บทที่ 504 น้องหญิงกล่าวถูกแล้ว
บทที่ 504 น้องหญิงกล่าวถูกแล้ว
เสี่ยวเป่าพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปถามเยว่หลี “เจ้าบอกว่าวิญญาณของเจ้าถูกแบ่งออกเป็นสองเพื่อรักษาสมดุลของโลกใบนี้ หากรวมกันแล้วจะไม่เกิดผลกระทบอะไรหรือ”
เยว่หลีจัดเสื้อผ้าของตนเอง ก่อนจะแย้มยิ้มดุจเทพเซียนที่ไม่แสแยต่อสิ่งใด
“ไม่รู้สิ แค่ลองดู ตายก็ตาย”
ท่าทางดูเฉยชากับความเป็นความตายยิ่งนัก
เสี่ยวเป่า : …
เยว่หลีที่ฟื้นคืนความทรงจำตอนเป็นมังกรกลับมาแล้วให้ความรู้สึกแปลกนัก
ขณะที่เยว่หลีกับอานั่วซือกำลังทะเลาะกัน ด้านท่านพ่อของเสี่ยวเป่านั้นพากลุ่มคนมาด้วย ทำให้หลายสิ่งง่ายดายขึ้นมาก
อย่างเช่นอาจารย์ของนาง ระหว่างทางเอาแต่คร่ำครวญถึงแขนขาแก่ ๆ ของตนไม่หยุด ทว่าเมื่อมาถึงกลับตาสว่างวาบยามได้เห็นสมุนไพรล้ำค่ามากมาย
“นี่ นี่ นี่เป็นสมุนไพรล้ำค่าที่แทบสูญพันธุ์ไปแล้ว”
“ยังมีอันนี้ สมุนไพรที่มีความสามารถทำให้เลือดแข็งตัวมากที่สุด”
“นี่เทียบกับโสมแล้วยังบำรุงได้มากกว่า!!!”
คนผู้นี้ยามมาไม่เต็มใจ ทว่าตอนนี้กลับดูเหมือนหนูตกลงไปในถังข้าวสาร แขนขาชราไม่เมื่อยล้าอีกต่อไป
เสี่ยวเป่าส่งเสียงฮึ่มออกมา “ท่านไม่อยากมาไม่ใช่หรือ”
เจี่ยเจินส่ายเครา หันมองไปทางศิษย์อกตัญญูของตน
“ชายชราอย่างข้าร่วมเดินทางมานานเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่ยอมให้ชายชราผู้นี้อารมณ์ดีเสียบ้าง!”
เสี่ยวเป่าตอบกลับ “หากท่านโกนเคราออก ท่านก็ดูเหมือนชายวัยกลางคนเท่านั้น”
“นั่นเพราะชายชราอย่างข้าดูแลตนเองดี กระดูกกระเดี้ยวจึงยังแข็งแรง ข้าอายุเกินหกสิบแล้ว เหตุใดจะนับเป็นชายชราไม่ได้!”
หนึ่งชราหนึ่งเด็กหาสมุนไพรพลางปะทะฝีปากกันไป ทันใดนั้นเสี่ยวเป่าก็พลันเห็นสมุนไพรชนิดหนึ่งจึงรีบพุ่งเข้าไปด้วยความตื่นเต้น
“อาจารย์ ท่านมาดูเร็วเข้า นี่… สามารถทำยารักษาลบเลือนรอยแผลเป็นบนใบหน้าท่านอาสี่ได้ใช่หรือไม่”
เสียงของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
รอยแผลเป็นบนใบหน้าของท่านอาสี่นั้นใหญ่และลึกเกินไป ก่อนหน้านี้นางเคยขอร้องให้อาจารย์ทำยารักษาแผลเป็นขึ้นมา แต่มันทำได้เพียงให้รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาดีขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น
แม้ท่านอาสี่จะไม่สนใจ แต่เสี่ยวเป่าคิดว่าหากกำจัดออกไปได้จะทำให้เขาดูหล่อเหลามากขึ้น!
