หอแรกมายา
เขาตำรา ตู๋กูยงกำลังอ่านตำราโบราณนานัปการซึ่งเกี่ยวข้องกับน่านฟ้าที่เก้าร่วมกับหลินสวิน
นี่คือความเคยชินของหลินสวิน
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
“ไม่แปลกที่เผ่าเทพนิรันดร์พวกนี้ยืนหยัดอยู่บนน่านฟ้าที่เก้าได้ถึงปัจจุบัน”
ครู่ใหญ่หลินสวินวางตำราโบราณในมือลง กล่าวทอดถอนใจออกมา
เผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูล ยามแข็งแกร่งล้วนมียอดบุคคลขั้นไร้ขอบเขตซึ่งเคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพดูแล!
แต่เมื่อเวลาผันผ่าน โดยเฉพาะในไม่กี่ปีมานี้ ด้วยสังเกตเห็นภัยคุกคามจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ ระดับนิรันดร์ขั้นสรรสร้างและขั้นไร้ขอบเขตในเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลนั้นล้วนทยอยจากไปแล้ว มุ่งหน้าไปยังแหล่งสถานคุนหลุน
ตอนนี้ในเผ่าเทพนิรันดร์แต่ละตระกูลเหลือแค่ระดับนิรันดร์ขั้นล่วงกฎสองถึงสามคนดูแล
ดูเหมือนด้อยกว่าแต่ก่อนมาก
แต่ต้องรู้ว่านั่นเป็นถึงระดับนิรันดร์! กวาดสายตามองทั่วโลกยอดนิรันดร์ มีสักกี่คนที่สั่นคลอนฐานะของพวกเขาได้
พูดอย่างไม่เกินจริง ก่อนหลินสวินแจ้งมรรคนิรันดร์ล้วนหาไม่ได้สักคน!
“เจ้าคิดไปน่านฟ้าที่เก้าจริงหรือ”
ตู๋กูยงกังวลอยู่บ้าง “ยังไม่พูดถึงเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพนั่น แค่รากฐานกับกำลังพลที่เผ่าเทพนิรันดร์พวกนั้นมีก็แข็งแกร่งถึงขีดสุด อย่างน้อยในยุคสมัยนี้จนปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสั่นคลอนพวกเขาได้สักคน”
“ก่อนหน้านี้พวกเขามีระดับนิรันดร์ขั้นไร้ขอบเขตบัญชาการ แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครสั่นคลอนได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ
ตู๋กูยงนึกถึงศึกใหญ่ที่เกิดขึ้นบนทะเลหมื่นดาราเมื่อหลายวันก่อนแล้วอดเงียบไปไม่ได้
คิดดูแล้วก็ใช่ เผชิญหน้าการล้อมโจมตีจากระดับนิรันดร์เก้าคน หลินสวินยังสามารถเย้ยฟ้าดิน ซัดพวกเขาร่วงหล่นทั้งหมดได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ในขั้นล่วงกฎใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้อีก
หลินสวินไม่ได้บอกตู๋กูยง ว่าครั้งนี้เขาจะไปน่านฟ้าที่เก้าด้วยมีเป้าหมายอื่นอีก
นั่นก็คือตรวจสอบว่าปีนั้นหลังอาจารย์เจ้าแห่งคีรีดวงกมลไปถึงน่านฟ้าที่เก้า เขาเจอกับอะไรกันแน่ ทำไมผู้คนถึงคิดว่าเขาประสบเคราะห์บนน่านฟ้าที่เก้าแล้ว
วันนั้นหลินสวินเตรียมพร้อม และตัดสินใจจากแดนแรกเริ่มไป
ก่อนจากเขาไปพบจ้าวจิ่งเซวียนกับซย่าจื้อ จากนั้นค่อยทิ้งกายมรรควารีดำไว้ดูแลลัทธิแรกกำเนิด ส่วนร่างต้นของเขาก็พาสี่กายมรรคอื่นจากไปด้วยกัน
…
จากอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบัน น่านฟ้าที่แปดมีทางเชื่อมต่อไปยังน่านฟ้าที่เก้าตลอด
แต่เพราะเคราะห์แห่งยุคสมัยใกล้มาเยือน เผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้าจึงปิดทางพวกนี้ไปนานแล้ว
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่ยากเกินมือหลินสวิน
หรือกล่าวได้ว่าไม่ยากเกินมือระดับนิรันดร์
ปราการระหว่างเขตแดนควบรวมจากกฎระเบียบฟ้าดินเสมอ สามารถขวางใครก็ตามที่อยู่ต่ำกว่าระดับนิรันดร์ได้
แต่ระดับนิรันดร์เป็นข้อยกเว้น
ด้วยระดับนี้เริ่มครอบครองและควบคุมกฎระเบียบฟ้าดินแล้ว ต่อให้ทางเชื่อมต่อระหว่างน่านฟ้าพวกนั้นถูกปิดผนึก ก็ใช้พลังของตนไปทำลายผนึกพวกนี้ได้!
ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงเดินทางไปน่านฟ้าที่แปดทันที
ระหว่างทางเขารู้สึกได้อย่างฉับไวว่าพลังของกฎระเบียบฟ้าดินคงอยู่ทุกแห่งหนจริงๆ ทำให้ตนรู้สึกว่าถูกจำกัดมือเท้า เหมือนตกอยู่ในบ่อโคลน
ทั้งหลินสวินยังสงสัยนักว่าหากตนใช้พลังระดับนิรันดร์เข้าจริงๆ ยามเยื้องย่างอย่างสบายอารมณ์ เกรงว่าคงเหยียบห้วงอากาศแหลกละเอียด ทำให้ฟ้าดินแห่งหนึ่งจ่อมจมได้!
แน่นอนว่าหากกฎระเบียบฟ้าดินสังเกตเห็นภัยคุกคาม ย่อมเกิดการตอบโต้ตั้งแต่พริบตาแรกแน่ แม้ว่าพลังนั้นถูกต้านทานและสลายได้ แต่กลับทำลายมรรควิถีของระดับนิรันดร์
นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมร่างต้นของระดับนิรันดร์ถึงปรากฏตัวบนโลกน้อยนัก
เหมือนตอนเกิดศึกใหญ่บนทะเลหมื่นดารา หากไม่ใช่ว่ามีระเบียบวัฏจักรฟ้ากับระเบียบปฐมป้องกันสองชั้น ย่อมนำมาซึ่งพลังสะท้อนกลับจากกฎระเบียบฟ้าดินแน่
ถึงตอนนั้นไม่ว่าหลินสวินหรือพวกเจียหนาน ย่อมต้องโดนพลังสะท้อนกลับจากกฎระเบียบฟ้าดิน
ดังนั้นครั้งนี้ยามหลินสวินก้าวเดินจึงจำต้องกำราบกลิ่นอายและพลังทั้งหมดของตนเข้าไปในร่าง ใช้แค่พลังระดับอมตะ
หลังจากนั้นครู่ใหญ่หลินสวินมาถึงน่านฟ้าที่แปด
ภูเขาเทพจันทร์กระจ่าง เดิมที่นี่เป็นอาณาเขตของตระกูลตงหวงหนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่อมตะ
แต่ปีนั้นยามหลินสวินคนเดียวเหยียบทำลายสิบยักษ์ใหญ่อมตะทีละแห่ง ถึงตอนนี้ภูเขาเทพจันทร์กระจ่างถูกเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเซียวยึดครองนานแล้ว
แน่นอนว่าภูเขาเทพจันทร์กระจ่างไม่มีระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าอีก ต่อให้มีขุมอำนาจยึดครองที่นี่ก็ไม่อาจเติบโตเป็นสิบยักษ์ใหญ่อมตะเหมือนตระกูลตงหวงได้
ยามดึกภูเขาเทพจันทร์กระจ่างมีแสงไฟสว่างไสว
ในโถงใหญ่ของตระกูล ผู้นำตระกูลเซียวฉางคงกำลังชื่นชมยอดหญิงงามกลุ่มหนึ่งร่ายรำพลิ้วไหว แต่ละคนสวมชุดผ้าโปร่ง เผยผิวเย้ายวนเป็นระยะ ท่าทางอ้อนแอ้น มีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
หญิงงามพวกนี้ล้วนเป็นสาวงามที่มีเสน่ห์โดยกำเนิด พลังปราณไม่ธรรมดา ใช้เสน่ห์ทั้งตัวผสานรวมการร่ายรำ หากคนทั่วไปมาเห็นคงถูกดึงดูดจนลุ่มหลงนานแล้ว
เซียวฉางคงยิ้มตาหยี ท่าทางลุ่มหลงเต็มประดา
แต่ถ้ามองโดยละเอียดนัยน์ตาเขาไม่ฟุ้งซ่านแม้แต่น้อย เยียบเย็นลุ่มลึก ไม่ต้องสงสัยว่าการเป็นผู้นำตระกูลหนึ่ง ทั้งยึดครองแดนมงคลอย่างภูเขาเทพจันทร์กระจ่างได้ เซียวฉางคงย่อมไม่ใช่คนทั่วไปแน่
ทันใดนั้นนัยน์ตาเซียวฉางคงพลันหดรัด
ด้วยสาวงามที่กำลังขับร้องร่ายรำพวกนั้นเหมือนต้องมนต์ นิ่งงันอยู่จุดเดิมไม่ขยับ
ขณะเดียวกันเงาร่างสูงตระหง่านหนึ่งเดินเข้ามา
เซียวฉางคงผุดลุกขึ้นกล่าว “ผู้มาเป็นใคร ทำไมบุกรุกตระกูลเซียวของข้ายามวิกาล หากมีเรื่องล่วงเกินโปรดชี้แจง ข้าคนแซ่เซียวย่อมชดเชยเป็นสิบเท่าร้อยเท่า”
ผู้มาเยือนย่อมเป็นหลินสวิน เขากล่าวลวกๆ “ถือว่าเจ้าเป็นคนฉลาด เช่นนั้นก็จัดการได้ง่ายแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไปข้าต้องยืมสถานที่นี้ชั่วคราว”
นัยน์ตาเซียวฉางคงหดรัด “ยืมชั่วคราว?”
หลินสวินยิ้ม “หากข้าคิดยึดที่นี่ ปีนั้นยามเหยียบทำลายตระกูลตงหวงก็ทำได้ ไยต้องรอถึงตอนนี้”
เขาพูดพลางสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
ฮูม…
ระเบียบปฐมพุ่งออกมา ปกคลุมภูเขาเทพจันทร์กระจ่างทั้งหมดทันที
“ท่าน… ท่านคือผู้อาวุโสหลินสวินหรือ”
เวลานี้เซียวฉางคงเหมือนระลึกได้ เบิกตากว้าง เหงื่อไหลโชกไปทั้งตัว เคารพยำเกรงจนเข่าอ่อน
“จำไว้ ช่วงนี้อย่าเพิ่งให้คนตระกูลเจ้าออกไปข้างนอก”
หลินสวินพูดพลางหันหลังเดินออกไปจากโถงใหญ่
‘ต้องเป็นเขาแน่… มีแค่เขาที่ปรากฏตัวที่นี่ได้โดยไร้สุ้มเสียง….’
นึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับหลินสวินช่วงหลายปีนี้ แผ่นหลังเซียวฉางคงเย็นวาบ สิ่งเดียวที่ทำให้เขายินดีคือหลินสวินมาครานี้ดูเหมือน... ไม่ได้อยากสร้างความลำบากให้พวกเขาตระกูลเซียว
ผ่านไปครู่ใหญ่เซียวฉางคงจึงสงบสติลง ในใจใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ‘เรื่องนี้ต้องทำให้ดีหน่อย หากได้รับความชื่นชมจากผู้อาวุโสหลินสวิน ตระกูลเซียวของข้าก็ผงาดสูงลิ่วแล้ว!’
ขณะเดียวกันตรงส่วนลึกของภูเขาเทพจันทร์กระจ่าง หน้าแท่นบูชาเก่าแก่แห่งหนึ่ง
เงาร่างหลินสวินปรากฏตัวกะทันหัน
เดิมที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของตระกูลตงหวง แต่ปัจจุบันเห็นชัดว่าที่นี่ถูกทิ้งร้าง ทุกหนแห่งรกชัฏ
สายตาหลินสวินจ้องมองแท่นบูชาเก่าแก่นั้นครู่หนึ่ง ก่อนสะบัดแขนเสื้อฉับพลัน
กลางแท่นบูชาแห่งนี้แยกออกเป็นทางสายหนึ่งโดยไร้สุ้มเสียง
ปลายทางเต็มไปด้วยพลังกฎระเบียบลึกลับน่ากลัวทำให้ผู้คนใจสั่น
เดิมที่นี่เป็นทางเชื่อมต่อไปยังน่านฟ้าที่เก้าซึ่งตระกูลตงหวงครอบครอง แต่เมื่อหลายปีก่อนเส้นทางนี้ถูกเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยางแห่งน่านฟ้าที่เก้าปิดผนึก
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ยากเกินมือหลินสวิน
เขาขับเคลื่อนความคิด พลังระเบียบปฐมสายหนึ่งตกลงมาจากฟ้า ปกคลุมพื้นที่ใกล้แท่นบูชานี้
การทำเช่นนี้แค่ป้องกันคนอื่นบุกเข้ามาเท่านั้น
จากนั้นหลินสวินจึงก้าวเข้าไปในทางลึกลับสายนั้น
ตูม!
เมื่อเขาโคจรกฎเกณฑ์นิรันดร์ของตน พลังกฎระเบียบที่ขวางตรงหน้าซ่านสลายดุจกระแสน้ำทันที
ไม่นานเงาร่างหลินสวินก็หายลับไป
…
น่านฟ้าที่เก้า
เขาผนึกดารา หนึ่งในเขาเทพนิรันดร์ที่เผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยางครอบครอง
ส่วนลึกของที่นี่ซ่อนสายแร่ขนาดใหญ่ไว้ มีเจตวัตถุอมตะชนิดหนึ่งนามว่า ‘เหล็กดาราเงินโลหิต’ มูลค่าชวนตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันในเขาผนึกดาราก็มีอุโมงค์มิติเชื่อมต่อไปยังน่านฟ้าที่แปด มีเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยางควบคุมดูแลเช่นกัน
จากเขาผนึกดาราถึง ‘เขาเทพตะวันไพศาล’ อาณาเขตเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยางอยู่ห่างกันราวแปดแสนลี้ สำหรับผู้ฝึกปราณทั่วไปแน่นอนว่าห่างไกลมาก
แต่สำหรับระดับนิรันดร์ ชั่วขณะเดียวก็ไปถึง
หลายปีมานี้ผู้ดูแลควบคุมเขาผนึกดาราคือผู้อาวุโสระดับอมตะขั้นดับเทพคนหนึ่งของเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยาง นามว่าหยางซั่วหง
มีผู้แข็งแกร่งภายใต้การดูแลมากนับพัน ประจำการอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ คอยดูแลการสกัดเจตวัตถุอมตะอย่างเหล็กดาราเงินโลหิต
แน่นอนว่าคนตระกูลหยางไม่มีทางทำงานสกปรกเปลืองแรงเช่นนี้ ผู้ที่ไปขุดแร่ในส่วนลึกของเขาผนึกดาราที่แท้จริงคือทาสซึ่งถูกตระกูลหยางจับมา
อย่ามองว่าเป็นทาส ผู้อ่อนแอที่สุดก็มีมรรควิถีระดับอริยะ ผู้แข็งแกร่งยิ่งเป็นบุคคลระดับจักรพรรดิ
เหตุผลนั้นง่ายมาก ในส่วนลึกของเขาผนึกดาราเต็มไปด้วยปราณสกปรกซึ่งอันตรายหาใดเปรียบ พวกที่พลังปราณอ่อนแอเข้าใกล้ไม่ได้แต่แรก แน่นอนว่าไม่มีทางขุดเหล็กดาราเงินโลหิตได้เช่นกัน
ต่อให้ระดับอมตะมุ่งหน้าไป นานเข้ามรรควิถีแห่งตนก็จะถูกปราณสกปรกนั้นกัดกร่อน
ด้วยเหตุนี้สำหรับเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหยาง วิธีง่ายที่สุดก็คือให้ทาสซึ่งถูกจับมาพวกนั้นไปขุดแร่ เช่นนี้ต่อให้ตายไปก็ไม่ปวดใจ
เวลานี้ส่วนลึกในทางเหมืองหนึ่งในนั้น
เสียงตวาดเดือดดาลหนึ่งดังขึ้น “เจ้าคนชั้นต่ำ! ถ้ากล้าหนีอีกข้าจะตัดขาเจ้า!”
“ตาม ใครตามจับคนชั้นต่ำนั่นได้ ข้าจะยกแกนเทพอมตะให้พันชั่ง!”
ก็เห็นผู้แข็งแกร่งเสื้อผ้ามอมแมมเหมือนเทพดุอสูรร้ายกลุ่มหนึ่งห้อตะบึงในทางเหมืองมืดมิด
ส่วนลึกทางเหมืองเชื่อมผ่านถึงกันเหมือนใยแมงมุม เส้นทางมากมายเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ
บนเส้นทางหนึ่งในนั้นมีร่างผอมบางหนึ่งกำลังวิ่งหนีโซเซ
นี่คือหญิงสาวคนหนึ่ง เศษฝุ่นติดตัวเต็มไปหมด บนผิวหนังเปี่ยมด้วยรอยแส้ชุ่มเลือดชวนประหวั่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนฟางข้าว
สีหน้านางตื่นตระหนก ขบฟันแน่นกรอด
แต่ไม่นานนางก็สิ้นหวัง
ด้วยทางข้างหน้าคือผนังหินหนาทึบ ไม่มีทางออกใดอีก
“ไม่ ไม่นะ!”
หญิงสาวเหมือนคลุ้มคลั่ง กระหน่ำโจมตีผนังหินนั้นเต็มกำลัง แต่กลับทำลายได้แค่เศษหินบางส่วน ผนังหินนั้นไม่มีสัญญาณว่าจะถูกซัดทลายโดยสิ้นเชิง
ส่วนด้านหลังเสียงตะโกนเซ็งแซ่กำลังเข้ามาใกล้ช้าๆ เห็นชัดว่าเหล่าผู้ตามล่านั้นใกล้เข้ามาแล้ว…