปโลกยอดนิรันดร์ได้ สำหรับพวกเขาล้วนเรียกว่าเป็นมหาศุภโชคที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของตระกูลแล้ว

ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ เหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลจินเทียนอย่างจินเทียนอู่หงล้วนถูกฆ่าตายด้วยโทษทรยศตระกูล

เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น พวกหลินสวินก็เดินทางต่อโดยไม่รอช้าอีก

ทะเลกลืนวิญญาณ

ฟ้าสูงเมฆแผ่กว้าง คลื่นใหญ่สุดลูกหูลูกตา

วู้ม…

คลื่นอากาศระลอกหนึ่งสั่นสะเทือน เงาร่างของพวกหลินสวินปรากฏตัวกลางอากาศ

นี่เป็นครั้งที่สามซึ่งหลินสวินเหยียบที่นี่หลังจากผ่านมาหลายปี

“ล้วนเปลี่ยนไปแล้ว…”

หลินสวินรู้สึกได้แทบจะทันที พลังกฎระเบียบฟ้าดินที่พลุ่งพล่านหาใดเปรียบปกคลุมกลางอากาศ แผ่คลื่นพลังชีวิตเก่าแก่ดั้งเดิมชวนตะลึงออกมา

จำได้ว่าครั้งก่อนยามกลับมา เขาต้องกดมรรควิถีทั้งตัวจนอยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิสัมบูรณ์ถึงได้อยู่ใต้กฎระเบียบฟ้าดินของที่นี่ได้

สาเหตุอยู่ที่กฎระเบียบฟ้าดินบนทะเลกลืนวิญญาณแบกรับพลังที่เหนือกว่าระดับจักรพรรดิไม่อยู่ มิฉะนั้นจะนำมาซึ่งความปั่นป่วน

แต่ตอนนี้มรรควิถีระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ของหลินสวิน กลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันและความอึดอัดใดแม้เพียงเสี้ยว

ไม่ต้องสงสัยว่ากฎระเบียบฟ้าดินของทะเลกลืนวิญญาณตอนนี้รองรับพลังสูงสุดของระดับอมตะได้แล้ว

น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!

“ผ่านไปแค่สิบปีเท่านั้น ความเข้มข้นของกลิ่นอายมหามรรคที่อบอวลที่นี่ใกล้จะตามน่านฟ้าที่หกของโลกยอดนิรันดร์ทันแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ…”

หลินสวินสูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้

เพิ่งมาถึงพื้นที่รอบนอกของทางเดินโบราณฟ้าดารา การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบฟ้าดินก็เรียกได้ว่าชวนตะลึงแล้ว

กระทั่งมาถึงทะเลกลืนวิญญาณที่ตั้งอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ กฎระเบียบฟ้าดินจึงแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ทำให้หลินสวินหลงคิดไปว่าเข้ามาในโลกยอดนิรันดร์

“น่าเหลือเชื่อเกินไปจริงๆ”

เสวียนจิ่วอิ้นกับจินเทียนเสวียนเยวี่ยอดไหวหวั่นไม่ได้

มีเพียงซย่าจื้อที่นิ่งสงบดังเดิม ไม่สนใจทุกอย่างนี้โดยสิ้นเชิง

“ในสถานที่เช่นนี้มรรควิถีของผู้ฝึกปราณต้องมีพัฒนาการรวดเร็วแน่ กลางฟ้าดินก็ง่ายต่อการให้กำเนิดชีพจรปราณวิญญาณ เจตวัตถุ โอสถเทพที่ยากพบเห็น… อย่ามองว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาแค่สิบปี สำหรับผู้ฝึกปราณบางคนที่ติดอยู่ในระดับของตน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ย่อมรุดหน้าบนมรรคา เลื่อนขั้นอย่างต่อเนื่องแน่”

หลินสวินกล่าว “ก็ไม่รู้ว่าในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนเป็นเช่นไรแล้ว…”

