ปิดด่านสิบปีนี้ หลินสวินไม่เคยออกไปสักก้าว ส่วนซย่าจื้อก็อยู่ข้างกายเขาตลอด
“หลังจากนี้สามเดือนข้าจะแจ้งมรรคนิรันดร์แล้ว”
หลินสวินวางตะเกียบในมือลง มองซย่าจื้อที่อยู่ตรงหน้าพลางกล่าว “ถึงตอนนั้นเจ้าอยู่ในแดนแรกเริ่มกับพวกจิ่งเซวียนนะ”
“ทำไมไม่ให้ข้าคุ้มครองเจ้า” ซย่าจื้อสงสัย
หลินสวินยิ้มกล่าว “ข้าข้ามด่านเคราะห์ไม่เคยต้องให้คนอื่นคุ้มครอง เจ้าทำตามที่ข้าเตรียมไว้ก็พอ”
ซย่าจื้อไม่ได้ฝืนอีก กินข้าวต่อไป
หลินสวินกลับหยิบสุรากาหนึ่งขึ้นมาดื่ม
ปิดด่านสิบปี เขาทำแค่เรื่องเดียว…
ขัดเกลาจิตใจ
ประสบการณ์และการต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งหมดล้วนถูกเขาจัดเรียงสะสางทั้งหมด
เขาไม่ได้ตั้งใจข่มคลื่นความรู้สึกภายในใจ แค่หยั่งรู้เรื่องทั้งหมดจากเล็กถึงใหญ่ ตั้งแต่ก้าวสู่หนทางแห่งการฝึกปราณถึงปัจจุบันเช่นนั้น
สิบปีแล้ว ไม่ได้หยั่งรู้และเก็บเกี่ยวอะไรเท่าไร
แต่หลินสวินรู้ว่าสภาวะจิตของตนไม่มีช่องโหว่อีก
หลินสวินนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ลับจิตดั่งคม หล่อจิตดุจหยก
‘ผู้อาวุโสที่มีความสามารถบนมรรคกระบี่สูงสุดคนนั้น ใช้เพียงแปดคำก็เปิดเผยความเร้นลับแห่งสภาวะจิตทั้งหมด…’
เขาอดทอดถอนใจไม่ได้
เวลานี้เขาเพิ่งรู้ซึ้งว่าอะไรเรียกว่าจิตมรรคดุจคมดาบ อะไรเรียกว่าจิตมรรคดุจหยก!
นี่คือสภาวะจิตที่กว้างใหญ่และสมบูรณ์ถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง ยามเผยตัวดั่งคมกระบี่ตัดผ่านอากาศ ยามเก็บงำดุจหยกงามนุ่มนวล
“หลินสวิน ทำไมเจ้าต้องรออีกสามเดือนถึงแจ้งมรรคนิรันดร์” ซย่าจื้อพลันเอ่ยถาม
หลินสวินยิ้มพลางกล่าว “เพราะยังมีเรื่องหนึ่งต้องทำ”
“เรื่องใดหรือ”
นัยน์ตาดำหลินสวินล้ำลึก เอ่ยปากเนิบช้า “ชักนำจุดเปลี่ยนแจ้งมรรคของข้าออกมา”
“เจ้าคิดจะทำอย่างไร” ซย่าจื้อสงสัย
หลินสวินคิดไปคิดมาแล้วกล่าว “ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ตกปลาในความลับสวรรค์”
เขาพูดพลางชี้นิ้วไปบนฟ้า “คนอื่นรอจุดเปลี่ยน แต่ข้าจะคว้าจุดเปลี่ยน จุดเปลี่ยนนี้อยู่บนสวรรค์”
ซย่าจื้ออึ้งงัน ส่ายหัวกล่าว “ไม่เข้าใจ”
หลินสวินหัวเราะพลางกล่าว “ไม่เข้าใจก็ไม่สำคัญ”
…
เวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า
