จ้าวจิ่งเซวียนและซย่าจื้อจากไปด้วยกัน
มีซย่าจื้ออยู่ หลินสวินก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไร
ถึงอย่างไรด้วยพลังต่อสู้ของซย่าจื้อในตอนนี้ สามารถสังหารขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ได้แล้ว ทั้งยังครอบครอง ‘พิบัติโลกีย์’ วิชาต้องห้ามที่เกี่ยวข้องกับมรรคโชคชะตา’
ในโลกพันจักรวาลนี้ไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของซย่าจื้อได้
“ท่านพ่อ”
เพิ่งส่งจ้าวจิ่งเซวียนกับซย่าจื้อจากไป หลินฝานก็มาหาอย่างเร่งรีบ
“มีอะไร เจ้าสามารถไร้ศัตรูในระดับนี้ได้อย่างแท้จริงแล้วหรือ”
หลินสวินยิ้มถาม
ในหลายวันมานี้หลินฝานต่อสู้กับระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิของเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ตามที่หลินสวินสั่งมาโดยตลอด ใช้สิ่งนี้เคี่ยวกรำตนเอง และมีพัฒนาการขึ้นมาก
“ใกล้แล้ว”
หลินฝานยิ้มพูด “ข้ามาหาท่านพ่อคราวนี้ไม่ได้มาเพื่อให้ท่านทดสอบมรรควิถีของข้า แต่มีเรื่องหนึ่งจะคุยกับท่านพ่อ”
บุคลิกของเขาสุขุม โดดเด่นสง่างาม แม้ตอนที่คุยกับหลินสวินก็ยังมีความผ่าเผยเยือกเย็นเป็นเอกลักษณ์
หลินสวินกล่าว “เรื่องอะไร”
“ท่านพ่อมากับข้า”
ว่าพลางเขาก็ทะยานไปทางซากคีรีดวงกมล
ระหว่างทางพลันมีเงาร่างหนึ่งโฉบพุ่งมาจากไกลๆ คนยังมาไม่ถึง เสียงนุ่มนวลอ่อนหวานก็ดังมาแล้ว “พี่ฝาน ในที่สุดข้าก็เจอท่านแล้ว”
มาหาหลินฝาน
ทันทีที่เห็น หลินสวินก็จำได้ทันทีว่านี่คือสือหลินหลางลูกสาวของสืออวี่ สาวงามที่งดงามเย้ายวนคนหนึ่ง
“เอ้อ มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ” หลินฝานชะงักเท้า
สือหลินหลางกลับไม่ตอบ ทักทายหลินสวินพร้อมยิ้มหวาน “ท่านอาหลิน”
หลินสวินเหลือบมองนางกับหลินฝานแวบหนึ่ง ในใจเดาอะไรออกรางๆ อดยิ้มพูดไม่ได้ “พวกเจ้าคุยกันไป ข้าออกไปก่อน”
ว่าพลางก็ไพล่หลังเดินออกไป
‘ก็ถูก อายุของฝานเอ๋อร์ควรแก่การหาคู่บำเพ็ญนานแล้ว’ หลินสวินลอบกล่าวในใจ
สือหลินหลางเป็นลูกสาวของสืออวี่ ส่วนเขากับสืออวี่ก็เป็นสหายรักที่คบหากันมาตั้งแต่เด็ก หากหลินฝานสามารถสานสัมพันธ์กับสือหลินหลางได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีมาก
แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ยังต้องดูว่าหลินฝานและสือหลินหลางใจตรงกันหรือไม่
ไม่นานหลินฝานก็มาแล้ว ยิ้มกล่าว “ท่านพ่อ พวกเราไปกันเถอะ”
หลินสวินมองเงาร่างที่จากไปของสือหลินหลางไกลๆ แวบหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ถาม เรื่องแบบนี้ให้หลินฝานตัดสินใจเองก็พอ
ซากคีรีดวงกมล
ภายใต้การนำทางของหลินฝาน ไม่นานก็มาถึงส่วนลึกของถ้ำสถิตแห่งหนึ่ง
เห็นชัดว่าที่นี่รกร้างมานานแล้ว แต่ตอนนี้คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายมหามรรคน่าตกใจ ทั้งยังมีเสียงมรรคดังมาเป็นระลอก
“ที่นี่เพิ่งปรากฏช่วงนี้หรือ” หลินสวินถาม
หลินฝานกล่าว “เพิ่งปรากฏเมื่อวาน คงจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ข้าเข้าไปสำรวจภายในแล้ว รู้ว่าถ้ำสถิตแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าแห่งคีรีดวงกมล”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด เร่งฝีเท้าทันที
