ตอนที่ 435 เหล่าผู้ฝึกเซียนเกาะหมอกเซียน
ไป๋ฉีลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายไม่ได้ตามไปด้วย เพียงก้มหน้ามองหูอวิ๋น รวมถึงเต่าเฒ่าและปลาชิงฮื้อที่อยู่ข้างเรือ ไม่ได้พูดอะไรมาก เงยหน้ามองท้องฟ้าและขมวดคิ้วครุ่นคิดต่อไป
ประมาณสองสามอึดใจให้หลัง แสงสีรุ้งบนท้องฟ้าหายไปไม่เห็นแล้ว อย่างน้อยชาวบ้านในจังหวัดชุนฮุ่ยก็มองไม่เห็น ฝ่ายไป๋ฉีมองเห็นแสงรุ้งอยู่ไกลออกไปตรงขอบฟ้า
บนท้องฟ้า เท้าจี้หยวนเยียบกระบี่เซียนเหาะไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่มีความคิดเหาะไปถึงข้างหน้าแล้วขวางทางสอบถาม นั่นเหมือนกับอีกฝ่ายมีเรื่องด่วน แต่เจ้าขับรถเข้าไปขวางอย่างไรอย่างนั้น จี้หยวนจึงคิดตามไปพร้อมกับร่นระยะห่าง
ความสูงของประกายหมอกบนท้องฟ้าสูงยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้บ้าง ทว่าการตามแสงของจี้หยวนรวดเร็วเช่นกัน กระแสแสงเข้าใกล้ท้องฟ้าด้วยรัศมีที่เพิ่มมากขึ้น
จนกระทั่งถึงระยะห่างที่เหมาะสม จี้หยวนรู้สึกได้ปราณปราณวิญญาณเซียนในประกายหมอก เป็นผู้ฝึกเซียนกลุ่มหนึ่งดังคาด
ในประกายหมอกบนท้องฟ้า รังสีหกสายแรกสุกใสที่สุด ประกายหมอกหกสายนี้ทำให้เกิดแสงสีรุ้งบนท้องฟ้า แทบจะขยายวงกว้างปกคลุมร่างกาย พาให้ความเร็วของประกายหมอกข้างหลังเพิ่มความเร็วได้จนถึงระดับที่ตามทัน
ความจริงประกายหมอกหกสายนี้เป็นผู้ฝึกเซียนที่เหยียบย่างสู่ชั้นหมอกรุ้ง เห็นทีมีทั้งชายหญิง อายุแตกต่างกันไป
ทันใดนั้นชายชราในกลุ่มสะท้านใจ ก้มหน้ามองไปทางด้านข้าง จากนั้นอีกห้าคนก็หันไปมองในทิศทางเดียวกันโดยพลัน
แม้มองไม่เห็นอะไรที่นั่นชั่วคราว ถึงขนาดบางครั้งมีเมฆหมอกไพศาลกั้นไว้ แต่พวกเขารู้สึกได้ว่ามีความแหลมคมเจือจางกำลังเข้ามาใกล้
ชิ้ง…
ประกายกระบี่แหวกเมฆออกมา ถึงยังคงอยู่ไกลมาก แต่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด ทิศทางของมันก็คือด้านหน้าซึ่งเป็นที่อยู่ของทั้งหกคน
“ประกายกระบี่เร็วนัก ที่นี่มีสำนักจวนเซียนที่เก่งกาจหรือผู้ฝึกเซียนด้วยหรือ”
ประกายหมอกไม่ได้หยุดลง ชายชราในกลุ่มเอ่ยอย่างเนิบช้า ถามไปทางด้านซ้ายและขวา เมื่อได้ยินคำถามของเขาแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งข้างกายคิดก่อนตอบ
“ที่นี่เป็นอาณาจักนเล็กๆ ทางใต้ของทวีปเมฆา แต่หากพูดถึงสำนักจวนเซียนกลับมีอยู่แห่งหนึ่งจริงๆ น่าจะอยู่แถวนี้ เหมือนจะชื่อว่า…เขาล้อมหยก?”