เมื่อเวลาสามเดือนใกล้มาถึง หลินสวินกับซย่าจื้อเดินออกมาจากถ้ำสถิต
“คนไปไหนหมด”
หลินสวินอึ้งไป ในจิตรับรู้ของเขาพบว่าทั่วเขาแรกพิสุทธิ์ล้วนว่างเปล่า นอกจากเขากับซย่าจื้อแล้วไม่มีแม้แต่เงาร่างใครสักคน
“ไป ไปดูเขาแรกนภากัน”
หลินสวินเคลื่อนผ่านอากาศไปยังจุดที่ห่างไกลทันที
ไม่นานก็เจอเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกเสวียนเฟยหลิง ฟางเต้าผิงที่เขาแรกนภา
“ในที่สุดเจ้าหนูอย่างเจ้าก็ออกมาแล้ว”
แวบแรกที่พวกเสวียนเฟยหลิงเห็นหลินสวิน ทุกคนต่างพากันกรูเข้ามาถาม “เตรียมตัวเป็นอย่างไร มีความมั่นใจในการแจ้งมรรคนิรันดร์ครั้งนี้แค่ไหน”
หลินสวินยิ้มกล่าว “รอเมื่อข้ามด่านเคราะห์ก็รู้ขอรับ จริงสิ คนอื่นในสำนักพวกเราเล่า”
เสวียนเฟยหลิงกล่าว “ย้ายไปอยู่ในแดนลับแรกฟ้าตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน ตอนนี้ทั้งลัทธิแรกกำเนิดเหลือแค่พวกเราแล้ว”
หลินสวินอึ้งงัน ตระหนักได้ว่าตนทำพลาดไปเรื่องหนึ่งทันที กล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ผู้อาวุโสทุกท่าน ครั้งนี้ข้าไม่คิดแจ้งมรรคในแดนแรกเริ่ม”
พวกเสวียนเฟยหลิงต่างตกตะลึง ไม่ทันตั้งตัวอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าหลินสวินจะแจ้งมรรคนิรันดร์ในแดนแรกเริ่ม ห่วงว่าพลังระเบียบระดับเทพจะถูกกำราบจึงดำเนินการล่วงหน้า พาคนทั้งสำนักไปอยู่ในแดนลับแรกฟ้า
ในแดนลับแรกฟ้ามีพลังต้นกำเนิดของระเบียบระดับเทพอยู่ ต่อให้ถูกศัตรูบุกมาถึงหน้าประตู คิดจะทำลายต้นกำเนิดระเบียบระดับเทพย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ใครจะคิดว่าหลินสวินกลับไม่คิดจะแจ้งมรรคในแดนแรกเริ่ม!
“เจ้าจะไปแจ้งมรรคนิรันดร์ที่ไหน” ฟางเต้าผิงอดถามไม่ได้
“ข้าว่าทะเลหมื่นดาราก็ดี”
หลินสวินพูดง่ายๆ “ถึงตอนนั้นแค่ย้ายพลังระเบียบของทะเลหมื่นดารากลับมาแดนแรกเริ่มก็พอแล้ว”
นี่ก็คือแผนการของเขา ปีนั้นยามโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคนิรันดร์ เมื่อมหาเคราะห์นิรันดร์นั้นมาเยือน ทำให้ระเบียบระดับเทพของแดนแรกเริ่มถูกกำราบ ไม่อาจสำแดงอานุภาพ
หลินสวินไม่อยากทำให้ทุกคนทั่วลัทธิแรกกำเนิดเสียการคุ้มครองเพราะการข้ามด่านเคราะห์ของตน
“ไม่ได้!”
