ยามราตรี
หลังงานเลี้ยงสิ้นสุด หลินสวินก็กลับถ้ำสถิต ผู้ร่วมทางยังมีจ้าวจิ่งเซวียนกับซย่าจื้อ
“วันนี้หากฝานเอ๋อร์อยู่ด้วยคงดี”
ระหว่างทางจ้าวจิ่งเซวียนกล่าวเสียงแผ่วเบา แม้หลินฝานเพิ่งจากลัทธิแรกกำเนิดไปฝึกไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่นางกลับคิดถึงและเป็นห่วงอยู่บ้างแล้ว
บุตรเดินทางไกลพันลี้มารดาห่วงหา แต่ไรมาล้วนเป็นเช่นนี้
“ตอนนี้ฝานเอ๋อร์เป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแล้ว ไม่ต้องให้พวกเราเป็นห่วง”
หลินสวินยิ้ม
“ไร้น้ำใจ”
จ้าวจิ่งเซวียนค้อนเขาเล็กน้อย
ยามสนทนาพวกเขากลับมาถึงถ้ำสถิตแล้ว
หลินสวินเริ่มนั่งสมาธิ ซย่าจื้อกับจ้าวจิ่งเซวียนดื่มชาพูดคุยกัน
วันนี้เพิ่งแจ้งมรรคนิรันดร์ ทั้งผ่านศึกใหญ่คราหนึ่ง สิ่งที่หลินสวินต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือการตกตะกอนและเพิ่มความมั่นคงให้มรรควิถี
เมื่อโคจรพลังขับเคลื่อนทั่วร่าง จิตใจของหลินสวินก็ดื่มด่ำกับการฝึกปราณ
มรรคานิรันดร์แบ่งเป็นขั้นล่วงกฎ ขั้นสรรสร้าง ขั้นไร้ขอบเขต
ขั้นล่วงกฎ เห็นชื่อแล้วก็พอมองภาพออก คำว่า ‘กฎ’ ก็คือกฎเกณฑ์และกฎระเบียบ
ล่วงกฎ ก็คือหลังจากครอบครองและควบคุมกฎระเบียบ สามารถก้าวล่วงเหนือกฎระเบียบฟ้าดินได้
นี่คือขั้นแรกของมรรคานิรันดร์
ขั้นสรรสร้าง ใช้กฎระเบียบที่ตนครอบครอง มีความสามารถสร้างสรรพสิ่งเหมือน ‘เทพผู้สรรสร้าง’
เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ พลังกฎระเบียบที่หล่อหลอมยิ่งมาก มรรควิถีแห่งตนก็ยิ่งแข็งแกร่ง
นี่คือขั้นที่สองของมรรคานิรันดร์
ขั้นไร้ขอบเขต สามารถท่องทะยานในยุคสมัยมากมาย อิสระ เสรี และไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง
แต่คิดจะรอดจากการดับสิ้นของยุคสมัย เงื่อนไขแรกคือต้องต้านการโจมตีของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพให้ได้ก่อน
มีเพียงเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่า ‘ไร้ขอบเขต’ อย่างแท้จริง
หรือกล่าวได้ว่า ขั้นไร้ขอบเขตก็คือผู้แข็งแกร่งที่เจอเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพแล้วข้ามด่านเคราะห์จนมีชีวิตรอดได้อย่างแท้จริง
ขั้นนี้ก็คือจุดสูงสุดของระดับนิรันดร์!
ตอนนี้หลินสวินเพิ่งก้าวสู่มรรคานิรันดร์ ครอบครองมรรควิถีขั้นล่วงกฎ
เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้ รากฐานอมตะของผู้ฝึกปราณจะเปลี่ยนเป็นฐานมรรคนิรันดร์อย่างสมบูรณ์ รูปจำลองอมตะก็กลายเป็นรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์ กฎเกณฑ์อมตะที่ครอบครองก็เปลี่ยนเป็นกฎเกณฑ์นิรันดร์
ทุกคนต่างรู้ว่ากฎเกณฑ์นิรันดร์เทียบเท่ากฎระเบียบฟ้าดิน
แต่มรรควิถีของหลินสวินตอนนี้เหนือกว่าคนระดับเดียวกันโดยทั่วไปมาก!
ก่อนแจ้งมรรคข้ามด่านเคราะห์ อานุภาพกฎเกณฑ์อมตะที่หลินสวินมีก็เหนือกว่าระเบียบระดับเทพแล้ว เรียกว่าเป็นคนแรกตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
เมื่อเขาข้ามด่านเคราะห์สำเร็จ กฎเกณฑ์อมตะทั้งตัวก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นอานุภาพหรือคุณลักษณะล้วนมีอานุภาพนิรันดร์แล้ว
ตอนนี้ด้วยพลังกฎเกณฑ์นิรันดร์ที่เขาครอบครอง ก็ทำให้บุคคลระดับเดียวกันทั่วหล้ารู้สึกต่ำต้อย
ไม่มีทางเทียบได้โดยสิ้นเชิง
หากเขาต้องการ ย่อมกำราบระเบียบระดับเทพบนโลกได้โดยง่าย!
นอกจากนี้กายมรรคของหลินสวินยังเคี่ยวกรำท่วงทำนองนิรันดร์ไม่ดับสูญได้นานแล้ว
ทั้งตอนข้ามด่านเคราะห์ยังดูดกลืนพลังของศิลาโลหิตนิรันดร์ไปมาก ทำให้ความแข็งแกร่งของเลือดลมทั้งตัวเขาบรรลุถึงขั้นเป็นประวัติการณ์ในระดับเดียวกัน!
ส่วนความแข็งแกร่งของพลังกายก็สามารถแบกรับพลังปราณและจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังได้
ตอนหลินสวินข้ามด่านเคราะห์ แค่หินมรรคนิรันดร์ที่หลอมไปยังมีถึงเก้าก้อน นี่เท่ากับพลังปราณของระดับนิรันดร์เก้าคน แต่กลับถูกหลินสวินหลอมจนหมด ดังนั้นจึงเป็นฐานมรรคนิรันดร์เช่นตอนนี้
ตอนข้ามด่านเคราะห์เช่นกัน ผลึกจิตนิรันดร์ที่หลินสวินหลอมล้วนกลายเป็นพลังจิตวิญญาณซึ่งบริสุทธิ์ที่สุด ทำให้เขาเคี่ยวกรำรูปจำลองเจตจำนงระดับนิรันดร์ที่เหนือธรรมดาออกมาได้
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้หลอมรวมกัน แค่คิดก็รู้แล้วว่าพลังต่อสู้ที่หลินสวินครอบครองตอนนี้แข็งแกร่งและเย้ยฟ้าเพียงใด
เหมือนการต่อสู้ในวันนี้
ทำไมเขาถึงสู้แบบหนึ่งต่อเก้า ทั้งซัดอีกฝ่ายร่วงทีละคนได้โดยง่าย
ด้านหนึ่งเป็นเพราะระดับนิรันดร์เก้าคนนี้พลังปราณล้วนอยู่ในขั้นล่วงกฎ ขั้นเดียวกันกับมรรควิถีของหลินสวิน
อีกด้านหนึ่งอยู่ที่หลังจากหลินสวินข้ามด่านเคราะห์ พลังต่อสู้ที่มีเกินคำว่าพลิกฟ้าไปบ้างจริงๆ
ก็เหมือนอย่างที่ศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อเคยบอกตอนอยู่ในแดนฝังมรรคของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หลินสวินซึ่งเดิมก็มีศุภโชคเย้ยฟ้ามากมาย ขอเพียงแจ้งมรรคระดับนิรันดร์ได้ ย่อมกลายเป็นยักษ์ใหญ่ของระดับนี้อย่างก้าวกระโดด!
นอกจากมรรควิถีของหลินสวินที่เกิดการเปลี่ยนแปลงน่าเหลือเชื่อแล้ว เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งก็ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด ดับสลายและเกิดใหม่กลางมหาเคราะห์ต่อเนื่อง ทั้งดูดกลืนเจตวัตถุนิรันดร์ถึงสี่สิบห้าอย่าง ทำให้เตากระบี่กลายเป็นศาสตรามรรคนิรันดร์ซึ่งวิเศษมหัศจรรย์เกินคาดเดาชิ้นหนึ่งในคราเดียวเช่นกัน ไม่ใช่สิ่งที่ศาสตรามรรคนิรันดร์ทั่วไปเทียบได้
การต่อสู้ในวันนี้ระดับนิรันดร์เก้าคนนั้นต่างควบคุมศาสตรามรรคนิรันดร์ที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ทั้งมียอดสมบัติพิทักษ์สำนักอย่างโคมบัวสุญญากาศและคันฉ่องเทพอสนีดำด้วย
แต่ในการปะทะซึ่งหน้าทั้งหมดล้วนไม่อาจสั่นคลอนเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งได้โดยไม่มีข้อยกเว้น!
เท่านี้แค่คิดก็รู้ว่าปัจจุบันเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งไม่ธรรมดาเพียงใด
ฮูม… ฮูม…
บนตัวหลินสวินที่นั่งสมาธิอยู่เปล่งแสงมรรคนิรันดร์ลึกลับและคลุมเครือออกมาอาบไล้ทั้งตัวเขา เมื่อพลังขับเคลื่อนทั่วร่างหมุนวน กฎระเบียบฟ้าดินราวดังเป็นจังหวะ สำแดงปริศนามหามรรคน่าเหลือเชื่อ
การฝึกปราณของระดับนิรันดร์ต่างจากระดับอื่นโดยสิ้นเชิง
ก่อนอื่นระดับนิรันดร์ต้องหยั่งรู้และควบคุมพลังกฎระเบียบในระเบียบระดับเทพ
แต่ทุกคนต่างรู้ว่าทั้งโลกยอดนิรันดร์ มีแค่สี่หอบรรพจารย์กับเผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าสิบสองตระกูลที่ครอบครองระเบียบระดับเทพ
จำนวนมีน้อยมากจนนับนิ้วได้
รองลงมาคือพลังที่ระดับนิรันดร์ต้องใช้ในการฝึกปราณเยอะมากเกินไป สำหรับบุคคลเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงแดนลับถ้ำสวรรค์ทั่วไป ต่อให้อยู่ในแปดน่านฟ้าแรกก็ยากจะหาสถานที่ซึ่งเติมเต็มการฝึกปราณในแต่ละวันของพวกเขาได้
ทั้งบนโลกนี้ยังมีแค่สมบัติล้ำค่าหายากจำนวนน้อยที่เติมเต็มการฝึกปราณของระดับนิรันดร์ได้ สมบัติพวกนี้มักถูกเรียกว่า ‘วัตถุเทพนิรันดร์’
สรุปคือไม่ว่าจะเป็นระเบียบระดับเทพหรือวัตถุเทพนิรันดร์ ล้วนหายากและล้ำค่าเกินไปทั้งสิ้น กระทั่งทำให้การฝึกปราณระดับนิรันดร์เปลี่ยนเป็นยากลำบากอย่างยิ่ง
เหมือนพุทธปัจจุบันเจียหนานจากลัทธิฌานกับราชครูฟ้าถานอู่จากลัทธิพ่อมด พวกเขาล้วนแจ้งมรรคระดับนิรันดร์มาไม่รู้กี่หมื่นปีแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเฒ่าชราดึกดำบรรพ์จริงๆ
แต่จนถึงปัจจุบันพลังปราณของพวกเขายังอยู่แค่ขั้นล่วงกฎ นอกจากเหตุผลส่วนตัวบางอย่างของพวกเขาแล้ว สิ่งสำคัญยิ่งอยู่ที่คิดจะก้าวหน้าในระดับนี้ล้วนยากเกินไปจริงๆ
ยังดีที่ตอนนี้หลินสวินไม่ถึงขั้นกลัดกลุ้มด้วยเรื่องนี้
ปัจจุบันวัตถุเทพนิรันดร์บนตัวเขายังมีอีกส่วนหนึ่ง อีกทั้งถึงอย่างไรลัทธิแรกกำเนิดก็เป็นหนึ่งในสี่หอบรรพจารย์ที่เติมเต็มการฝึกปราณในตอนนี้ของเขาได้
ผ่านไปเจ็ดวันเต็มๆ
หลินสวินตื่นจากสมาธิ
ทั้งตัวกระปรี้กระเปร่าเปี่ยมกำลัง การขับเคลื่อนพลังทั่วร่างราบเรียบ หากไม่สัมผัสโดยละเอียดย่อมไม่อาจรู้สึกถึงอานุภาพระดับนิรันดร์ของเขา
นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘หล่อจิตดุจหยก’
เขาเหลือบตามองไปด้านข้าง จ้าวจิ่งเซวียนกับซย่าจื้อล้วนนั่งสมาธิ ฝ่ายแรกชุดม่วงประหนึ่งหยก งามบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพียบพร้อมโดดเด่น ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายสง่างาม
ส่วนซย่าจื้อยังคงงามพิสุทธิ์เหมือนเด็กสาว งดงามอย่างยิ่ง คำบรรยายใดล้วนยากพรรณนาความงามนั้น แม้ว่าหลายปีนี้ได้อยู่กับนางตลอด แต่หลินสวินยังมีความรู้สึกว่าถูกทำให้ตกตะลึงบ่อยครั้ง
หลินสวินจ้องมองทั้งสองครู่หนึ่งแล้วยิ้มเล็กน้อยก่อนเก็บสายตา
เขาสะบัดแขนเสื้อ
สมบัติมากมายหลายหลากปรากฏออกมา มีคันฉ่องเทพอสนีดำยอดสมบัติพิทักษ์ลัทธิพ่อมด มีคทาม่วงสมประสงค์ของเหวินไท่หลิน มีขวานยักษ์สีชาด ทวนสีเงิน ประทับภูผาธารา กระบี่คู่ขาวดำ บาตรสีทองเป็นต้น
ล้วนเป็นศาสตรามรรคนิรันดร์
ทุกชิ้นมีอานุภาพชวนประหวั่นที่ไม่อาจจินตนาการ
ปัจจุบันสมบัติพวกนี้ล้วนกลายเป็นทรัพย์หลังศึกของหลินสวิน
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินเสียดาย คือยามเจียหนานสู้สุดชีวิตได้ทำลายโคมบัวสุญญากาศไปด้วย
หลังจากนั้นครู่หนึ่งหลินสวินเก็บสมบัติพวกนี้ลงไป เขาตัดสินใจว่าภายหน้าจะหลอมสมบัติพวกนี้เข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทั้งหมด
นอกจากผลประโยชน์พวกนี้แล้ว ของติดตัวระดับนิรันดร์อย่างพวกเจียหนานยังมีสมบัติอย่างโอสถเทพ เจตวัตถุ ของล้ำค่ามากมาย
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น ‘สมบัตินิรันดร์’ ที่เหมาะแก่การฝึกปราณระดับนิรันดร์ยิ่ง
‘น่าเสียดาย หากข้าครอบครองนัยเร้นลับ ‘ห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ คงหลอมเลือดลม กายมรรค พลังปราณ จิตวิญญาณพวกเขาเป็นศิลาโลหิตนิรันดร์ กฎเกณฑ์นิรันดร์ หินมรรคนิรันดร์ ผลึกจิตนิรันดร์ได้’
หลินสวินทอดถอนใจอยู่ภายใน
ตอนอยู่แดนฝังมรรค เขาแค่ ‘คัดลอก’ พลังกฎระเบียบต้นกำเนิดห้าอย่างบนภูเขาใหญ่ห้าลูกนั้นมาส่วนหนึ่ง นัยเร้นลับของมันยังไม่เคยถูกเขาครอบครองอย่างแท้จริง
ไม่อย่างนั้นเกรงว่าวันนี้พวกเจียหนาน ถานอู่คงไม่ตายง่ายเช่นนั้น อย่างน้อยก็ต้องกลายเป็น ‘สมบัติจากธรรมชาติ’ นานัปการให้ใช้งาน!
คิดดูแล้วก็ไม่วายทำให้หลินสวินคาดหวัง
หลังจากก้าวสู่ระดับนิรันดร์ หลินสวินเพิ่งรู้ซึ้งว่าพลังต้นกำเนิดของห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนสิ่งต้องห้ามและน่าหวาดกลัวเพียงใด
เท่ากับชิงพลังทั้งหมดที่ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งมีไปกลายๆ เปลี่ยนเป็นพลังมหามรรคซึ่งบริสุทธิ์ที่สุด!
เปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว แกนหลักของระเบียบนิพพานอยู่ที่การฟื้นคืนและเกิดใหม่ เรียกว่าเหมือนสิ่งต้องห้ามเช่นกัน แค่กฎระเบียบต่างกันโดยสิ้นเชิงเท่านั้น
‘ตอนนี้ข้าก้าวสู่นิรันดร์แล้ว ถ้ามุ่งหน้าไปน่านฟ้าอื่นอาจต้องระวังการตอบโต้จากกฎระเบียบฟ้าดิน แต่หากมุ่งหน้าไปน่านฟ้าที่เก้าก็ไม่ต้องห่วงเรื่องพวกนี้โดยสิ้นเชิง…’
ไม่นานในใจหลินสวินก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ถึงเวลามุ่งหน้าไปเยือนน่านฟ้าที่เก้าแล้ว
เมื่อก่อนพลังปราณเขาไม่เพียงพอ ได้แต่เฝ้ารอและอดทน
แต่ตอนนี้เขาก้าวสู่มรรคานิรันดร์แล้ว ไม่ว่าจะไปช่วยซีหรือแก้แค้น ล้วนมีแต่ต้องเดินหน้าต่อ
ส่วนภัยคุกคามจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ…
แม้ว่าหลินสวินจะหวาดกลัว แต่ก็ไม่ถึงขั้นหดหัวไม่กล้าเดินทางด้วยเรื่องนี้
หากผู้บงการหลังม่านนั่นมีความสามารถสังหารตนจริง ทำไมต้องส่งระดับนิรันดร์เก้าคนอย่างพวกเจียหนาน ถานอู่มาด้วย
ตอนนี้หลินสวินมีความรู้สึกชอบกลอย่างหนึ่ง
ผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยนั้นอาจแข็งแกร่งถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพที่เขาครอบครองสร้างแรงโจมตีถึงชีวิตให้ใครก็ตามบนมรรคานิรันดร์ได้
แต่เนื่องด้วยสาเหตุบางอย่าง ผู้บงการหลังม่านนั่นจึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามโดยพลการ!
ไม่อย่างนั้นเหล่าระดับนิรันดร์นั่นอย่าคิดว่าจะมีโอกาสรอดชีวิต พวกคนที่ถูกผู้บงการหลังม่านจับจ้องย่อมไม่มีทางโชคดีรอดไปได้แน่ ส่วนโลกนี้ก็เกรงว่าคงวุ่นวายอุตลุดนานแล้ว
จากการวิเคราะห์นี้จึงทำให้หลินสวินไม่หวาดกลัวภัยคุกคามของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพนั่นนัก
วันนั้นหลินสวินไม่ได้รบกวนซย่าจื้อกับจ้าวจิ่งเซวียนที่ทำสมาธิอยู่ ก้าวออกจากถ้ำสถิตของตนไป