“เขาล้อมหยกคล้ายกับไม่ได้มีชื่อเสียงเรื่องการใช้กระบี่กระมัง”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทว่าในสำนักมีมือกระบี่ที่เก่งกาจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
ชายชราอีกคนหนึ่งคิด
“ตามที่ข้ารู้ เขาล้อมหยกไม่ใช่สำนักประเภทจวนเซียน ในนั้นไม่มีผู้นำสั่งสอนวิชาแต่อย่างใด นับว่าแตกหน่อไปหลายแขนง มีมือกระบี่ที่เก่งกาจก็อาจเป็นไปได้”
“ทุกคนอย่าเพิ่งวู่วาม คนผู้นั้นมาแล้ว”
สิ้นเสียงนั้น ทั้งหกคนเงียบเสียงลง ทว่าความเร็วประกายหมอกของทุกคนยังคงไม่ลดลงเลยสักนิด และผู้ฝึกเซียนที่กำลังเหาะอยู่เริ่มทยอยกันพบประกายกระบี่ของจี้หยวนแล้ว
ตอนนี้จี้หยวนมองไป ทุกที่เต็มไปด้วยแสงรุ้งงามตา แวววาวราวกับหมอกรุ้งที่ขอบฟ้า อีกทั้งมีสีสันมากมาย หลังจากเขาตามทันแล้วก็เก็บกระบี่เซียนทันที ใต้เท้าเหยียบเมฆเข้าใกล้ด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ประกายหมอกโดยรอบไม่ได้ขวางจี้หยวน ทว่าหลายต่อหลายคนมองแขกในเสื้อสีขาวผู้นี้เหยียบเมฆมาถึงด้วยความประหลาดใจ พวกเขามองดูอย่างถี่ถ้วน กลับเห็นเพียงคนไม่เห็นปราณ เข้าใจในทันทีว่าผู้มาเยือนมีระดับการฝึกปราณสูงส่งยิ่ง
ชาตินี้จี้หยวนเพิ่งเคยเห็นผู้ฝึกเซียนมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก แถมยังเก่งกาจจนสำแดงวิชาเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้าได้อีกต่างหาก
บนใบหน้าของผู้ฝึกเซียนเหล่านี้มีทั้งความประหลาดใจและเคร่งเครียด บางคนก็สงบนิ่งมองข้ามเขาไปโดยตรง ใต้เท้าของหลายๆ คนไม่ได้เหยียบเมฆหรือคุมวาโยเพียงอย่างเดียว กลับเหยียบสิ่งที่มีแสงสลัวสายหนึ่ง เหมือนกับเป็นหมอกรุ้ง มิน่าเล่าถึงได้แวววาวจ้าตาถึงเพียงนี้
จี้หยวนเหยียบเมฆขาวก้อนหนึ่งเข้าใกล้หกคนที่อยู่ห่างออกไปประมาณสี่ห้าจั้ง พวกเขาล้วนกำลังมองจี้หยวน ชายชราในหมู่พวกเขาเอ่ยขึ้นก่อนที่จี้หยวนกำลังจะถามอะไรบางอย่าง
“ขอถามว่าผู้มาเยือนเป็นสหายยุทธ์จากที่ใด พวกข้าผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนมีธุระต้องรีบเดินทาง หากทำให้ท่านไม่พอใจได้โปรดให้อภัยด้วย”
กระแสแสงทอสีรุ้ง หมอกอบอวลท้องฟ้า มิน่าเล่าเรียกว่าเกาะหมอกเซียน ในสมองจี้หยวนเกิดความคิดนี้ขึ้น เขาประสานมือบนก้อนเมฆ ถึงแม้อีกฝ่ายไม่ได้ทำความเคารพอะไร แต่จี้หยวนเคยชินกับมารยาทนี้จนกลายเป็นการตอบสนองโดยทันทีแล้ว