เสวียนเฟยหลิงไม่รับปากเป็นคนแรก “แจ้งมรรคนิรันดร์เป็นเรื่องใหญ่ระดับใด หากมีศัตรูภายนอกมารุกรานที่ทะเลหมื่นดาราย่อมรบกวนการข้ามด่านเคราะห์ของเจ้าทันทีแน่ เมื่อสภาวะจิตเกิดข้อผิดพลาด แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลลัพธ์จะร้ายแรงแค่ไหน”
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นพากันกล่าวห้ามปรามเช่นกัน
แต่หลินสวินกลับส่ายหัวเล็กน้อย ท่าทางแน่วแน่ “บนโลกนี้สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อสภาวะจิตของข้า มีเพียงความปลอดภัยของพวกท่านและทุกคนในลัทธิแรกกำเนิด ขอแค่พวกท่านปลอดภัย ข้าก็ไม่มีความกังวล”
พวกเสวียนเฟยหลิงพลันสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด
“เจ้ารู้ไหมว่าหลังจากเคราะห์นิรันดร์มาเยือน ย่อมถูกลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน กระทั่งเผ่าเทพนิรันดร์แห่งน่านฟ้าที่เก้าสังเกตเห็นทันที หากพวกเขาส่งระดับนิรันดร์มาขวางโดยไม่คำนึงถึงค่าตอบแทนใด นั่นต้องเป็นมหันตภัยแน่!” ฟางเต้าผิงกล่าวสีหน้าจริงจัง
“เพราะเป็นเช่นนี้ ขอเพียงพวกท่านซ่อนตัวอยู่ในแดนแรกเริ่มและมีการคุ้มครองจากระเบียบระดับเทพ ก็จะไม่ถูกมหันตภัยเช่นนี้คุกคาม”
หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด “ส่วนข้า… หึๆ ระดับนิรันดร์จะกล้าลงมือกลางมหาเคราะห์นิรันดร์หรือ”
เมื่อเห็นว่าโน้มน้าวทุกทางแล้วยังไม่อาจปรามหลินสวิน พวกเสวียนเฟยหลิงจึงได้แต่ยอมตกลง
หลินสวินเป่าปากโล่งอกเช่นกัน เขากลัวว่าจะโน้มน้าวสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนี้ไม่ได้จริงๆ
วันนั้นเขาออกจากแดนแรกเริ่มมาถึงทะเลหมื่นดาราเพียงลำพัง
ยังคงอยู่เหนือเมืองเทพหมื่นยอด
หลินสวินยืนนิ่งสบายๆ ชุดสีขาวพระจันทร์พลิ้วไหวกลางหมอกเมฆ ห่างออกไปคือทะเลหมื่นดาราที่มีคลื่นโถมโอฬาร มีประกายดาราพร่างพราวประหนึ่งภาพฝันลวงตา
ตอนนั้นยามโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคนิรันดร์ หลินสวินเคยเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่คนเดียว
วันนี้เขายังอยู่ที่นี่คนเดียวเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เป็นตัวเขาที่จะข้ามมหาเคราะห์นิรันดร์!
อึก... อึก...
หลินสวินนำน้ำเต้าสุราออกมาดื่มรวดเดียว จากนั้นนัยน์ตาดุจอสนีพลันมองไปยังส่วนลึกของเวิ้งฟ้า
เงาร่างสูงโปร่งของเขาพลันแผ่พลังขับเคลื่อนชวนตะลึงหาใดเปรียบ ราวกับกระบี่เทพที่ถูกผนึกมาเป็นเวลานานเล่มหนึ่งแหวกอากาศขึ้นไปในยามนี้ ทะลวงชั้นเมฆตลอดทาง ลอยล่องเหนือเวิ้งฟ้า
มรรควิถีทั้งตัวเขาปลดปล่อยพลังถึงขีดสุดในยามนี้
ตูม!
