“เอ๋ นี่ก็หมดแล้วหรือ”
เมื่อกลับจากภูเขาหยวนเจี้ยว หลิงเสวียนจื่อก็งุนงงอยู่บ้างอย่างอดไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกไม่หนำใจเล็กน้อย
ทั้งหมดแล้วใช้เวลาไปทั้งสิ้นเกือบสามเดือน เขากับหลินสวินร่วมกันกวาดล้างห้าภูเขา อิ๋งโจว เผิงไหล ฟางหู ไต้อวี่และหยวนเจี้ยวอย่างต่อเนื่อง
จำนวนวิญญาณร้ายโลหิต ศพคลั่งนิรันดร์ วิญญาณร้ายไร้ดับ ภูตมหามรรคและศาสตราร้ายนิรันดร์ที่ล่ามาได้ รวมแล้วเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่
ถึงกับเรียกได้ว่าบนโลกไม่มีเสมอเหมือน
เพราะศุภโชคใหญ่เช่นนี้มีแต่แดนฝังมรรคของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ถึงมีได้
สำหรับหลิงเสวียนจื่อแล้ว เรื่องนี้ยังรู้สึกเกินจริงเหมือนฝัน
เพียงไม่ถึงสามเดือนสั้นๆ ก็กวาดวาสนาทั่วทั้งห้าภูเขา ก่อนหน้านี้เรื่องนี้เขาคิดไม่ถึงสักนิด!
กระทั่งกลับมาถ้ำสถิต หลิงเสวียนจื่อจึงค่อยๆ ใจเย็นลง
จากนั้นเขาก็มองหลินสวินด้วยสายตาร้อนเร่า เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง มีวาสนานี้ พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องจะกังวลว่าจะไม่อาจแจ้งมรรคนิรันดร์ไปทำไม”
ในใจหลินสวินก็ยินดีปรีดาไม่หยุดเช่นกัน
เขาคิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวสืบหาการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ กลับทำให้เขาได้มหาศุภโชคเย้ยฟ้าเช่นนี้
มิหนำซ้ำตลอดการเคลื่อนไหวยังราบรื่น ไม่ได้ประสบอันตรายถึงชีวิตจริงๆ มากเกินไปนัก
“ศิษย์พี่รอเดี๋ยว ข้าไปดูในประตูเนรเทศก่อน”
ขณะที่หลินสวินพูดก็โคจรอภินิหารประตูเนรเทศ
“อ๊ะเจ้ารอก่อน ให้ข้าไปดูกับเจ้าด้วย”
หลิงเสวียนจื่อรีบร้อนเอ่ย ช่วงนี้เขาได้เห็นความแข็งแกร่งของอภินิหารต้องห้ามนี้ของหลินสวินแล้ว ในใจก็สงสัยมานานแล้วว่าในประตูเนรเทศนี้เป็นสถานที่เช่นไรกันแน่
หลินสวินอึ้งไป เอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านต้องตามติดอยู่ข้างกายข้า หาไม่แล้วเกรงว่าจะประสบเคราะห์ใหญ่”
ขณะพูดเขากับหลิงเสวียนจื่อก็เคลื่อนไหว หายตัวเข้าไปในประตูเนรเทศนั้น
แดนเนรเทศ
กลางฟ้าดินอันขมุกขมัว หลิงเสวียนจื่อหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขาสัมผัสได้ถึงการกดข่มและพลังผนึกอันน่ากลัวอย่างหนึ่ง ทำให้เงาร่างของตนกระเด็นออกไปไกลอย่างควบคุมไม่ได้
