บทที่ 354 ศึกเดียวสร้างอำนาจ
ประกายเย็นเยียบก่อขึ้นในดวงตาสวี่ชิง จากมือขวาที่ยกขึ้น เงาร่างหนึ่งก็ถูกเขาคว้าคอเอาไว้จากมิติข้างหลัง แล้วกระชากมาทันที
เงาร่างนั้นดิ้นรน แต่ก็ไร้ประโยชน์ เสี้ยวพริบตาต่อมาก็ปรากฏชัดเจน เป็นหลี่จื่อเหลียงนั่นเอง เพียงแต่ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว
มือของสวี่ชิงมีพิษ
ในพริบตาที่สัมผัสหลี่จื่อเหลียง อีกฝ่ายก็ถูกพิษแล้ว กำลังเน่าเปื่อย
และหลี่จื่อเหลียงอีกคนหนึ่งที่หนีไปที่ไกลคนนั้น ร่างรางเลือนเริ่มสลายไป
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่! เป็นไปไม่ได้! อีกทั้งในใจเจ้าตอนนี้ก็ไม่มีความสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น เจ้า…เจ้าผ่านเรื่องราวในอดีตอะไรมา ทำไมจิตใจถึงแข็งแกร่งมั่นคงเช่นนี้!!”
หลี่จื่อเหลียงที่ถูกสวี่ชิงคว้าคอเอาไว้ในดวงตาฉายความหวาดกลัวและไม่อยากเชื่อ ร้องตื่นตกใจเสียงหลง
ภาพเมื่อครู่นี้หากเปลี่ยนเป็นคู่ต่อสู้ที่เคยพบเจอ ส่วนมากหน้าเปลี่ยนสี ล้วนแต่ไล่ตามมาสังหารโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ในเมื่อทุกคนล้วนมีความลับกันทั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ตอนนี้คือถูกคนล่วงรู้ความลับแล้ว
ขณะเดียวกันคำพูดกำกวมก็เต็มไปด้วยความคิดที่ชวนสงสัย คนอื่นได้ยินล้วนเกิดจิตฟุ้งซ่านไปตามสัญชาตญาณ ความสนใจก็จะอยู่ที่เงาร่างที่หลบหนีไปของตน ไล่โจมตี
และนี่ก็คือเป้าหมายของเขา!
หลี่จื่อเหลียงไม่มีความสามารถในการอนุมานใดๆ และไม่สามารถพยากรณ์ได้ แต่เคล็ดวิชาลับของสำนักเซียนล้ำบารมีใช้เขตแดนจิตเป็นหลัก
แต่เขายังฝึกฝนเขตแดนจิตไม่ได้ ถึงแค่ระดับจิตคำนึงเท่านั้น
จิตคำนึงที่ว่าไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษร แต่เป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น อักษรจิตเพียงตัวเดียวก็รวมไว้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกมากมาย
พูดให้ถูกต้องคือจิตที่เขาฝึกฝนคือจิตคิดสงสัย ใครก็ตามที่มีจิตเป็นปฏิปักษ์กับเขา ในใจก็จะเกิดความสงสัย เช่นนั้นเขาก็จะสัมผัสความคิดสงสัยนี้ได้ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นไพ่ตายของตัวเอง ทำให้วิญญาณของศัตรูวอดวายไปเอง
ที่ผ่านมาเขาใช้วิธีนี้สังหารคนไปไม่น้อย นอกจากตอนที่เผชิญหน้ากับจางซืออวิ้น คนอื่นๆ ล้วนปราชัยให้กับเขา
เดิมเขาคิดว่าวันนี้ก็ทำได้เช่นเดิม ขอเพียงในใจสวี่ชิงเกิดจิตฟุ้งซ่าน เขาก็จะสำแดงไพ่ตายของตัวเองได้ ขอเพียงสวี่ชิงพุ่งตัวออกไปจับเป้าหมายที่ร่างแยกของตน เขาก็จะแอบลงมือได้ รวมกับไพ่ตายทำการโจมตีสังหาร
แต่วันนี้ เขาพบกับความล้มเหลวเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกเขายังรอดมาได้ แต่ครั้งที่สองครั้งนี้ เขาไม่รอดแล้ว
สวี่ชิงไม่มีนิสัยพูดอธิบายกับศัตรู ขณะที่หลี่จื่อเหลียงดิ้นรนและเน่าเปื่อย มือขวาของเขาก็โปร่งแสงทันที ล้วงเข้าไปในวังสวรรค์ของอีกฝ่าย เพียงคว้า เขาก็เอาแก่นลมปราณวังสวรรค์ที่เหมือนลูกแก้วสี่ลูกออกมาทันที
เสียงคร่ำครวญน่าเวทนาดังไปทั่ว ในยามวิกฤตชีวิตเป็นตายรุนแรง ในดวงตาหลี่จื่อเหลียงฉายแววสิ้นหวัง เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“มีคนให้ข้าหยั่งเชิงเจ้า ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าจึงท้าประลองไป สวี่ชิงเจ้าอย่าฆ่าข้า ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะบอกเจ้าว่าเป็นใคร…”
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง กริชปรากฏขึ้นในมือซ้าย ปาดไปที่คอหลี่จื่อเหลียงเพียงครั้งเดียว
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ไหลทะลักเป็นสาย เกิดหมอกขาวเป็นระลอกๆ
เลือดอาบย้อมเสื้อผ้า รินหลั่งลงพื้น เทียบกับหิมะขาวแล้ว เป็นหยดๆ ดวงๆ เด่นชัดนัก
หลี่จื่อเหลียงกุมคอ มองสวี่ชิงอย่างอึ้งตะลึง ในดวงตาแฝงด้วยความไม่อยากเชื่อ เหมือนว่าเขาไม่เข้าใจว่าทำไมสวี่ชิงจึงไม่หยุดมือจากสิ่งที่ตนพูด
ในเมื่อหากเป็นคนอื่น ตอนนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องถามสักประโยค
แม้เขาจะไม่กล้าพูดว่าคนคนนั้นเป็นใคร แต่เขาแกล้งปั่นหัวได้ พูดชื่ออื่นออกมากำจัดเคราะห์ภัยออกไป อีกทั้งเขายังคิดดีแล้วด้วยว่าจะพูดชื่อใคร ยกตัวอย่างเช่นพ่อของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ยกตัวอย่างเช่นสหายร่วมสำนักของสวี่ชิง
หากสำเร็จย่อมดีที่สุด หากไม่สำเร็จก็ใช้การนี้แลกมาซึ่งความสงสัยของอีกฝ่าย ทำการฆ่าล้างสังหารของตนที่ยังไม่ได้ดำเนินให้สำเร็จ
แต่สวี่ชิงกลับไม่มีความคิดที่จะฟังใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้การวางแผนทุกอย่างของเขาสูญเปล่า
ดังนั้น ตอนนี้ในดวงตาของเขามีความอาฆาตแค้นปรากฏขึ้น แค่ความอาฆาตแค้นนี้ไร้ซึ่งราก สุดท้าย จากการล้มลงของเขา ทุกอย่างล้วนกลายเป็นความเสียดายเคียดแค้น
ความจริงเขาเสียใจภายหลังแล้ว
เสียใจว่าไม่ควรละโมบอยากได้ประโยชน์ที่คนคนนั้นมอบให้ ไปช่วยอีกฝ่ายหยั่งเชิงสวี่ชิง ท้าประลองหลายต่อหลายครั้ง ยิ่งบีบบังคับให้สวี่ชิงขอโทษ ทำให้ไม่สู้ไม่ได้
เขาเสียใจว่าตนไม่ควรละโมบ คิดว่าศึกนี้มีโอกาสชนะ
เขายิ่งเสียใจว่าตนไม่ควรสนใจศักดิ์ศรีหน้าตา รับศึกประลองเป็นตายครั้งนี้
แต่ทุกอย่างก็สู้ความเคว้งคว้างสับสนของเขาไม่ได้ จวบจนเขาตายไปก็ไม่รู้ว่าทำไมตั้งแต่ต้นจนจบ สวี่ชิงก็ไม่มีความคิดสังสัยเลย
และตอนนี้ ทุกอย่างของทุกอย่างกลายเป็นความอาฆาตแค้น ล้วนกลายเป็นอดีตไปแล้ว
ฟ้าดินมืดดำไปต่อหน้าเขา เหมือนว่ามีคนปิดม่านให้กับเขา
นอกเมืองเงียบสงัด
มีเพียงหิมะล่องลอยที่ถูกลมหอบม้วนโปรยปรายไปในฟ้าดิน ร่วงหล่นมาบนศพ ปกคลุมเลือดสดๆ
ไม่นานนัก…บนพื้นก็ไม่เห็นเลือด มีเพียงร่างของหลี่จื่อเหลียงที่แน่นิ่งไม่ไหวติง
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง คำพูดก่อนตายของอีกฝ่ายเขาได้ยินแล้ว แต่คำพูดที่คนคนนี้พูดออกมา เชื่อได้แต่ก็เชื่อไม่ได้
เขาเชื่อว่ามีคนบงการจริงๆ เพราะนี่ตรงกับการวิเคราะห์ของเขาก่อนหน้านี้
แต่เขาไม่เชื่อชื่อที่หลี่จื่อเหลียงพูดออกมาเลย
ท้ายที่สุดแล้วคือคนที่สวี่ชิงเชื่อมีน้อยมาก ดังนั้นหลายครั้งเขาเชื่อเพียงตัวเอง
เพราะเห็นได้ชัดว่า คนที่สามารถจัดการให้หลี่จื่อเหลียงมาหยั่งเชิงได้ จะต้องเป็นคนที่หลี่จื่อเหลียงไม่อาจปฏิเสธได้ หากพูดชื่อออกมาจริงๆ ต่อให้หลี่จื่อเหลียงรอดไปได้ ในอนาคตก็จะต้องอนาถแน่นอน
ดังนั้นชื่อที่พูดออกมาเป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นเท็จ
ใช้ชื่อปลอมมาแลกชีวิต สวี่ชิงคิดว่าไม่คุ้ม
นี่ก็คือนิสัยของเขา และเป็นความเคยชินของเขาเช่นกัน ในยามที่สัมผัสได้ถึงอันตรายแต่กลับไม่หาเป้าหมายที่มีจิตปฏิปักษ์ จัดการหักเขี้ยวเล็บที่อีกฝ่ายยื่นมาด้วยท่าทีที่โหดเหี้ยมทำลายล้างสังหาร ก็เป็นการกำราบสยบอย่างหนึ่ง
ส่วนคำตอบที่ทำให้หลี่จื่อเหลียงเคว้งคว้างสับสนก่อนตาย อันที่จริงก็ง่ายมาก
เหมือนที่เขาไม่เชื่อคำที่อีกฝ่ายพูดมาเพื่อขอชีวิตรอด เขาเชื่อตัวเอง เชื่อการวิเคราะห์ของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือเชื่อความทรงจำของตัวเอง
“สวี่ชิง ข้าหาเจ้ามาตั้งนานแล้ว ความแค้นระหว่างเรา เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่…”
นี่เป็นประโยคแรกของหลี่จื่อเหลียง แต่เขาไม่รู้ว่าศัตรูของสวี่ชิงล้วนถูกสลักบนตำราไม้ไผ่ เขามักจะเอามาดูบ่อยๆ ลืมอะไรก็ไม่มีทางลืมศัตรูแน่นอน
“ข้ารู้ว่าทำไมเจ้าถึงจำข้าไม่ได้ ในตัวเจ้า…เจ้าถูก…”
ประโยคที่สองยิ่งยากจะสร้างระลอกคลื่นอารมณ์ให้กับสวี่ชิงได้แม้เพียงน้อยนิด เพราะเขาเก็บซ่อนความลับจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
สิ่งที่ได้กลับมาคือความมั่นใจในความลับของตัวเองอย่างหนึ่ง นอกเสียจากอีกฝ่ายจะพูดออกมาตรงๆ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาไม่มีทางหวั่นไหวแม้แต่น้อย
สรุปแล้วไม่ใช่พลังของวิชากระตุ้นจิตของหลี่จื่อเหลียงไม่แข็งแกร่งพอ แต่เขาไม่เข้าใจสวี่ชิง ไม่อาจพูดคำที่ทำให้สวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ได้อย่างแท้จริง
“ดีแต่ชื่อ” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ นี่เป็นคำพูดเพียงประโยคเดียวที่เขาพูดนับตั้งแต่ที่ต่อสู้มา
ขณะเดียวกัน หลังจากที่เงียบสงัดไปครู่หนึ่ง เสียงฮือฮาในเมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็ดังท่วมฟ้า ยิ่งมีเสียงร้องตื่นตกใจดังออกมาจากปากของลูกศิษย์สำนักต่างๆ ที่อยู่กลางอากาศพวกนั้น
“ตายแล้วหรือ”
“นี่…นี่จะเร็วเกินไปแล้ว! บดขยี้วังสวรรค์ ปาดคอหอยในทีเดียว เฉียบขาดเป็นอย่างยิ่ง!”