ผืนน้ำใกล้เคียงพลันม้วนตลบ ระลอกคลื่นม้วนซัดคำรามดั่งมังกร กลางฟ้าดินมีละอองแสงมหามรรคสาดพรม ราวกับเตาหลอมยักษ์คิดผลาญปวงสวรรค์ในยามนี้
เห็นชัดว่าด้านหลังหลินสวินมีวงแหวนเทพอมตะปรากฏดั่งเหวลึกเร้นลับ พลังกฎเกณฑ์อมตะที่พลุ่งพล่านทำให้พลังกฎระเบียบกลางฟ้าดินสั่นไหว ส่งเสียงคร่ำครวญเหมือนถูกกำราบ
แดนแรกเริ่ม
พวกเสวียนเฟยหลิงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านพลังระเบียบระดับเทพอย่างชัดเจน ทุกคนล้วนอึ้งงันอยู่ตรงนั้นอย่างอดไม่ได้
กฎเกณฑ์อมตะทั้งตัว ถึงกับแข็งแกร่งจนทำให้กฎระเบียบฟ้าดินอลหม่านหรือ
นี่ล้มล้างความเข้าใจของพวกเขาโดยสิ้นเชิง ด้วยในความเข้าใจของพวกเขา มีเพียงพลังของระดับนิรันดร์ที่ทำได้ถึงขั้นนี้!
สิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงที่สุด คือในเวลาต่อมาพลังขับเคลื่อนทั่วร่างหลินสวินกลับเพิ่มมากขึ้น มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง…
ตูม!
บนทะเลหมื่นดาราที่กว้างใหญ่ ฟ้าดินพลุ่งพล่าน พลังกฎระเบียบอึกทึกสั่นไหว ละอองแสงมหามรรคนับหมื่นแสนแผ่ออกมาจากร่างสูงโปร่งของหลินสวิน เปล่งประกายโชติช่วง เจิดจ้าทั่วหล้าไร้ขอบเขต
พลังขับเคลื่อนของเขาแทงทะลุผืนฟ้าดั่งกระบี่ พุ่งไปในส่วนลึกสุดของท้องนภา ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังต่อสู้และโรมรันกับศัตรูตัวฉกาจอยู่นอกเวิ้งฟ้า
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในเวลาต่อมา
กระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม มหาเคราะห์นิรันดร์ที่พวกเสวียนเฟยหลิงคาดไว้กลับยังไม่มาเยือน...
“ในช่วงเวลาก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนนี้ พลังขับเคลื่อนของการแจ้งมรรคนิรันดร์ไม่อาจปรากฏขึ้นอีกจริงหรือ…”
พวกเสวียนเฟยหลิงอึ้งงัน ไม่อาจนิ่งสงบ
แต่หลินสวินกลับเหมือนไม่รู้สึก เขาปลดปล่อยกำลัง พลังปราณ สังขาร จิตวิญญาณ มหามรรค สภาวะจิตทั้งตัวของตนอย่างอหังการ... ล้วนไม่เก็บงำแม้แต่น้อย
ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ตกปลาในความลับสวรรค์!
ปลาต้องมาแน่ อยู่แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
สำหรับหลินสวินเรื่องพวกนี้ไม่อาจส่งผลต่อสภาวะจิตของเขาแล้ว
คล้ายแปดคำที่ผู้ไร้เทียมทานคนนั้นเคยกล่าว ‘ลับจิตดั่งคม หล่อจิตดุจหยก’!
หลังผ่านไปสามชั่วยาม
ทันใดนั้นกลิ่นอายด่านเคราะห์กดอัดใจคนสายหนึ่งปรากฏในส่วนลึกของเวิ้งฟ้าอย่างเงียบเชียบ หมุนวนเป็นเงามืดหนึ่งช้าๆ
จากนั้นฟ้าดินพลันมืดมนลง ราวกับจมสู่ความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์ในชั่วพริบตา
พลังกฎระเบียบฟ้าดินที่เดิมพลุ่งพล่านปั่นป่วนล้วนตกสู่ความลึกลับเงียบสงัดฉับพลันในเวลานี้ ทำเอาผู้คนขนลุกขนชัน
น้ำทะเลที่ม้วนซัดพลุ่งพล่าน ห้วงอากาศใกล้เคียงโหมกระหน่ำดุดัน เหมือนถูกมือใหญ่ไร้รูปผนึก
ทั้งโลกเหมือนหยุดนิ่งในยามนี้
“มาแล้ว!”
ในลัทธิแรกกำเนิด เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างเสวียนเฟยหลิงที่เฝ้ารอมานานจนร้อนรนหาใดเปรียบ ยามนี้ล้วนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ดวงตาเบิกกว้าง
จุดเปลี่ยนของการแจ้งมรรคนิรันดร์มาแล้ว พลังด่านเคราะห์ชวนประหวั่นนั้นกำลังก่อตัวในส่วนลึกของท้องนภา!
พวกเสวียนเฟยหลิงยากอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ ทั้งประหม่าทั้งกดดัน ทั้งเจือความตื่นเต้นและเฝ้ารออย่างบอกไม่ถูก
มหาเคราะห์นิรันดร์ นี่คือเคราะห์อันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์คนใดก็ตามบนโลกรู้สึกว่าทั้งรักทั้งแค้น
เมื่อข้ามพ้นก็ก้าวสู่มรรคานิรันดร์ ยืนตระหง่านบนจุดสูงสุด เหลือบแลห้วงฟ้า ครอบครองพลังกฎระเบียบฟ้าดิน
แต่หากข้ามไม่พ้น…
ย่อมวิญญาณแตกซ่าน กายสิ้นมรรคสลาย!
สำหรับพวกเสวียนเฟยหลิงย่อมรู้ถึงความน่ากลัวของมหาเคราะห์นิรันดร์เป็นธรรมดา ดังนั้นเวลานี้จึงตื่นเต้นและกดดันเช่นนั้น
สิ่งที่ทำให้พวกเขาตื่นเต้น คือจุดเปลี่ยนแจ้งมรรคของหลินสวินถึงกับปรากฏขึ้นจริงๆ!
จุดเปลี่ยนแจ้งมรรคที่เดิมถูกมองว่าไม่อาจปรากฏขึ้นอีก กลับถูกหลินสวินไขว่คว้ามาได้ด้วยตัวเอง นี่เท่ากับทำลายพันธนาการที่เหมือนสิ่งต้องห้ามบางอย่างจริงๆ!
‘ในที่สุดก็ติดกับแล้ว’
ริมฝีปากหลินสวินระบายยิ้ม กลิ่นอายทั้งตัวเขาพลันเก็บงำเข้ามาในกาย คล้ายกระบี่เทพเฉียบคมไร้ใดเปรียบเล่มหนึ่งกลับเข้าฝัก เปลี่ยนเป็นซุ่มซ่อนและนิ่งสงบ
เขานำน้ำเต้าสุราออกมาดื่มอีกครั้ง
มหาเคราะห์นิรันดร์ในส่วนลึกของเวิ้งฟ้านั่นกำลังสั่งสมพลัง ใช้เวลาไม่นานก็จะระเบิดอย่างแท้จริง
แต่สำหรับหลินสวิน การชักนำมหาเคราะห์ครานี้มาได้ถือว่าเขาประสบความสำเร็จแล้วครึ่งหนึ่ง!
ฟ้าดินมืดทะมึน เมฆาเคราะห์โหมกระหน่ำแผ่กระจายเป็นวงกว้างเงียบๆ ปกคลุมท้องฟ้าเหนือทะเลหมื่นดารา แน่นหนาจนเหมือนม่านเหล็กทิ้งตัวลงมาปิดผนึกแสงสว่าง
กลิ่นอายด่านเคราะห์ที่กดดันจนทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกสิ้นหวังเริ่มอบอวล ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปโดยไร้สุ้มเสียง
มีเพียงหลินสวินที่นิ่งสงบดังเดิม ดื่มกลางฟ้าดินเพียงลำพัง