หลินสวินขนับเคลื่อนความคิด พลังฟ้าดินที่ตรึงหลิงเสวียนจื่อไว้นั้นก็หายลับไป
หลิงเสวียนจื่อเพิ่งหายตกใจ เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง นี่มันที่บ้าอะไรกัน”
หลินสวินเอ่ย “แดนเนรเทศ ส่วนที่นี่เป็นที่ไหนกันแน่ กระทั่งข้าก็ยังไม่รู้”
“เจ้าก็ไม่รู้หรือ” หลิงเสวียนจื่อประหลาดใจ
หลินสวินพยักหน้า แดนเนรเทศลึกลับนัก มีเพียงพลังที่ควบคุมอภินิหารประตูเนรเทศถึงสามารถเปิดแดนนี้ และควบคุมแดนนี้ได้
แต่เกี่ยวกับที่มาของแดนนี้ จนตอนนี้หลินสวินก็ยังไม่รู้ชัด
ไม่นานนักพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็มาถึงฟ้าดินที่มีจานเทพคร่าศพลอยอยู่
ชั่วพริบตาแสงสมบัติมหามรรคเปล่งประกายสะดุดตาต่างๆ ส่องเข้ามาในครรลองสายตาของพวกเขา ก็พบว่าในพื้นที่ใกล้ๆ กับจานเทพคร่าศพเต็มไปด้วยสมบัติรูปแบบต่างๆ แน่นขนัดเจิดจ้าสะดุดตา
หลิงเสวียนจื่อสูดหายใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความสะท้าน
หลินสวินเองยังทึ่งกับภาพนี้
ตั้งแต่เริ่มกวาดล้างภูเขาอิ๋งโจว ตัวประหลาดที่เขาล่ามาได้ทั้งหมดล้วนถูกส่งมาแดนเนรเทศแห่งนี้ ยังไม่เคยไปนับดูอย่างจริงจัง
และตอนนี้เมื่อเห็นแสงสมบัติมากมายขนาดนั้นก็ตาพร่าไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง หลิงเสวียนจื่อกำลังจะไปเก็บรวมรวม ร่างกายกลับสะท้านทันที ถูกพลังกฎระเบียบลบล้างของจานเทพคร่าศพจู่โจม ถ้าไม่ใช่ว่าหลินสวินลงมือทันท่วงทีก็เกือบถูกตลบเข้าไปในจานเทพดำขาวสองชิ้นนั่นแล้ว
“นี่… ถึงกับเป็นพลังกฎระเบียบหรือ!?”
หลิงเสวียนจื่อเหม่อไป ดวงตาจ้องเขม็งไปที่จานเทพคร่าศพนั้น “ศิษย์น้อง แดนเนรเทศนี้ของเจ้าจะเย้ยฟ้าไปแล้วกระมัง”
ถ้อยคำของเขาเจือแววสั่นสะท้าน ไม่อาจคาดคิดได้จริงๆ ว่านี่เป็นฟ้าดินเช่นไรกัน ถึงได้มีพลังที่ลึกลับไม่อาจหยั่งถึงเช่นนี้
มิหนำซ้ำกลางฟ้าดินแห่งนี้ หลินสวินยังควบคุมและใช้พลังทั้งหมดของที่นี่ได้อย่างง่ายดาย!
นี่จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
หลินสวินก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร จึงคร้านจะอธิบายแล้ว
เขาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง
ซ่า!
