ยามเห็นเงาร่างหลินสวิน ได้ยินคำว่า ‘อับจนหนทาง’ ในคำพูดเขา หยางชางเซิงรู้สึกเพียงในใจมีความเจ็บแค้นอย่างบอกไม่ถูกขยายตัวอยู่
ตอนนี้จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว…
ตอนนั้นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลมาเยือนน่านฟ้าที่เก้า เคยประกาศว่ายามมรรคายอดอมตะปรากฏ จะต้องทำลายความรู้ความเข้าใจที่เคยมีมาทั้งหมด พลิกการคาดเดาของผู้คนทั่วหล้า!
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหยางหรือเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลอื่นล้วนดูแคลนคำพูดนี้ ไม่เคยใส่ใจสักนิด
เพราะไม่มีใครคิดว่าฐานะของเผ่าเทพนิรันดร์จะถูกสั่นคลอนและพลิกตลบได้!
ต่อให้ ‘มรรคายอดอมตะ’ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในหมื่นกาลนั้นปรากฏขึ้นจริงๆ ก็ไม่สามารถ!
แต่ตอนนี้…
ใครยังจะกล้าคิดว่าตอนนั้นเป็นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลคุยโว
ความรู้ความเข้าใจที่มีมาในอดีตถูกทำลายลงวันนี้
สิ่งที่ไม่อาจถูกสั่นคลอนได้ ถูกซัดทำลายในที่สุด!
ดูตระกูลหยางในวันนี้ก็รู้แล้วว่าหลินสวินที่เหยียบย่างลงบนมรรคายอดอมตะและแจ้งมรรคนิรันดร์แล้ว ในตอนนี้แข็งแกร่งปานไหน
ความแกร่งกล้าในพลังต่อสู้ของเขาทำลายความเข้าใจในอดีตทั้งหมด
การปรากฏตัวของเขาก็มีพลังที่สามารถคว่ำเผ่าเทพนิรันดร์ได้!
คิดถึงตรงนี้หยางชางเซิงเหลือเพียงความระทมและไร้ทางสู้อยู่เต็มอก
ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้…
สิ่งที่โหดร้ายที่สุดในโลกนี้ก็คือคำว่าเสียใจภายหลังอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ยามความสิ้นหวังมาเยือนมักเกิดความคิดเสียใจภายหลังอย่างอดไม่ได้ อดคิดไม่ได้ว่าหากก่อนหน้านี้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ตอนนี้อาจจะมีผลลัพธ์ที่ต่างออกไป
และเรื่องเสียใจภายหลังย่อมไม่อาจแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้
นี่ก็คือจุดที่โหดร้ายที่สุด!
“หลินสวิน น่านฟ้าที่เก้านี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะสั่นคลอนได้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหยางของข้าหรือเผ่าเทพนิรันดร์อื่น ต่อให้ถูกเจ้าพิชิตทุกตระกูลไป แต่เจ้าอย่าลืมเล่า คนในตระกูลเผ่าเทพนิรันดร์กระจายอยู่ทั่วหล้า และอย่าลืมว่าถ้าพวกผู้อาวุโสที่ไปแหล่งสถานคุนหลุนเหล่านั้นรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในน่านฟ้าที่เก้า เจ้าคิดว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร”
หยางชางเซิงเอ่ยเสียงแหบแห้ง
หลินสวินพูดเสียงเรียบ “ถ้าไม่มีระเบียบระดับเทพแล้ว เผ่าเทพนิรันดร์จะยังเรียกว่าเผ่าเทพนิรันดร์ได้ไหม”
หัวใจหยางชางเซิงกระตุกอย่างแรง
คำพูดเดียวของหลินสวินจู่โจมเขาตรงๆ!