“พี่หลิน ตั้งแต่เมื่อเจ็ดสิบปีก่อนพวกเจ้าตระกูลหลินทั้งหมดล้วนเข้าไปในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ก่อนแล้ว ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแดนลับดวงกมลนั่น เมื่อการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึงของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏ ผู้ที่ได้รับประโยชน์ก่อนต้องเป็นพวกเจ้าตระกูลหลินแน่”

เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มเอ่ย “อีกอย่างเจ้าจากมาร้อยกว่าปีแล้ว เกรงว่าศักยภาพของตระกูลหลินคงเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินแล้ว แม้ถูกขุมอำนาจต่างถิ่นมากมายรุกรานก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรแน่”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”

หลินสวินพูดพลางก้าวไปข้างหน้า

เขารู้จักทะเลกลืนวิญญาณเป็นอย่างดี ทั้งรู้ชัดถึงตำแหน่งที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่

เพิ่งเดินไปข้างหน้าไม่นาน ในจิตรับรู้ของหลินสวินก็จับกลิ่นอายของผู้ฝึกปราณได้มากมาย กระจายกันอยู่ในพื้นที่ต่างๆ

เห็นชัดว่าผู้ฝึกปราณเหล่านี้มาจากขุมอำนาจต่างๆ ยึดครองเกาะมากมายในอาณาเขตทะเล คล้ายตั้งท่าว่าจะอยู่ยาว

เกาะพวกนั้นล้วนวางกระบวนผนึกไว้ ถูกสร้างจนเหมือนถ้ำสวรรค์แดนมงคลมากมาย

‘การเปลี่ยนแปลงของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทะเลกลืนวิญญาณเป็นสถานที่ที่ได้รับประโยชน์ก่อน หากเบิกทางสร้างถ้ำสถิตลงหลักปักฐานที่นี่ย่อมมีประโยชน์ไม่อาจประเมินจริงดังว่า’

หลินสวินครุ่นคิด

ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้ตำแหน่งของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ กลิ่นอายของผู้ฝึกปราณที่สัมผัสได้ตลอดทางก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

เห็นชัดว่ามีเพียงขุมอำนาจทรงพลัง พลังปราณลึกล้ำ ที่ครองตำแหน่งใกล้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้

ตูม!

คลื่นการต่อสู้ระลอกหนึ่งพลันดังขึ้นแต่ไกล

หลินสวินเงยหน้ามองออกไป นั่นคือผู้ฝึกปราณสองขุมอำนาจห้ำหั่นกัน ดูจากสถานการณ์คงสู้กันเพื่อแย่งสิทธิ์ครองเกาะแห่งหนึ่งบนน่านน้ำแถบนั้น

ในการต่อสู้ทั้งสองฝ่ายฆ่ากันจนย้อมน้ำทะเลเป็นสีแดง น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งมีผู้ฝึกปราณไม่น้อยคอยสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ท่าทางเหมือนเคยชินกับเรื่องพวกนี้

“เกรงว่าน่านน้ำแถบนี้คงถูกจัดเป็นอาณาเขตของ ‘หอกระบี่เมฆวารี’ แห่งโลกนิลถ้ำคูหาแล้ว”

“นี่เป็นศึกชิงอำนาจครั้งที่สี่สิบเก้าในช่วงเดือนนี้แล้วกระมัง”

“จะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า เมื่อข่าวการเปลี่ยนแปลงของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แพร่สะพัด ขุมอำนาจชั้นยอดทุกฟ้าดาราในโลกพันจักรวาลนี้ล้วนถูกดึงดูดมา”

“คอยดูเถอะ เมื่อเวลาล่วงเลยน่านน้ำใกล้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ต้องผ่านการล้างไพ่รอบแล้วรอบเล่าแน่ ตอนนี้อย่ามองว่าขุมอำนาจพวกนั้นครองเกาะแห่งหนึ่งได้ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ก็อาจถูกคนช่วงชิงไป”