สมบัติต่างๆ ทะยานมาหาเขาเหมือนกระแสน้ำ หลิงเสวียนจื่อจึงถูกดึงดูดความสนใจไปทันที
นับดูแล้วมีศิลาโลหิตนิรันดร์ทั้งสิ้นสี่ร้อยเก้าสิบสามก้อน
กฎเกณฑ์นิรันดร์ที่ไม่สมบูรณ์ยี่สิบสาย
หินมรรคนิรันดร์สิบแปดก้อน
ผลึกจิตนิรันดร์สามพันสี่ร้อยก้อน
ในนั้นสิ่งที่มีค่าที่สุดคือกฎเกณฑ์นิรันดร์ เป็นพลังกฎเกณฑ์ที่ควบรวมจากระดับนิรันดร์ แม้จะบกพร่องแต่ก็เทียบได้กับระเบียบระดับเทพที่ไม่สมบูรณ์สายหนึ่งแล้ว
กฎเกณฑ์นิรันดร์ที่หลินสวินหลอมได้จากเศษเสี้ยวชิ้นส่วนศพเหล่านั้นก่อนหน้านี้ มีเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของพลังกฎเกณฑ์ทั้งตัวของระดับนิรันดร์ เทียบไม่ติดกับกฎเกณฑ์นิรันดร์ที่หลอมจากศพคลั่งนิรันดร์นี้
‘มีของพวกนี้ก็สามารถหลอมกฎเกณฑ์อมตะของข้าถึงขีดสุดได้แล้วกระมัง’
หลินสวินลอบเอ่ยในใจ
“ศิษย์น้องเจ้าดูสิ หินมรรคนิรันดร์นี้หลอมขึ้นจากพลังปราณระดับนิรันดร์ พลังที่เก็บอยู่ภายในไพศาลและแกร่งกล้าหาใดเทียบ คิดดูแล้วพลังปราณที่ระดับนิรันดร์คนหนึ่งมีจะมหาศาลเพียงไหน และตอนนี้ก็รวมอยู่ในหินมรรคนิรันดร์ก้อนเล็กๆ ก้อนนี้”
หลิงเสวียนจื่อที่อยู่อีกด้านหนึ่งถือหินมรรคนิรันดร์ขนาดเท่าฝ่ามือ ทั้งก้อนโปร่งแสงอบอวลด้วยกลิ่นอายแรกกำเนิด รีบเอ่ยกับหลินสวิน
“กล่าวอย่างไม่เกินเลย หลอมหินมรรคนิรันดร์ก้อนหนึ่งก็เท่ากับดูดซับพลังปราณของระดับนิรันดร์ ต่อให้ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เพียงพอให้จนพวกเราใช้ไม่หมดแล้ว”
“ตอนนี้แม้ว่าพวกเราจะอยู่เพียงขั้นหลุดพ้น แต่ก็ดูดซับพลังจากหินมรรคนิรันดร์นี้ได้ นี่มีประโยชน์กับการแจ้งมรรคระดับนิรันดร์ของพวกเราอย่างไม่อาจประมาณได้”
ขณะพูดหลิงเสวียนจื่อก็หยิบผลึกจิตนิรันดร์ขนาดเท่าไข่ห่าน ประกายสีพร่าเลือนพรางตาขึ้นมาอีกก้อน เอ่ยด้วยแววตาวาวโรจน์ว่า “สมบัตินี้ยิ่งล้ำเลิศ หลอมรวมขึ้นจากพลังวิญญาณของระดับนิรันดร์ หลังจากบรรลุระดับนิรันดร์แล้ว ใช้สมบัตินี้หลอมรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์เหมาะสมเป็นที่สุด”
หลินสวินก็พิจารณาสมบัติเหล่านี้อยู่เช่นกัน
อย่างศิลาโลหิตนิรันดร์ สามารถหลอมพลังโลหิตได้ จึงมีประโยชน์อัศจรรย์กับการหลอมกายมรรคนิรันดร์
“แปลกจัง ศาสตราร้ายนิรันดร์พวกนั้นไปไหนแล้ว”
ทันใดนั้นหลิงเสวียนจื่อก็เอ่ยปากอย่างกังขา เขากวาดมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของศาสตราร้ายนิรันดร์
“ศิษย์พี่มากับข้า”
ขณะที่หลินสวินพูดก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้า
ไม่นานนักก็พาหลิงเสวียนจื่อมาถึงหน้าผาสมบัติร่วงหล่น ที่นี่มีเจตวัตถุนิรันดร์ที่มีแสงเทพเปล่งประกายลอยอยู่ถึงสี่สิบห้าชนิด!