ในน่านฟ้าที่เก้ามีทั้งเผ่าเทพนิรันดร์และเผ่าเทพอมตะ ความแตกต่างของทั้งสองก็อยู่ที่เผ่าเทพนิรันดร์ครอบครองระเบียบระดับเทพ แต่เผ่าเทพอมตะไม่มี
พูดได้ว่าระเบียบระดับเทพก็คือรากฐานของตระกูลในเผ่าเทพนิรันดร์ หากไม่มีรากฐาน ต่อให้ตระกูลนี้ยังดำรงอยู่ก็ไม่คู่ควรกับคำว่า ‘นิรันดร์’ แล้ว
อันที่จริงหากไม่มีระเบียบระดับเทพก็ไม่มีโอกาสให้ฟูมฟักระดับนิรันดร์ได้อีกอยู่แล้ว จะฟื้นคืนความรุ่งเรืองแต่ก่อนเก่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง
หลินสวินเอ่ย “ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ ตระกูลหยางของพวกเจ้าควบคุมพื้นที่แถบหนึ่ง ทำให้ผู้คนมากมายสยบอยู่แทบเท้า เจ้ามีฐานะเป็นผู้นำตระกูลควรรู้ดีที่สุด ว่าในวันเวลาเหล่านี้คนในตระกูลหยางของพวกเจ้าสร้างเรื่องให้สวรรค์ชิงชังผู้คนคั่งแค้นไปเท่าไร”
“ถึงขั้นว่าสรรพชีวิตในโลกนี้ ต่อให้ถูกพวกเจ้าตระกูลหยางทำร้ายจนบ้านแตกสาแหรกขาดก็ยังไม่กล้าแค้นเคืองหรือชิงชัง และย่อมไม่กล้าไปทวงแค้น”
“แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในอดีตทั้งนั้น ต่อให้เกิดขึ้นมากมายเพียงไหนตระกูลหยางของพวกเจ้าก็ไม่สนใจสักนิด แต่ถ้าคนบนโลกนี้รู้ถึงเคราะห์ที่ตระกูลหยางประสบในวันนี้ เจ้าลองเดาดูว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
ฟังจบสีหน้าหยางชางเซิงซีดเผือดดั่งบิดามารดาสิ้นชีพ ไอรีนโนเวล
นี่ยังต้องคิดอีกหรือ
ยามไม้ใหญ่อย่างตระกูลหยางล้มลง ผู้คนนับไม่ถ้วนที่ไม่กล้าโกรธแค้นไม่กล้าปริปากในอดีตจะต้องฉวยโอกาสเคลื่อนไหว แก้แค้นคนตระกูลหยางอย่างรุนแรงแน่!
ไม่ต้องให้หลินสวินลงมือสักนิด คนตระกูลหยางที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วหล้าเหล่านั้นจะต้องเหมือนหมาจนตรอก ผู้คนพร้อมใจกันไล่ตี จุดจบน่าอนาถ!
หลินสวินเอ่ยต่อ “ส่วนพวกคนร้ายกาจที่มุ่งหน้าไปแหล่งสถานคุนหลุนที่เจ้าพูดถึงเหล่านั้น ถ้าพวกเขาไม่กลัวภัยคุกคามของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพจะออกไปแต่เนิ่นๆ ได้หรือ ในเมื่อจากไปแล้ว คิดจะกลับมาก็ไม่ใช่ทำได้ทันที”
เขาเว้นช่วงไป จับจ้องหยางชางเซิง “ข้าถามเจ้าหน่อย สำหรับเฒ่าชราพวกนั้นแล้ว ระหว่างชิงโอกาสไปแหล่งสถานอัศจรรย์แล้วมีชีวิตอยู่ต่อ กับการกลับมาน่านฟ้าที่เก้าโดยไม่สนใจสิ่งใดเพื่อเก็บกวาดความเละเทะที่ไม่อาจกู้คืนได้ เรื่องไหนสำคัญกว่า”
ไม่รอให้หยางชางเซิงเอ่ยปาก หลินสวินก็ตอบเองแล้วว่า “สำหรับเจ้าแล้วการแก้แค้นให้พวกเจ้าตระกูลหยางย่อมสำคัญกว่า แต่สำหรับเฒ่าชราพวกนั้น ต่อให้แค้นข้าหลินสวินเข้ากระดูกดำ ก็ย่อมไม่มีทางทิ้งโอกาสรอดชีวิตไปเพราะความเจ็บปวดชั่วครั้งชั่วคราวแน่”
หยางชางเซิงเอ่ยเสียงแหบแห้ง “เจ้าพูดมากขนาดนี้ทำไม จะบอกข้าว่าตระกูลหยางของข้าจบสิ้นแล้วหรือ”
หลินสวินพูด “ผิดแล้ว ข้าแค่อยากเห็นว่าตกลงเจ้าจนตรอกจริงๆ หรือไม่ ตอนนี้ดูท่าในมือเจ้าคงมีไพ่ตายที่ยังไม่ใช้อยู่ หาไม่เกรงว่าจะไม่ทนฟังข้าพูดแบบนี้แล้ว…”
หยางชางเซิงอึ้งไป พลันคำรามดังลั่นว่า “หลินสวิน เจ้าต้องไม่ตายดี!!”