“สวัสดีสหายยุทธ์เกาะหมอกเซียนทุกท่าน ข้าน้อยสกุลจี้ ไม่ได้สังกัดอยู่ที่สำนักเซียนใด เป็นเพียงคนท้องถิ่นที่กำลังดื่มชาอยู่ข้างๆ เห็นหมอกรุ้งเต็มท้องฟ้าจึงตั้งใจมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หากสะดวกล่ะก็ ทุกท่านบอกกล่าวข้าคนแซ่จี้หน่อยได้หรือไม่”
จี้หยวนคิดว่ามุกคนท้องถิ่นพอใช้ได้ ทว่าผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนไม่ได้สนใจรายละเอียดนี้ เห็นจี้หยวนมีระดับการฝึกปราณที่ยากคาดเดา ท่าทางสง่างามมีมารยาท หญิงสาวคนหนึ่งข้างๆ คารวะกลับอย่างมีมารยาท จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า
“สายของเกาะหมอกเซียนพวกข้าพบชีพจรดินปล่อยปราณชั่วร้าย เมื่อพยายามใช้วิชาผนึกเอาไว้กลับดึงดูดมารปีศาจดุร้ายมามากมาย ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงเวลาคับขัน พวกข้ากำลังเร่งไปช่วยเหลือ”
“ไกลมากหรือไม่”
จี้หยวนแทบถามออกไปด้วยสัญชาตญาณ ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนมองจี้หยวนอีกหลายครั้ง แม้พลังและแสงเทพไม่ปรากฏ ทว่าปราณบริสุทธิ์รอบกายนั้นอธิบายได้อย่างชัดเจนมากว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกเซียนสายตรง
“ห่างจากที่นี่หลายแสนลี้ ระยะทางไม่นับว่าใกล้เลย”
จี้หยวนลังเลเล็กน้อย ก้มหน้ามองจังหวัดชุนฮุ่ยและแม่น้ำวสันต์ จากนั้นตัดสินใจทันที ไม่ว่าด้วยความรู้สึกของการอยากทำภารกิจหรือควาสงสัยใคร่รู้ โอกาสนี้ไม่มีทางมีมาบ่อยๆ ดังนั้นจึงกล่าวกับผู้ฝึกเซียนหลายคนตรงหน้า
“ในเมื่อสหายยุทธ์ผู้ฝึกเซียนผนึกชีพจรดินแล้วถูกมารปีศาจฉวยโอกาส หากไม่รังเกียจ ข้าคนแซ่จี้ขอร่วมเดินทางไปด้วย จะลงแรงกายแรงใจเต็มที่!”
ลมคลั่งที่เกิดขึ้นเพราะการเร่งเดินทางยังคงอยู่รอบประกายหมอก ผู้ฝึกเซียนหกคนจากเกาะหมอกเซียนสบตากัน มีคนพิจารณาจี้หยวนอยู่เรื่อยๆ เช่นกัน อีกทั้งจ้องมองบนตัวกระบี่เซียนที่มีจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมข้างหลังเขาเขม็ง
ชัดเจนว่านี่เป็นผู้ฝึกปราณกระบี่คนหนึ่ง หรือเรียกได้ว่าเป็นสหายยุทธ์ผู้ฝึกเซียนที่มีวิชาฝึกกระบี่ที่ไม่ธรรมดา อย่างไรเสียก็มีกระบี่เซียนเป็นที่พึ่ง ผู้ฝึกปราณประเภทนี้เชี่ยวชาญในการสังหารยิ่ง
แม้บอกว่าผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนทั้งหลายรู้ว่าทุกคนเก่งกล้าเพียงพอ แต่ในเมื่อสหายยุทธ์ท่านนี้มีเจตนาดี ก็นับว่ามีวาสนาที่ดีต่อกันแล้ว
ดังนั้นชายชราผู้นั้นตอบด้วยมารยาท
“ในเมื่อสหายยุทธ์มีเจตนาดีเช่นนี้ ก็ตามพวกข้าไปด้วยกันเถอะ!”
ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนอีกห้าคนก็กล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาทเช่นกัน คนที่ท่าทางเหมือนบัณฑิตคนหนึ่งในนั้นรู้สึกว่าตนเองแต่งกายคล้ายจี้หยวนที่สุดตอนนี้เอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นแล้วสหายยุทธ์เชิญเข้าใกล้ประกายหมอกของข้า อืม หวังว่าสหายยุทธ์จะไม่ต่อต้านการมาเยือนของประกายหมอก”
จี้หยวนเข้าใจแล้ว ที่แท้ผู้ฝึกเซียนกลุ่มนี้ใช้วิชาบางอย่าง เหาะเหินเดินทางแล้วยังใช้วิชาได้ ไม่ธรรมดาดังคาด
“ฮ่าๆ เดิมทีข้าคนแซ่จี้ไม่คิดต่อต้านอยู่แล้ว”
จี้หยวนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นขี่เมฆไปทางทั้งหกคน จากนั้นเมฆรุ้งถูกประกายหมอกกวาดผ่าน นอกจากรู้สึกว่ามีลมสดชื่นปะทะใบหน้าแล้วก็ไม่มีอะไรแปลก ไม่นานก็ลอยถึงข้างๆ ผู้ฝึกปราณที่แต่งกายเหมือนบัณฑิตเมื่อครู่
คนอื่นเห็นจี้หยวนเข้าสู่รัศมีประกายหมอกอย่างชำนิชำนาญแล้วก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอย่างอื่น ความระแวดระวังในใจลดน้อยลงบ้าง ทว่ายังคงลอบสังเกตจี้หยวนเช่นเดิม
ตอนย่างเข้าสู่รัศมีประกายหมอกที่ว่า จี้หยวนพบว่าประหยัดแรงบังคับเมฆไปได้เยอะมาก แทบไม่จำเป็นต้องให้เขาใช้พลังมากมายเพื่อรักษาความเร็วสม่ำเสมอเพื่อเหาะไปข้างหน้า
แต่ลองคิดดูก็ถูกต้อง คนจากเกาะหมอกเซียนรีบเหาะไปเป็นกำลังเสริม หากเสียพลังมากเกินไประหว่างเดินทาง เมื่อถึงที่หมายต้องหมดแรงแน่
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในเมื่อรัศมีประกายหมอกไม่ได้ส่งผลอะไรต่อจี้หยวน ตอนนี้ทุกคนจึงไม่คิดมากอีก ผู้ฝึกเซียนเกาะหมอกเซียนกลุ่มหนึ่งข้างหลังสงสัยผู้ฝึกปราณที่เพิ่งมาถึงอยู่บ้าง แต่นอกจากสนทนากันอยู่ข้างหลังแล้วก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอย่างอื่น ทั้งขบวนกลับสู่สภาวะเหาะเหินเร่งเดินทางอย่างสงบอีกครั้ง
ชายแต่งกายเหมือนบัณฑิตข้างกายจี้หยวนประสานมือให้เขาเล็กน้อย
“ข้าน้อยฉางอี้แห่งเกาะหมอกเซียน ท่านกับข้าแต่งกายคล้ายกัน ข้าคนแซ่ฉางจึงไม่เรียกท่านว่าสหายยุทธ์ ขอเรียกท่านว่าท่านจี้แล้วกัน”
จี้หยวนประสานมือให้เช่นกัน
“ข้าน้อยจี้หยวน ต้องรบกวนเจ้าแล้ว! ขอพูดตามตรงไม่ปิดยัง คนคุ้นเคยกันล้วนเรียกข้าเช่นนี้”
ฉางอี้ยิ้มพลางพยักหน้า สายตากวาดมองกระบี่เครือเขียวข้างหลังจี้หยวนก่อนเอ่ยภาม
“ข้างหลังท่านจี้คือกระบี่เซียนที่บ่มเพาะจิตวิญญาณใช่หรือไม่”
กระบี่เครือเขียวทำมุมหนึ่งแล้วขยับอยู่ข้างหลังจี้หยวน ฝ่ายจี้หยวนพยักหน้าตอบว่า
“เป็นกระบี่เซียนเล่มหนึ่งจริงๆ”
ด้ามกระบี่เซียนเล่มนี้มีเถาวัลย์พันไว้ ตรงหัวและท้ายยังมีหน่ออ่อน บนตัวกระบี่มีเถาวัลย์จำนวนน้อยเกิดขึ้น กอปรกับความคมปลาบที่อยู่ภายใน ยิ่งมองยิ่งมีแต่ความเขียวขจีไร้ที่สิ้นสุด
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง ยิ่งไม่มีปราณกระบี่เลยแม้แต่น้อย เมื่อออกจากฝักยิ่งมีอานุภาพไม่ธรรมดา