แต่ละชนิดล้วนเปล่งแสงเจิดจรัส ส่องสว่างโชติช่วงเป็นอย่างยิ่ง
เจตวัตถุนิรันดร์เหล่านี้ไม่เหมือนกับเจตวัตถุในความหมายทั่วไป
พวกมันต่างหลอมขึ้นจากศาสตราร้ายนิรันดร์ และควรรู้ว่าศาสตราร้ายนิรันดร์แต่ละชิ้นต่างหลอมขึ้นจากเจตวัตถุหายากยิ่งนับไม่ถ้วน ถูกระดับนิรันดร์ฟูมฟักและหลอมชำระมาไม่รู้นานเท่าไร
แม้ว่าศาสตราร้ายนิรันดร์เหล่านี้จะชำรุดมานานแล้ว อีกทั้งวิญญาณอาวุธยังมลายไป แต่เจตวัตถุนิรันดร์ที่หลอมขึ้นจากพวกมันยังเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าในโลก
ตามคำพูดของหลิงเสวียนจื่อ เจตวัตถุนิรันดร์สี่สิบห้าชนิดนี้สามารถมองเป็น ‘โครงอาวุธ’ ของศาตรามรรคนิรันดร์สี่สิบห้าชิ้นได้ทั้งหมด!
โครงอาวุธ นั่นเทียบได้กับต้นแบบของศาสตราอมตะชิ้นหนึ่งแล้ว
หลินสวินสะบัดแขนเสื้อเก็บเจตวัตถุนิรันดร์เหล่านี้ไป
เขากำลังเตรียมจะจากไป จู่ๆ หลิงเสวียนจื่อก็เอ่ยถามว่า “ศิษย์น้อง ที่กระจายอยู่ในผาสมบัติร่วงหล่นแห่งนี้คือพลังกฎระเบียบอะไรอีก”
“ย่อมเป็นกฎระเบียบสมบัติร่วงหล่น ผู้ฝึกปราณที่ถูกม้วนเข้ามาในประตูเนรเทศ ตัวเขาจะถูกจานเทพคร่าศพทำลาย ส่วนสมบัติที่อยู่กับตัวก็จะถูกผาสมบัติร่วงหล่นเก็บไป”
หลินสวินอธิบายอย่างใจเย็น
หลิงเสวียนจื่ออุทานอย่างอดไม่ได้ “กฎระเบียบสมบัติร่วงหล่น… บนโลกนี้ถึงกับมีพลังกฎระเบียบที่พิสดารเช่นนี้ด้วยหรือ ถ้าบรรลุระดับนิรันดร์ หลอมกฎระเบียบนี้เข้ามาในกฎเกณฑ์นิรันดร์ของตัวเอง ตอนต่อสู้ไม่ใช่ว่าจะเอาสมบัติของศัตรูมาได้เหมือนล้วงแขนเสื้อหยิบของหรือ”
หลินสวินอึ้งไป คำพูดนี้ของหลิงเสวียนจื่อเหมือนตีแสกหน้า จริงด้วย ยามตนบรรลุระดับนิรันดร์ก็สามารถหยั่งรู้และหลอมกฎระเบียบลบล้างกับกฎระเบียบสมบัติร่วงหล่นได้!
“ศิษย์น้อง แดนเนรเทศนี้ยังมีพลังกฎระเบียบอื่นอยู่หรือไม่”
หลิงเสวียนจื่อถาม
“มี”
หลินสวินครุ่นคิด พาหลิงเสวียนจื่อเคลื่อนตัวไปไกลๆ ด้วยกัน
ไม่นานนักม่านน้ำตกสีขาวโพลนที่ไหลลงมาจากฟ้าแห่งหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา
น้ำพุเหมือนมาจากนอกเก้าชั้นฟ้า หลั่งไหลเชี่ยวกรากลงมา ประกายแสงสีขาวโพลนพลิกม้วน เกรียงไกรหาใดเทียบกลางฟ้าดินอันขมุกขมัวแห่งนี้
ธารแสงกาลเวลา!
ม่านน้ำตกที่แปลงจากกฎกาลเวลาทั้งหมดหลั่งไหลลงมากลางฟ้าดิน!
ยามนี้หลิงเสวียนจื่องุนงงไปโดยสิ้นเชิง แววตาเต็มไปด้วยความสั่นสะท้านที่ไม่อาจเก็บกลั้นได้
กาลเวลา!