พวกหลินสวินได้ยินเสียงวิจารณ์พวกนี้แล้วสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ต่างออกไป

ทะเลกลืนวิญญาณนี้เหมือนกลายเป็นเนื้อชิ้นโตที่ทุกขุมอำนาจห้ำหั่นแย่งชิง ไม่ว่าใครล้วนอยากครองพื้นที่เป็นราชัน ครอบครองน่านน้ำฟากหนึ่ง การต่อสู้และเข่นฆ่าเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน

สถานการณ์นองเลือดโกลาหลเช่นนี้ทำให้ในใจหลินสวินห่วงเหล่าญาติมิตรตระกูลหลินยิ่งกว่าเดิม

“พี่ชาย ขอถามเจ้าหน่อย”

เสวียนจิ่วอิ้นจับตัวชายคนหนึ่งที่กำลังชมดูเรื่องสนุกมาเอ่ยถาม

ชายคนนี้สวมชุดเงิน เป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเช่นกัน ถือเป็นบุคคลชั้นยอดที่อยู่ต่ำกว่าระดับอมตะ เมื่อถูกเสวียนจิ่วอิ้นจับตัว นอกจากทำให้เขาตกใจแล้วยังอดโมโหไม่ได้

แต่เมื่อสบตากับเสวียนจิ่วอิ้น เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว หน้าเปลี่ยนสีทันที กล่าวอย่างถ่อมตนและกระวนกระวาย “ขอถามผู้อาวุโสว่าอยากรู้เรื่องใด”

“ตอนนี้สถานการณ์ของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร”

เสวียนจิ่วอิ้นถามตามตรง

ชายชุดเงินรีบร้อนกล่าว “เรียนผู้อาวุโส ทางเข้าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ยังคงถูกเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ยึดครองและปิดผนึก ถึงตอนนี้ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทะลวงแนวป้องกันของเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ได้ กลับเป็นว่าถูกฆ่าจนราบคาบ กระทั่งช่วงนี้ไม่มีใครกล้ามุ่งหน้าไปแล้ว”

“เจ็ดขุมอำนาจใหญ่? เจ็ดขุมอำนาจไหน”

เสวียนจิ่วอิ้นเลิกคิ้ว

ชายชุดเงินกำลังจะตอบก็ถูกหลินสวินที่อยู่ด้านข้างตัดบท “เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ข้าขอถามเจ้า หลายปีนี้มีคนบุกเข้าไปในแดนลับดวงกมลของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือไม่”

ชายชุดเงินนัยน์ตาหดรัด กล่าวตกตะลึง “พวกท่านหมายถึงอาณาเขตของสำนักยุทธ์ก่อเกิดหรือ”

หลินสวินกับเสวียนจิ่วอิ้นสบตากันปราดหนึ่ง พยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ผิด”

ชายชุดเงินกล่าว “สำนักยุทธ์ก่อเกิดเป็นกระดูกที่ยากจะกัด ตั้งแต่หลายปีก่อนเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ก็เคยร่วมมือกันบุกเข้าไปหลายครั้ง แต่ล้วนถูกขวางอยู่นอกแดนลับดวงกมล ได้ยินว่าที่นั่นเป็นอาณาเขตเก่าของสำนักคีรีดวงกมล ยากยึดครองเป็นอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้เจ็ดขุมอำนาจใหญ่ก็ได้แต่มองตาปริบๆ…”

เมื่อแน่ใจว่าแดนลับดวงกมลไม่ถูกทะลวง หลินสวินก็ไม่มีอารมณ์ฟังคำพูดหลังจากนั้นต่อแล้ว ความกังวลในใจเขาสลายไปไม่น้อย

เวลานี้เขาเพิ่งรู้สึกผ่อนคลายเหมือนยกภูเขาออกจากอก

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท