บทที่ 506 ตามข้าออกไปนอกเมือง
บทที่ 506 ตามข้าออกไปนอกเมือง
จ้าวอิ๋งเฟิงจ้องหลี่จื่อหยางด้วยสายตาฆ่าฟัน ประหนึ่งคิดอยากฉีกร่างอีกฝ่ายเสียที่นี่
แต่หลี่จื่อหยางเมินเฉย และมองเจ้าฉีด้วยความนอบน้อม
“ดี ข้าจะจำเอาไว้!” เจ้าฉีกล่าวตอบ
“ท่านชายท่านนี้ ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดขอรับ” จ้าวอิ๋งเฟิงพยายามอธิบาย
ทว่าเห็นได้ชัดว่าเจ้าฉีไม่มีท่าทีคิดเชื่อคำพูดเขาแม้แต่น้อย กระทั่งเมินเฉยจะสนใจและหันไปหาอู๋ฝาน
อู๋ฝานมองทางหวงเจ๋อก่อนจะเอ่ยถาม “ในเมื่อป้ายนั่นทรงอำนาจขนาดนั้น เหตุใดไม่รีบนำออกมาตั้งแต่แรก?”
“เพราะข้าอยากจะใช้โอกาสนี้ทุบตีพวกมันกระมัง?” หวงเจ๋อตอบกลับเสียงเบา
“ทำไมกัน? มีข้อพิพาทต่อกันหรือ?” อู๋ฝานยังคงถาม
“ไม่มีอันใด” หวงเจ๋อตอบกลับ “เพียงแค่หาที่ระบาย”
“เกี่ยวข้องกับเจ้าทั้งนั้น” เจ้าฉีเอ่ยบอก
“หากอยากระบาย ไฉนเกี่ยวข้องกับข้า?” อู๋ฝานถาม
“เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน เขาถูกบิดาข้าต่อว่าจนมัวหมอง วันนี้เจอคนเข้ามาสร้างปัญหาจึงสบโอกาสระบายอารมณ์” เจ้าฉียิ้มบาง ๆ ขณะมองหน้าอู๋ฝาน “ลองบอกมาสิว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับเจ้า?”
อู๋ฝานหันไปมองหวงเจ๋อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธใด ๆ คล้ายว่าต้นเหตุจะเป็นเช่นที่ว่าจริง ๆ เขาจึงทำได้เพียงแค่ยักไหล่ “หากเป็นดังที่บอกจริงก็คงเกี่ยวข้องกับข้า แต่ก็ขอย้ำอีกครั้งว่ากลุ่มคนเมื่อครู่สมควรได้รับบทเรียนบ้าง นับว่าสั่งสอนบทเรียนได้ดีเลยทีเดียว”
เจ้าฉีถึงกับต้องกลอกตามองอู๋ฝาน เพราะอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องเร็วยิ่งกว่าปลาในน้ำ
อู๋ฝานยังคงเผยสีหน้าเช่นเดิมไม่แปรเปลี่ยน ราวกับไม่เห็นท่าทีของเจ้าฉีแม้แต่น้อย กระทั่งยื่นมือเข้าไปตรงหน้าอีกฝ่าย
“อะไร?” เจ้าฉีเอ่ยถาม
“จ่ายเงินคืนให้ข้า” อู๋ฝานกล่าวตอบ “มาที่นี่วันนี้ก็เพื่อจ่ายเงินคืนไม่ใช่หรือ?”
“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เจ้าพูดเองหรือว่าไม่ต้องจ่ายเงินคืนแล้ว?” เจ้าฉีถึงกับพูดไม่ออก
“นั่นมันก่อนหน้า” อู๋ฝานตอบกลับ “ตอนที่ข้าบอกให้เจ้ารีบไปไฉนไม่ไป? ก่อนหน้านี้เพราะข้าหวังดีไม่อยากให้มาติดร่างแห ขณะนี้เรื่องราวคลี่คลายแล้ว ก็น่าจะเป็นเวลาอันดีที่จะจ่ายคืนให้แก่ข้า”
“ขี้เหนียว” เจ้าฉีบ่นอุบก่อนจะตะโกนเรียก “เสี่ยวชิง!”