“ได้ยินชื่อเกาะหมอกเซียนมานานแล้ว ยังไม่เคยไปเห็นกับตา วันนี้นับว่าข้าคนแซ่จี้โชคดีนัก”
จี้หยวนถือโอกาสนี้ถามเรื่องของเกาะหมอกเซียน
ทั้งสองคนสนทนากัน ระหว่างการพูดคุยของฉางอี้และจี้หยวน มีผู้ฝึกเซียนที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกเป็นครั้งคราว นับว่าคุ้นเคยกันมากขึ้นแล้ว
สำหรับเซียนที่มีมรรควิถีไม่ต่ำต้อยชัดเจนอย่างจี้หยวน การไม่มีสังกัดไร้พรรคพวกอาศัยอยู่ในอำเภอเล็กๆ ถือว่าแปลกอยู่บ้าง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูดเช่นนี้ ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนอาจไม่มีทางเชื่อ ทว่าปราณบนกายจี้หยวนบริสุทธิ์ผ่องใส ย่อมมีความรู้สึกทำให้คนเชื่อถืออยู่แล้ว
ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือฉางอี้พลันพบว่าดวงตาจี้หยวนทั้งสองข้างไร้แวว อีกทั้งได้รับการยืนยันจากเจ้าตัวเอง นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับผู้ฝึกเซียน
ท้ายที่สุดแล้วใช่ว่าการงอกแขนขาที่ถูกตัดไปแล้วด้วยวิธีอภินิหารต่างๆ จะเป็นไปไม่ได้ ดวงตามืดบอดกลับมามองเห็นแจ่มชัดเป็นเรื่องที่ทำได้เช่นกัน แต่ดวงตาของจี้หยวนกลับบอดสนิท ต้องมีปัจจัยอะไรที่ไม่อาจควบคุมได้เป็นแน่
และสุดท้ายแล้วจี้หยวนก็รู้ว่าทั้งหกคนนี้เป็นผู้อาวุโสของเกาะหมอกเซียน ผู้ฝึกเซียนที่เป็นผู้นำในครั้งนี้อายุมากกว่าสามร้อยปี สำหรับผู้ฝึกเซียนแล้วนับว่าเป็นกลุ่มคนที่เก่งกาจเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นผู้ฝึกเซียนเกาะหมอกเซียน แทบทุกคนมีระดับพลังไม่ธรรมดา
อาจเป็นเพราะการมาถึงของจี้หยวน ผู้ฝึกปราณเกาะหมอกเซียนตั้งใจสำแดงวิชา ประกายหมอกปกคลุมทั่วท้องฟ้า แม้จี้หยวนที่ตัวอยู่ในประกายหมอกมองแล้วยังคงงดงาม แต่มองจากพื้นดินน่าจะมองไม่เห็นอะไรแล้ว
เร่งเดินอากาศด้วยความเร็วไม่หลับไม่นอนทั้งเช้าค่ำ ภูผาธาราภูมิประเทศข้างล่างเปลี่ยนผันครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดประมาณสิบวันให้หลังก็ถึงทางเหนือของทวีปเมฆา ข้างหน้าปรากฏภูเขาลูกใหญ่สูงแหลม ตอนนี้น่าจะเป็นเวลากลางวันแท้ๆ ทว่าด้านนั้นของภูเขากลับอยู่ในสภาวะมืดสลัวไร้เดือนไร้ตะวันอย่างสมบูรณ์
และลึกเข้าไปในภูเขา กลางความมืดมีแสงจ้ากะพริบเลือนราง
“พวกเรามาถึงแล้ว”
ชายชราผู้นำกลุ่มมีสีหน้าเครียดเคร่ง มองจี้หยวนที่มาถึงข้างกายแล้วกล่าว
“ท่านจี้ ขออาศัยความคมปลาบของกระบี่เซียนท่าน ทะลวงหมอกลวงตาที!”
“คิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว”
จี้หยวนตอบรับเสียงหนึ่ง มือขวาจับด้ามกระบี่เครือเขียวไว้แล้ว ตอนนี้อักษรวิญญาณบัญชาบนฝักกระบี่ปรากฏ ตัวอักษร ‘ซ่อน’ จางหายไปทันที
ทันใดนั้น
ชิ้ง…
กระบี่เพิ่งออกจากฝัก ประกายกระบี่สีขาวผ่องนำมาซึ่งปราณกระบี่ที่คมกริบไร้ขีดจำกัด ใช้อานุภาพที่แผ่ขยายออกไปทั่วผ่าไปทางดวงจันทร์ทันที
ตรงที่กระบี่ผ่านนั้น หมอกดำขมุกขมัวถูกแบ่งออกไปทางซ้ายขวาเหมือนกับหิมะละลาย
“ทุกท่าน สังหารปีศาจกำจัดมารด้วยกัน!”
ประกายหมอกพลันสว่างจ้า พากันลอยข้ามภูเขาไป