ไม่นานก็มาถึงปลายสุดของถ้ำสถิต ที่นี่คือฟ้าดินที่กว้างขวางผืนหนึ่ง มีเพียงเบาะรองนั่งเบาะหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
สายตาของหลินสวินหยุดอยู่บนเบาะรองนั่งในทันที
“ท่านพ่อ เบาะรองนั่งนี้มหัศจรรย์มาก ด้วยมรรควิถีของข้าในตอนนี้ถึงกับไม่สามารถเข้าใกล้และแตะต้องได้ แม้แต่จิตรับรู้ยังไม่สามารถสัมผัสได้”
หลินฝานพูด
จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ออกไป พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แตกต่าง บนเบาะรองนั่งนั่นปรากฏพลังผนึกที่คลุมเครือสายหนึ่ง ด้วยมรรควิถีในตอนนี้ของเขายังยากจะเข้าใกล้เช่นกัน
แต่พลังผนึกนั่นกลับให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งยวดกับหลินสวิน เขาเกิดความคิดหนึ่ง พลันโคจรพลังของวิชาอริยะยุทธ์ไปทางเบาะรองนั่ง
ฮูม…
เบาะรองนั่งเปล่งแสงขึ้นมาโดยพลัน ปลดปล่อยละอองแสงมหามรรคที่งดงามออกมา
ขณะเดียวกันในใจหลินสวินเกิดความเข้าใจระลอกแล้วระลอกเล่า
ที่แท้ถ้ำสถิตใต้ดินนี้เป็นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเปิดด้วยตัวเอง ตอนนั้นศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อก็ถูกกำราบอยู่ที่นี่
อีกทั้งเจ้าแห่งคีรีดวงกมลยังทิ้งประทับเก้ามรดกพิทักษ์สำนักคีรีดวงกมลไว้ในเบาะรองนั่งนี้ แน่นอนว่าเป็นการทิ้งไว้ให้ศิษย์พี่สี่
น่าเสียดาย ตอนนั้นศิษย์พี่สี่มีความชิงชังในใจ ไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกำราบเขา ตลอดเวลาที่ถูกกักขังอยู่ที่นี่ ไม่เคยไปหยั่งรู้และเรียนรู้นัยเร้นลับของเก้ามรดกพิทักษ์สำนัก
ได้รู้ทั้งหมดนี้ หลินสวินก็อดทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้
ยังดีที่ตอนนี้ศิษย์พี่สี่ได้ชำระจิตเปลี่ยนความคิดแล้ว ไม่เช่นนั้นด้วยความสามารถของเขา หากก่อพิบัติทั่วหล้าขึ้นมา ผลลัพธ์นั้นก็ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ
“ท่านพ่อ ในเบาะรองนั่งนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่” หลินฝานอดถามไม่ได้
หลินสวินกล่าว “เจ้ารออยู่ข้างๆ ก่อน”
พูดจบเขาก็เดินเข้าไป นั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งแล้วหยั่งรู้คร่าวๆ มรดกพิทักษ์สำนักทั้งเก้าที่ประทับอยู่ในเบาะรองนั่งก็ผุดขึ้นในใจ
เมื่อก่อนหลินสวินเคยได้ยินพวกศิษย์พี่พูดถึงมรดกเหล่านี้แล้ว แต่นอกจากวิชาอริยะยุทธ์ หลินสวินไม่รู้จักนัยเร้นลับของมรดกอื่นๆ
แต่ตอนนี้มรดกเหล่านี้ล้วนปรากฏออกมา
แบ่งเป็น : ‘วิชาอริยะยุทธ์’ ‘คัมภีร์ก่อเกิดใจ’ ‘ดวงกมลกลายคุก’ ‘คัมภีร์ล่องลอย’ ‘ใกล้ดุจไร้ขอบเขต’ ‘แปรรู้ตน’ ‘ท่องอิสระ’ ‘ผู้บำเพ็ญไร้พรมแดน’ ‘คัมภีร์ล่วงรู้’
เก้ามรดกพิทักษ์สำนักคีรีดวงกมลนี้ ทุกมรดกล้วนเป็นมรดกที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลสร้างด้วยตัวเอง มีอานุภาพไม่อาจคาดเดา
อย่างคัมภีร์มหามรรคหวงถิงของศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผู เป็นมรดกที่พัฒนามาจาก ‘แปรรู้ตน’!