เสี่ยวชิงเร่งรีบก้าวเดินเข้ามา พร้อมนำตั๋วทองจากแขนเสื้อออกมามอบให้
“เท่านี้พอหรือไม่?” เจ้าฉีเอ่ยถาม
“พอแล้ว พอมาก” อู๋ฝานมองมูลค่าที่เขียนเอาไว้ จำนวนของมันมากกว่ามื้ออาหารที่เขาจ่ายแทนไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากไม่ได้คิดให้เงินแก่อีกฝ่ายแต่แรก ส่วนเกินเหล่านี้จึงถือเป็นดอกเบี้ย อย่างไรเจ้าฉีก็ดูร่ำรวย นางไม่น่าจะขาดแคลนเงินทอง
เจ้าฉีมองอู๋ฝานเร่งรีบเก็บตั๋วทองเอาไว้ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “งกจริงเสียด้วย”
อันที่จริงนางก็ทราบดีว่าอาหารมื้อนั้นมูลค่าแค่ไม่กี่เหรียญเงิน เงินที่มอบให้อู๋ฝานครั้งนี้มากกว่าเงินเมื่อครั้งนั้นนับสิบเท่า แต่เจ้าฉีไม่คิดขอให้อีกฝ่ายทอนแต่ประการใด เพราะนางไม่คิดใส่ใจเงินเล็กน้อย และอีกเรื่องหนึ่งคือชายหนุ่มเป็นคนที่ช่วยนางให้ไม่ประสบปัญหายุ่งยาก แถมเงินให้ถือเป็นการตอบแทนคำขอบคุณ
อู๋ฝานแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินที่เจ้าฉีพูด ขณะนี้จึงมองตอบก่อนจะเอ่ยคำถาม “ว่าไปแล้ววันนี้เจ้าออกมาได้อย่างไร? หรือว่าหนีออกมาจากบ้านอีกแล้วกันแน่?”
“ข้าออกมาผ่อนคลายจิตใจน่ะ” เจ้าฉีตอบกลับ “เมื่อวานบิดาข้าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะไม่ค่อยสบายใจเลยคิดจะไปยังวัดหงอวี่ที่อยู่นอกเมือง เพื่อจะได้จุดธูปบูชาขอพรแก่ท่านเสียหน่อย“
อู๋ฝานพยักหน้าตอบ แม้นางดูค่อนข้างแก่นแก้วไปบ้าง ถึงขนาดเคยหนีออกจากบ้าน แต่อย่างน้อยก็มีใจสำนึกต่อบุพการี
เจ้าฉีจึงเอ่ยขึ้น “อู๋ฝาน ไปกับข้าไหม?”
“ข้าหรือ? คงไม่ไป” อู๋ฝานส่ายหน้าปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด
องค์หญิงอูหย่ายังซ่อนตัวอยู่ในห้องนอนของเขา ดังนั้นตอนนี้จึงไม่อาจไปไหนได้ เพราะหากมีคนบุกมาสร้างปัญหาอีกครั้งจะเกิดอะไรขึ้น? ดังนั้นเขาจึงควรอยู่ที่นี่เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในทุกเมื่อ เพราะหากไม่อยู่และฝากไว้กับพวกลั่วเยวี่ย บางทีอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
“เหตุใดจึงไม่? ยุ่งอยู่หรือ?” เจ้าฉีแสดงออกชัดว่าไม่ค่อยยินดี เพราะไม่คิดว่าอู๋ฝานจะปฏิเสธ บิดาของนางรักและเอาใจใส่เป็นที่สุด ไม่ว่าร้องขอสิ่งใดล้วนแล้วแต่ได้รับ ผู้อื่นเองก็ไม่กล้าปฏิเสธคำขอเช่นเดียวกัน
แต่พอมาหาอู๋ฝานเรื่องราวกับไม่คล้ายเป็นไปดังที่คิด ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็เคยปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลืออย่างไม่ไว้หน้า ขณะนี้นางอยากชวนร่วมทางออกไปนอกเมืองด้วย อีกฝ่ายก็ยังคงปฏิเสธโดยไม่คิดเช่นกัน
“ข้ามีเรื่องต้องจัดการเล็กน้อย“ อู๋ฝานตอบ
“เป็นเรื่องใดกัน?” เจ้าฉีเอ่ยถาม “เจ้ามาเมืองหลวงเพื่อเจอฝ่าบาทใช่หรือไม่? คาดเดาว่าเวลานี้คงยังไม่เหมาะให้เจ้าได้เข้าเฝ้า อย่างนั้นแล้วมีเรื่องอื่นใดต้องทำกัน?”