มหามรรคต้องห้ามสูงสุดชนิดหนึ่ง ตอนนี้ถึงกับวิวัฒน์เป็นน้ำพุ สำแดงเป็นพลังกฎระเบียบที่ตาเนื้อมองเห็นได้!
นี่ถ้าถูกระดับนิรันดร์เห็นเข้า เกรงว่าจะต้องตกตะลึงอ้าปากค้าง
ควรรู้ว่าเส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิอาจจะสัมผัสได้ถึงพลังกาลเวลา แต่นั่นเป็นเพียงผิวเผิน และเป็นแค่รู้สึกอยู่ในใจเท่านั้น
แต่ระดับอมตะสามารถหยั่งรู้และศึกษาพลังแห่งกาลเวลาได้ แต่หากต้องการควบคุมก็แทบจะทำให้เป็นจริงได้ยากเช่นกัน
มีเพียงระดับนิรันดร์ถึงไปหยั่งรู้และควบคุมพลังแห่งกาลเวลาได้ เพียงแต่ผู้ที่สามารถหลอมกฎกาลเวลาเข้าไปในกฎเกณฑ์นิรันดร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงกลับมีไม่กี่คน!
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่รู้ที่มาที่ไปของแดนนี้จริงหรือ” ครู่ใหญ่หลิงเสวียนจื่อจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
ฟ้าดินลึกลับแห่งหนึ่งกลับมีพลังกฎระเบียบลบล้าง สมบัติร่วงหล่นและกาลเวลา นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ประโยคนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับในโลกใบหนึ่งมีระเบียบระดับเทพสามชนิด!
และควรรู้ว่าในเผ่าเทพนิรันดร์ของน่านฟ้าที่เก้ายังมีระเบียบระดับเทพเพียงชนิดเดียว
หลินสวินส่ายหัว เขาเข้าใจความตกตะลึงของศิษย์พี่สี่ดี ตอนแรกสุดที่เขาได้เห็นทั้งหมดนี้ก็สั่นสะท้านไม่หยุด ทั้งยังยังเคยสงสัยว่าแดนเนรเทศแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่
หลิงเสวียนจื่อนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “กวาดวาสนามามากขนาดนั้น ทั้งยังมีพลังกฎระเบียบของแดนเนรเทศแห่งนี้สามชนิด ศิษย์น้อง ถ้าเจ้าแจ้งมรรคนิรันดร์ เกรงว่าจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ระดับนิรันดร์ในก้าวเดียว”
หินมรรคนิรันดร์ เจตวัตถุนิรันดร์ ผลึกจิตนิรันดร์ ศิลาโลหิตนิรันดร์ กฎเกณฑ์นิรันดร์… สิ่งไหนไม่ใช่สมบัติที่ระดับนิรันดร์ต่างเฝ้าฝันหมายปองบ้าง
และพลังกฎระเบียบสามชนิดในแดนเนรเทศแห่งนี้ยังนำมาใช้หลอมกฎเกณฑ์นิรันดร์ได้
คิดดูแล้วถ้าหลินสวินแจ้งมรรคนิรันดร์ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะผงาดขึ้นอย่างแข็งกร้าวไม่ได้!
หลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “แม้วาสนาจะมีมาก แต่ก็ต้องดูว่าจิตใจของตัวเองเป็นเช่นไร นี่จึงจะเป็นแก่นของมหามรรค”
หลิงเสวียนจื่ออึ้งไป ได้สติอย่างรวดเร็ว นี่ศิษย์น้องกำลังเตือนเขาว่าอย่าให้วาสนาเหล่านี้มาบดบังสภาวะจิตของตัวเอง
นี่ทำให้หลิงเสวียนจื่ออุ่นวาบในใจ ยิ้มเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ศิษย์พี่ไม่ซ้ำรอยอย่างอาจารย์อาคงเจวี๋ยตอนนั้นหรอก”