มรดกนี้เมื่อฝึกถึงขีดสุด สามารถวิวัฒน์หมื่นลักษณ์ แปลงฟ้าแปลงดิน แปรสภาพสรรพสิ่งในวัฏจักร วิวัฒน์สรรพชีวิตบนโลกได้ เรียกได้ว่าเป็นยอดวิชา
หรืออย่างคัมภีร์ล่วงรู้ ตั้งชื่อตามความหมาย ‘ค้นคว้าล่วงรู้’ แยกแยะสรรพสิ่ง หยั่งรู้นัยเร้นลับ ‘คัมภีร์ร้อยสมุนไพรทั่วหล้า’ ของศิษย์พี่ผู่เจินก็พัฒนามาจากคัมภีร์นี้
จนกระทั่งผ่านไปนานหลินสวินจึงลืมตาขึ้น เข้าใจนัยเร้นลับเก้ามรดกพิทักษ์สำนักทั้งหมดแล้ว
‘แม้เป็นมรดกพิทักษ์สำนัก แต่นัยเร้นลับในนั้นกลับฝึกได้ถึงก่อนระดับจักรพรรดิเท่านั้น อาจารย์ทำเช่นนี้ เห็นชัดว่ากังวลว่าคัมภีร์มรรคที่ตนสร้างจะส่งผลกระทบต่อมรรคาในอนาคตของผู้สืบทอด…’
หลินสวินรู้ดีว่าหลังจากก้าวสู่ระดับจักรพรรดิจะต้องเริ่มเดินไปตามมรรคาของตนอย่างแท้จริง อาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมลทำเช่นนี้ถือเป็นความเอาใจใส่อย่างยิ่ง
คำว่าอาจารย์ชี้แนะแนวทาง การฝึกปราณขึ้นอยู่กับตนก็เป็นเช่นนี้
ก่อนจะถึงระดับจักรพรรดิยังสามารถเรียนรู้มรดกสำนักได้ แต่ขอเพียงก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ ก็ทำได้เพียงพึ่งตนเองในการแสวงหามหามรรคแล้ว
เพราะหากคิดจะไปให้ไกลยิ่งกว่าระดับนี้ ก็ต้องสร้างคัมภีร์จักรพรรดิที่เป็นของตน!
อย่างเช่นตัวหลินสวินเอง ตอนอยู่ระดับจักรพรรดิก็ได้สร้าง ‘คัมภีร์เตาหลอมมหามรรค’ ออกมา
“ฝานเอ๋อร์ ในเบาะรองนั่งนี้มีเก้ามรดกพิทักษ์สำนักของคีรีดวงกมล เจ้าสามารถหยั่งรู้ได้ ใช้เป็นกระจกเงาและเรียนรู้ก็พอ”
หลินสวินลุกจากเบาะรองนั่งแล้วพูดง่ายๆ
กลับเห็นหลินฝานใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ข้าเองก็รู้หลักการของการอ้างอิงเรียนรู้ แต่หนทางจักรพรรดิของข้าเดินมาถึงขีดสุดแล้ว มรดกใดใต้หล้านี้ล้วนไม่มีประโยชน์สำหรับข้าแล้ว”
หลินสวินเลิกคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ฝืน กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ามั่นใจในมรรคาของตนเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราพ่อลูกมาประลองกันสักหน่อยเป็นอย่างไร”
หลินฝานอึ้งไป “ท่านพ่อ นี่เท่ากับท่านรังแกข้าไม่ใช่หรือ”
หลินสวินกล่าว “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะประลองกับเจ้าด้วยพลังระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเท่านั้น”
จิตต่อสู้ของหลินฝานถูกกระตุ้นขึ้นมาเช่นกัน เอ่ยด้วยสายตาร้อนเร่า “ท่านพ่อ ได้ยินมานานแล้วว่ามหามรรคของท่านเรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ข้าอยากเห็นยิ่งนัก”
หลินสวินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลง “ไป”
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น
บนห้วงอากาศเหนือซากคีรีดวงกมล สองพ่อลูกยืนอยู่กลางอากาศ เผชิญหน้ากันจากไกลๆ
“ท่านพ่อ เชิญ!”
หลินฝานสูดหายใจลึกคราหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏแววเย่อหยิ่ง พลังขับเคลื่อนรอบตัวโคจร อานุภาพเปลี่ยนไปทันใด มีกลิ่นอายอหังการปานราชันทั่วหล้า
“มาเถอะ”
มรรควิถีของหลินสวินกดอยู่ในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ สีหน้าราบเรียบ
“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว”
ระหว่างหัวเราะเสียงดัง หลินฝานทะลวงอากาศเข้ามา ในดวงตาเต็มไปด้วยจิตต่อสู้พลุ่งพล่าน
ด้วยพลังปราณของเขาในตอนนี้ ไม่เห็นคนระดับเดียวกันในสายตานานแล้ว บนโลกนี้มีคนที่สามารถทำให้เขาเกิดจิตต่อสู้ได้น้อยาก
ทว่ายามเผชิญกน้ากับบิดาอย่างหลินสวินกลับแตกต่างโดยสมบูรณ์
ตั้งแต่เด็ก ในใจเขาท่านพ่อก็เป็นเหมือนภูเขาใหญ่ที่สูงส่งไม่อาจเอื้อม แม้จนถึงตอนนี้ในใจหลินฝานก็ยังชื่เลื่อมใสบิดาตน
แต่เลื่อมใสก็ส่วนเลื่อมใส ในใจหลินฝานมีความคิดหนึ่งมาโดยตลอด นั่นก็คือสักวันจะต้องไล่ตามฝีเท้าบิดาให้ทัน เทียบเคียงเขาบนมหามรรค จนกระทั่งเหนือกว่า!
อย่างเช่นตอนนี้ หลินฝานมั่นใจว่าในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แม้ไม่อาจเอาชนะบิดาได้ แต่ก็สามารถยืนหยัดไม่ให้พ่ายแพ้ได้!
ทว่า…
ความจริงล้วนโหดร้าย
เพียงครู่เดียวหลินฝานก็ถูกหมัดเดียวโจมตี เงาร่างโซเซ สีหน้าผิดคาด
ครั้นหันมองดูหลินสวินที่อยู่ไกลๆ ท่าทางราบเรียบผ่อนคลาย
“จะต่อหรือไม่” หลินสวินถาม
ความนัยในคำพูดราวกับกำลังบอกว่า ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังด้อยไปหน่อย
“มาอีก”
สีหน้าของหลินฝานเปลี่ยนเป็นราบเรียบและจริงจัง กลิ่นอายทั้งตัวปรากฏสัญญาณเดือดพล่านถึงขีดสุดรางๆ
ปัง!
ไม่นานหลินฝานถูกหนึ่งฝ่ามือตบร่วงจากห้วงอากาศ กระแทกลงพื้น ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยฝุ่น ดูสะบักสะบอมอยู่บ้าง
เขาลุกขึ้นพูดอย่างยากจะเชื่อ “นี่คือพลังที่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสามารถครอบครองได้หรือ”
หลินสวินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จัดการเจ้า ข้ายังไม่ต้องใช้พลังของระดับอมตะ”
หลินฝานมุมปากกระตุก กัดฟันพูด “มาอีก!”
ปัง!
ปัง!
ปัง!
…ในเวลาหลังจากนั้นหลินฝานถูกโจมตีจนยับเยินครั้งแล้วครั้งเล่า สะบักสะบอมยิ่งทุกครั้ง แต่ไม่ได้บาดเจ็บหนัก หลินสวินย่อมไม่อาจเล่นงานลูกของตนจนบาดเจ็บสาหัส
ขอเพียงทำลายความเย่อหยิ่งของเจ้าหมอนี่สักหน่อย เคี่ยวกรำสภาวะจิตของเขา เป้าหมายก็สำเร็จแล้ว
ครู่ใหญ่หลินฝานเผ้าผมยุ่งเหยิง เปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว หายใจหอบหนัก ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าอึมครึมไม่สามารถสงบได้
“ไม่เอาแล้วหรือ” หลินสวินถาม
หลินฝานยิ้มขื่นกล่าว “ท่านพ่อ ข้าไม่ใช่พวกคลั่งการทารุณเสียหน่อย รู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้ยังจะทำ นั่นก็โง่เง่าเกินไปแล้วจริงๆ”
“ฝานเอ๋อร์ พลังและวิธีต่อสู้ของเจ้าแม้มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ผลกระทบไม่มาก ว่ากันถึงที่สุด มรรควิถีของเจ้าขาดการเคี่ยวกรำเป็นตายที่แท้จริง ขาดอานุภาพที่บ่มเพาะจากการหลั่งเลือด…”
หลินสวินเดินเข้าไป ยื่นเหล้ากาหนึ่งให้หลินฝาน จากนั้นชี้แนะอย่างใจเย็น “คนที่เห็นความเป็นตายจนชินแล้วจึงจะรู้ว่าควรขุดศักยภาพแฝงและขีดกำจัดที่แท้จริงของตนออกมาอย่างไร นี่ก็คือความเร้นลับยิ่งยวดในการเคี่ยวกรำตนเอง การชี้แนะของคนอื่น สู้การไปเผชิญด้วยตนเองไม่ได้สักนิด”
เขาเว้นช่วงไปแล้วกล่าวต่อ “พูดง่ายๆ ก็คือประโยคเดียว”
หลินฝานอดถามไม่ได้ “อะไรหรือ”
“โดนเล่นงานน้อยไป”
คำพูดไม่กี่คำกลับเหมือนกระบี่คมที่ไม่มีอะไรขวางกั้นได้ แทงความเย่อหยิ่งในใจหลินฝานจนแหลกละเอียด