เวลาเดียวกันพลังน่าครั่นคร้ามหาใดเทียบที่อยู่ในร่างเขาก็แผ่ออกมาทันที
ตูม!
จากนั้นร่างของหยางชางเซิงก็ระเบิดออก กระทั่งพลังกฎระเบียบตะวันไพศาลที่ผนึกฟ้าดินแห่งนี้ไว้ยังถูกจู่โจม ซัดทลายเหมือนกระแสน้ำ
หลินสวินถอยออกมาทันที
เขาเห็นรูปจำลองเจตจำนงร่างหนึ่ง แข็งแกร่งหาใดเทียบ ทั้งร่างอบอวลด้วยอานุภาพคับฟ้า ระดับนิรันดร์ขั้นล่วงกฎยังไม่อาจเทียบได้
“ชางเซิง!!”
รูปจำลองเจตจำนงนี้ส่งเสียงกราดเกรี้ยว
เขารูปร่างผอมแห้ง สวมชุดเขียว หนวดผมสีดอกเลา หน้าตาเหมือนชายหนุ่ม แต่ดวงตากลับอบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลาหนาแน่น
หยางสวินเทียน!
ระดับนิรันดร์ขั้นไร้ขอบเขตคนหนึ่งในเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยาง และสิ่งที่สะท้อนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ก็คือรูปจำลองเจตจำนงของหยางสวินเทียน
ขั้นไร้ขอบเขต!
นี่เป็นยอดบุคคลที่ข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เป็นอัครบุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมรรคานิรันดร์!
ต่อให้เป็นเพียงรูปจำลองเจตจำนงร่างหนึ่ง หลินสวินก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอึดอัดที่ตีกระทบหน้าเข้ามา ร่างกายยังเริ่มตึงเครียด
กลิ่นอายแข็งแกร่งนัก!