“เขาช่างกล้าจริงๆ !!”
“จะหาเรื่องสวี่ชิงคนนี้ไม่ได้ คนคนนี้โหดเหี้ยมอำมหิต ลงมือก็สังหารคน อีกทั้งยังโหดเหี้ยมนัก…ร้ายกาจยิ่ง! สมแล้วที่เป็นบุคคลที่ได้รับสิทธิพิเศษที่มีเพียงระดับผู้สืบมรรคาถึงจะได้ของพันธมิตรแปดสำนัก”
เสียงตื่นตะลึงดังออกมาไม่ขาดสาย คำวิพากษ์วิจารณ์เล่าลือฮือฮา ทั่วทั้งในเมือง ลูกศิษย์ที่มาจากสำนักต่างๆ ทั่วสารทิศตลอดจนผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่นี่ ล้วนตื่นตะลึง
ทั้งตกใจกับความเร็วในการลงมือของสวี่ชิง และตกใจกับความโหดเหี้ยมของเขา พวกเขามองวิชาพรางมารยาชิงมรรคาไม่ออก แต่เห็นการแห้งเหี่ยวไปของศพหลี่จื่อเหลียงและความน่าสังเวชเวทนาก่อนตาย
นี่ทำให้พวกเขาจินตนาการได้ว่า หลี่จื่อเหลียงในตอนนั้นเจ็บปวดเพียงใด
และความโหดเหี้ยมจากการปาดคอหอยในทีเดียวก็ยิ่งทำให้ในใจของคนสั่นสะท้านพรั่นพรึงไปโดยสัญชาตญาณ เหมือนว่าสวี่ชิงที่อยู่ตรงนั้น ในสายตาของพวกเขาได้กลายเป็นเทพปีศาจโหดเหี้ยมไปแล้ว
ทุกอย่างนี้ทำให้คนทั้งหลายต่างเคร่งเครียด โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์พวกนั้นยิ่งเป็นเช่นนี้ ในดวงตาที่มองมาทางสวี่ชิงแฝงด้วยความขยาดหวาดกลัวลึกๆ
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่นำกลุ่มมาของสำนักต่างๆ ก็ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ อีกทั้งยังมีจำนวนไม่น้อยที่มองไปทางฐานที่มั่นสำนักเซียนล้ำบารมีและพันธมิตรแปดสำนัก
สำนักเซียนล้ำบารมีเงียบสงัด
พันธมิตรแปดสำนักก็เช่นกัน
พวกเขาล้วนกำลังรอ ต่อให้เรื่องนี้กระจ่างชัดแล้ว อีกทั้งก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเช่นกัน แต่ที่นี่ก็ยังต้องรอให้โถงครองกระบี่บนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะสรุป
เวลาไม่นานนักเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งก็ดังมาจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
“เป็นเจ้าหนูที่กำเริบเหิมเกริมทั้งยังฆ่าล้างเด็ดขาดจริงๆ!”