“ทราบได้ยังไงว่าฝ่าบาทไม่มีเวลามาเจอข้า?” อู๋ฝานถามด้วยความสงสัย
“เพราะ…” เจ้าฉีได้ตระหนักว่าตอนนี้ตนเองปากพล่อยไปบ้างจึงเผยสีหน้าลำบากใจ แต่สุดท้ายก็หาทางกลบเกลื่อน “เมื่อวานฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บเพราะมือสังหารไม่ใช่หรือ? เรื่องนี้ทราบกันทั่วแล้ว ทุกคนในเมืองต่างก็ทราบ ดังนั้นข้าย่อมทราบว่าฝ่าบาทต้องใช้เวลาพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ เช่นนั้นจะมีเวลามาพบเจอเจ้าได้อย่างไร?”
“เป็นแบบนี้นี่เอง” อู๋ฝานตอบกลับ “ที่พูดมาก็มีเหตุผล ฝ่าบาทในตอนนี้คงไม่มีเวลาพบข้า ส่วนที่บอกว่ามีเรื่องต้องทำนั้นก็ไม่ใช่หมายความว่าจะไปเข้าเฝ้า แต่เป็นธุระส่วนตัวต่างหาก”
“ธุระส่วนตัว? อะไรคือธุระส่วนตัว?” เจ้าฉีเอ่ยถาม
อู๋ฝานถึงกับมองนางด้วยอาการพูดไม่ออกตอบไม่ถูก เนื่องจากบอกไปแล้วว่าเป็นธุระส่วนตัว เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากลงรายละเอียด แต่อีกฝ่ายกลับยังตั้งคำถาม รู้จักความเป็นส่วนตัวหรือไม่?
เจ้าฉีไม่คล้ายจะเห็นว่าคำถามนี้มีส่วนใดผิดแปลก กระทั่งมองอู๋ฝานด้วยความสงสัย
อู๋ฝานที่จนใจจึงทำได้เพียงแต่ตอบออกมา “ดังที่เคยบอกเล่าไปก่อนหน้าว่าข้าเป็นจื่อเจวี๋ยที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งใหม่ จำได้หรือไม่?”
“ได้” เจ้าฉีพยักหน้าตอบ อู๋ฝานคือจื่อเจวี๋ยที่เกี่ยวข้องกับนางเสียด้วยซ้ำ เพราะหากว่านางไม่พอใจของขวัญวันเกิดที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาก็คงไม่ได้รับบรรดาศักดิ์จื่อเจวี๋ย
“ข้ามีทหารและพี่น้องติดตามมาด้วย ดังนั้นจึงต้องดูแลพวกเขา” อู๋ฝานตอบ “แต่ข้าค่อนข้างยากไร้ เงินเดือนอันน้อยนิดไม่พอจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นจึงกำลังมองหาหนทางทำเงิน อีกทั้งข้ายังเป็นหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ของหมู่บ้าน สภาพการเงินทางหมู่บ้านก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ หน่วยรักษาการณ์ที่สังกัดอยู่มีจำนวนไม่ใช่น้อย จำเป็นต้องมีข้าคอยสนับสนุน หากข้ายังหาทางทำเงินไม่ได้ เช่นนั้น…”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เจ้าฉีเอ่ยขัดขึ้น “เสี่ยวชิง!”
เสี่ยวชิงนำเอาตั๋วทองอีกใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เจ้าฉีรับเอาไว้ก่อนจะส่งให้อู๋ฝาน “ไปนอกเมืองกับข้า แล้วตั๋วหนึ่งพันเหรียญทองนี้จะเป็นของเจ้า”
อู๋ฝานถึงกับต้องกลืนน้ำลาย สายตามองตั๋วทองในมือของเจ้าฉี สุดท้ายก็รับเอาไว้โดยไม่ลังเล แต่ในใจพร่ำบ่นว่าเด็กน้อยผู้นี้ใช้เงินสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว
“ในเมื่อเชิญด้วยความจริงใจถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่ไปก็กระไรอยู่” อู๋ฝานเก็บตั๋วทองเอาไว้ก่อนจะเอ่ยต่อ “เช่นนั้นข้าจะร่วมทางไปด้วยเอง”
เจ้าฉีถึงกับต้องกลอกตามองอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สองของวัน เพราะอีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันจนนางพูดไม่ออก
……………………………