เขานัยน์ตานิ่งขึง
“หลินสวิน ที่แท้ก็เป็นเจ้า…”
ผ่านไปครู่หนึ่ง รูปจำลองเจตจำนงของหยางสวินเทียนก็มองหลินสวินด้วยสายตาน่าสะพรึง เขาถึงกับระบุตัวตนของหลินสวินได้ในชั่วขณะเดียว
เขามองดูแท่นบูชาเก่าแก่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป นั่นเป็น ‘ทางหนี’ ที่บรรพชนตระกูลหยางทิ้งไว้
จากนั้นก็มองกระบี่มรรคที่แปลงมาจากกฎระเบียบตะวันไพศาลในมือหลินสวินเล่มนั้น หว่างคิ้วมีแต่แววเย็นเยียบ
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตระกูลหยางตอนนี้ประสบมหาเคราะห์ที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว
และจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าถ้าไม่ใช่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน หยางชางเซิงมีหรือจะใช้รูปจำลองเจตจำนงที่ตนทิ้งไว้
“ดูออกว่าเจ้าก็คือไพ่ตายใบใหญ่ที่สุดที่ตระกูลหยางมีแล้ว”
ยามนี้หลินสวินกลับเยือกเย็นนัก นี่จึงจะปกติ หากตนเป็นระดับนิรันดร์ขั้นไร้ขอบเขต ยามไปแหล่งสถานคุนหลุนก็ต้องทิ้งรูปจำลองเจตจำนงไว้สักร่างหนึ่งเพื่อปกป้องตระกูล
“ฮ่าๆ หรือเจ้ายังคิดว่าตัวเองยังจะรอดชีวิตได้”
รูปจำลองเจตจำนงหยางสวินเทียนหัวเราะกราดเกรี้ยว
เขาลงมือทันที เมื่อยื่นมือออกไปฟ้าถล่มดินทลาย พลังกฎระเบียบนับไม่ถ้วนพลันควบรวมเป็นทวนศึกเล่มหนึ่งแทงเข้าใส่หลินสวินอย่างจัง
นี่น่ากลัวนัก เพียงยื่นมือออกไปพลังกฎระเบียบก็ปรากฏ ถูกควบรวมเป็นศาสตรามรรคได้ดั่งใจ!
ตูม!
ทวนศึกโฉบไปในอากาศ ความแกร่งกล้าของอานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาน่าสะพรึงเกินจินตนาการ
หลินสวินจะกล้าชักช้าได้อย่างไร พลังขับเคลื่อนบนร่างส่งเสียงดังสนั่นเหมือนเตาหลอมลุกโชนเดือดพล่าน ใช้กระบี่มรรคที่แปลงจากต้นกำเนิดกฎระเบียบตะวันไพศาลในมือเข้าโจมตี
ปัง!
ท่ามกลางเสียงปะทะสะท้านฟ้าดิน ตัวหลินสวินยังถูกซัดจนถอยหลังออกไปสองสามร้อยจั้ง ห้วงอากาศยุบตัวเป็นรอยแยกตรงแน่วในทุกที่ที่ผ่าน
กลิ่นอายทั้งร่างเขาปั่นป่วน สูดหายใจสะท้าน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา
อย่าเห็นว่าหยางสวินเทียนเป็นแค่รูปจำลองเจตจำนงร่างหนึ่ง แต่อานุภาพของขั้นไร้ขอบเขตนั้นเหนือกว่าขั้นล่วงกฎไปไกล!
“ฆ่า!”
หยางสวินเทียนตวาด แกว่งทวนศึกโจมตี แสงมรรคนิรันดร์ทั้งตัวเชื่อมฟ้าจรดดิน ถาโถมปลดปล่อยประหนึ่งเทพพิโรธ
เห็นชัดว่าสิ่งที่ตระกูลหยางประสบทำให้เขาโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด ยามลงมือจึงไม่ยั้งมือสักนิด
ตูม!
หลินสวินเรียกกายมรรคไม้เขียวออกมาโดยไม่ลังเล ให้กายมรรคไม้เขียวกระตุ้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ส่วนร่างต้นของเขาควบคุมกระบี่มรรคที่แปลงจากต้นกำเนิดระเบียบตะวันไพศาล กระโจนไปหาหยางสวินเทียนด้วยกัน
ศึกใหญ่ปะทุ ทำให้ฟ้าดินแห่งนี้จมสู่ความพังพินาศทันที ทุกอย่างคล้ายจมสู่ยุคแรกกำเนิด ทุกที่เต็มไปด้วยปราณกระบี่ เสียงปะทะห้ำหั่นน่ากลัวดังสนั่นดุจอสนีบาตเก้าชั้นฟ้า
ครู่สั้นๆ
ตูม โครม…
หลินสวินกับกายมรรคไม้เขียวของเขาต่างถูกซัดถอยออกมา สีหน้ายิ่งเคร่งเครียดขึ้น
ครั้นหันมองดูรูปจำลองเจตจำนงหยางสวินเทียน อานุภาพยิ่งโชติช่วงและน่ากลัว โซ่เทพกฎระเบียบมากมายไหลลู่ลงมาทั่วร่าง ทวนศึกในมือคมกริบไร้ทัดเทียม
“ฆ่า!”
หยางสวินเทียนพุ่งมาอีกครั้ง แค่อานุภาพล้วนสามารถบดขยี้ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ต่ำกว่าระดับนิรันดร์ทั้งหมดบนโลกได้อย่างง่ายดาย ต่อให้เป็นระดับนิรันดร์ขั้นล่วงกฎทั่วไปยังถูกเขย่าขวัญ
แม้พลังต่อสู้ของหลินสวินจะเย้ยฟ้ายิ่ง แค้ในสถานการณ์ที่ใช้กายมรรคไม้เขียวแล้วก็ยังรู้สึกเปลืองแรงยิ่งนัก
ห่างชั้นกันไกล!
“ทะยาน!”
เมื่อเห็นว่าหยางสวินเทียนพุ่งเข้ามา หลินสวินก็สำแดงกายมรรคเพลิงแดงออกมาโดยไม่ลังเล เข้าโจมตีรูปจำลองเจตจำนงของหยางสวินเทียนพร้อมกัน
แต่เช่นนี้แล้วก็ยังไม่ไหว!
พลังที่หยางสวินเทียนครอบครองอยู่ในขั้นไร้ขอบเขต ต่อให้เป็นเพียงรูปจำลองเจตจำนง อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาก็แข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการได้
เพียงครู่สั้นๆ เท่านั้นหลินสวินกับร่างแยกทั้งสองก็ถูกกดข่มอีกครั้ง!
‘สมควรตาย แค่รูปจำลองเจตจำนงเท่านั้นทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้…’ หลินสวินยังหน้าเปลี่ยนสีไปบ้าง
เขาตระหนักได้ถึงปัญหาหนึ่งว่าตนประเมินพลังที่ขั้นไร้ขอบเขตมีต่ำเกินไป ผู้ที่เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาอย่างน้อยหนึ่งครั้งเช่นนี้ ไม่ได้ธรรมดายิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้
รูปจำลองเจตจำนงเช่นนี้ เป็นเพียงสิ่งที่ควบรวมขึ้นจากพลังมหามรรคของร่างต้นหยางสวินเทียน ประทับพลังเจตจำนงของเขาไว้สายหนึ่งเท่านั้น แต่อานุภาพเช่นนั้นกลับแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ นี่เป็นสิ่งที่เหนือการคาดการณ์ของหลินสวินโดยสิ้นเชิง
แต่หลินสวินยังไม่ถึงกับหวาดกลัวหรือลนลานเพราะเรื่องนี้
ตูม!
ครู่ต่อมาเขาสำแดงกายมรรคอีกสองร่างออกมาเช่นกัน เข้าจู่โจมรูปจำลองเจตจำนงของหยางสวินเทียนด้วยกันทันที
ก็ในตอนนี้เองหลินสวินถึงค่อยๆ ต้านการโจมตีอันน่ากลัวยิ่งจากหยางสวินเทียนได้ เริ่มหลุดพ้นจากสภาพถูกกดข่มนั้น
เพียงแต่คิดจะโต้กลับ กลับไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาสั้นๆ
เต็มที่ก็ทำได้แค่สู้อย่างพอฟัดพอเหวี่ยง!
มาคิดดูแล้วสี่ร่างแยกของเขาล้วนมีพลังไม่ด้อยไปกว่าร่างต้น ตอนนี้ลงมือเต็มกำลังร่วมกับร่างต้นยังทำได้แค่ต่อสู้อย่างสูสี
จากจุดนี้ก็รู้แล้วว่ารูปจำลองเจตจำนงของหยางสวินเทียนแข็งแกร่งปานไหน!
——