“หากเป็นยุครุ่งโรจน์สุขสงบ นิสัยของเจ้าเช่นนี้จะต้องมีชีวิตไม่ยืนยาวแน่นอน แต่ตอนนี้…บุคคลที่โถงครองกระบี่ต้องการก็คือลูกหมาป่าเช่นนี้!”
“สำนักเจ็ดเนตรโลหิตมีต้นกล้าต้นงามต้นหนึ่ง”
“เจ้าหนู การทดสอบในภายภาคหน้า ข้าจะเฝ้ารอผลคะแนนของเจ้า!”
เสียงดังก้องสะท้อนไปทั่ว ในพันธมิตรแปดสำนักมีเสียงหัวเราะของเสี่ยเลี่ยนจื่อดังมา
“สวี่ชิง ยังไม่ขอบคุณคำชมเชยของใต้เท้าอีก”
สวี่ชิงได้ยินดังนั้น ในใจยังลังเลกับคำวิจารณ์ที่บอกว่ากำเริบเหิมเกริมคำนี้อยู่ ในใจมีการคาดเดาอย่างหนึ่ง จากนั้นก็โค้งคารวะไปทางท้องฟ้า
“ขอบพระคุณใต้เท้าขอรับ!”
เรื่องนี้สรุปแน่ชัดแล้วจากการเอ่ยปากของโถงครองกระบี่ อย่างไรเสียแม้เรื่องการต่อสู้สังหารนอกเมืองในคืนก่อนการทดสอบครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้น แต่ในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้
แม้โถงครองกระบี่จะไม่เคยยอมรับ และไม่มีทางสนับสนุนส่งเสริม แต่หากลงมือจริงๆ ก็ไม่นับว่าผิดกติกา
เรื่องนี้เสี่ยเลี่ยนจื่อรู้ สำนักเซียนล้ำบารมีก็รู้เช่นกัน
และความคิดของสำนักก็ไม่มีทางเผยออกมาตื้นๆ ภายนอกแน่นอน ดังนั้นไม่นานนัก สำนักเซียนล้ำบารมีก็มีผู้บำเพ็ญมาเก็บศพของหลี่จื่อเหลียงไป
สวี่ชิงก้าวไปในเมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะอีกครั้ง เพียงแต่การย่างก้าวเข้าไปครั้งนี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้า
ก่อนหน้านี้ ทุกคำพูดทุกการกระทำของเขาไม่เป็นที่จับตามองอย่างละเอียด เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เขาหลบเลี่ยงการท้าประลองเสียมากกว่า ส่วนตอนนี้ทุกที่ที่เขาผ่าน สิ่งที่เกิดขึ้นตามาคือความยำเกรงและการถอยหลีก
ไม่มีใครคิดว่าเขาหลบเลี่ยงการท้าประลองอีกต่อไป กลับเข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้สวี่ชิงจึงปฏิเสธ เพราะการประลองของพญาเหยี่ยวกับลูกไก่ ย่อมน่าเบื่อ
และบนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะตอนนี้ ที่หน้าตำหนักโถงครองกระบี่มีคนสองตนยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งสองคนนี้คนหนึ่งเป็นชายชรา คนหนึ่งเป็นชายกลางคน พวกเขากำลังทอดสายตามองมายังพื้น สายตาจับจ้องร่างของสวี่ชิง
หากสวี่ชิงอยู่ตรงนี้ก็จะจำทั้งสองท่านนี้ได้
ชายชราเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สู้กับเทพวิญญาณโยวจิงในตอนนั้น ชายกลางคนก็ปรากฏตัวที่เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาเช่นกัน คือผู้บำเพ็ญที่ทรงนำอาจน่าเกรงขามไม่ธรรมดา พลังบำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสองที่สู้กับเทพวิญญาณโยวจิงนั่นเอง
“คือเจ้าหนูคนนี้อย่างนั้นหรือ” ชายกลางคนที่ทรงอำนาจน่าเกรงขามไม่ธรรมดาสวมชุดขุนนางเช่นกัน มองสวี่ชิงที่อยู่บนพื้นแวบหนึ่ง เอ่ยราบเรียบ