“สายตาไม่เลว ดูเหมือนว่าเจ้าจะจำสมุนไพรส่วนใหญ่ที่อาจารย์สอนได้”
เสี่ยวเป่ามุ่ยปากส่งเสียงฮึ่ม นางเป็นถึงภูตพฤกษาตัวน้อยนะ
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังรวบรวมสมุนไพรต่าง ๆ หนานกงสือเยวียนก็ไม่ได้อยู่เฉย พาบุตรชายทั้งสองไปเจรจาหารือเรื่องความร่วมมือด้านคาราวานพ่อค้า
ทหารที่เหลือล้วนกระตือรือร้นพากันไปหานักรบฉางเซิงเทียนเพื่อประลองกัน
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกเขาก็สนิทสนมกันถึงขั้นที่เหล่านักรบในเผ่าพาไปดูสัตว์ร้ายยักษ์ด้วยซ้ำ
ขนาดของสัตว์ร้ายใหญ่โตมโหฬาร สามารถแบกร่างกำยำสูงเกือบจั้งของนักรบเผ่าฉางเซิงเทียนได้อย่างง่ายดาย ทหารต้าเซี่ยดูตัวเล็กจ้อยยิ่งนักเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา
ชาวเผ่าฉางเซิงเทียนมีอาวุธสงครามเช่นนี้ หากเปิดสงครามขึ้นมาจริง ๆ แม้ว่าเผ่าหนึ่งจะมีเพียงพันกว่าคนก็สามารถทำให้อาณาจักรเล็ก ๆ ประสบหายนะครั้งใหญ่ได้
ดีที่ความคิดของคนเหล่านี้เรียบง่ายนัก เพียงแค่มองก็เห็นถึงความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่าน หวังว่าตนเองจะได้ขี่หลังสัตว์ร้ายยักษ์
ทว่าเมื่อนึกถึงบางสิ่ง สีหน้าก็พลันจริงจังขึ้นเล็กน้อยอย่างชัดเจน
ย้อนกลับไปเมื่อตอนเย็นที่พวกเขาได้รวมตัวเพื่อปรึกษาหารือกัน
“ฝ่าบาท นักรบเผ่าฉางเซิงเทียนต่างหาญกล้าเก่งกาจด้านการต่อสู้ หนึ่งคนเทียบได้กับพวกเรานับสิบ หากเพิ่มสัตว์ร้ายยักษ์ก็สามารถทำลายกองทัพขบวนเล็กที่มีคนนับร้อยได้”
ขนาดของสัตว์ร้ายยักษ์ใหญ่โตเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความดุร้ายแข็งแกร่ง ม้าศึกของพวกเขาไม่อาจไปยืนเบื้องหน้าสัตว์ร้ายยักษ์ได้เลย
“ชนเผ่าที่มีคนเช่นนี้น่ากลัวอย่างแท้จริง ยังดีที่พวกเขามีคนไม่มาก”
กล่าวอีกแง่ นี่เองก็เป็นความสมดุลอย่างหนึ่ง
หนานกงฉีหลิงกล่าว “ดูจากตอนนี้แล้ว หัวหน้าเผ่าและหมอผีคนปัจจุบันไม่มีใจทะเยอทะยาน อุปนิสัยคนที่นี่ก็เรียบง่ายซื่อตรง ไม่น่าจะเป็นภัยคุกคามอันใดต่อพวกเรากระมัง”
“เพียงแค่ตอนนี้ แต่อนาคตเล่า พวกเราไม่อาจรับประกันเกี่ยวกับหัวหน้าเผ่าคนต่อไปได้ หากอยู่อย่างสงบก็แล้วไป ทว่าบางทีอาจมีตัวตนที่น่ากลัวยิ่งกว่าซยงหนูเกิดขึ้นที่นี่”
มีคนคิดว่าอันตรายทั้งหมดควรจัดการตั้งแต่ต้น บางคนก็คิดว่าคนที่นี่กับชาวซยงหนูไม่เหมือนกัน มีแนวโน้มอย่างมากที่จะชื่นชอบความสงบสุข
เสี่ยวเป่าเดินเข้ามาจากด้านนอก “ท่านพ่อ”
ทุกคนต่างมองไปทางนาง
บางคนมีท่าทางไม่พอใจกับการปรากฏตัวของนาง เด็กหญิงตัวน้อยจะโผล่ขึ้นมาในการประชุมของพวกเขาได้อย่างไร
ทว่าพริบตาต่อมาพวกเขาพลันหนาวเหน็บบริเวณลำคอ ถูกฝ่าบาทจ้องมาด้วยสายพระเนตรเย็นเยียบจนต้องรีบก้มศีรษะลง
ฝ่าบาทจะโปรดปรานองค์หญิงเกินไปแล้ว!
เสี่ยวเป่าไม่สนใจความคิดของพวกเขา นางเดินเข้าไปคำนับแล้วกล่าวออกมา
“จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องกังวลมากถึงเพียงนี้ สัตว์ร้ายยักษ์เหล่านั้นเหมาะกับการดำรงชีวิตอยู่บนภูเขาเหมันต์เท่านั้น หากออกไปด้านนอกย่อมไม่อาจปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมจนต้องล้มป่วยหรือตายลงเป็นแน่”
มีคนทนต่อไปไม่ไหวเอ่ยออกมาอย่างดูแคลน “องค์หญิงรู้ได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าอยู่ที่ฉางเซิงเทียนมานานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่แล้วกระมัง”
เสี่ยวเป่าตอกกลับโดยไม่ไว้หน้า “ท่านลองใส่เสื้อขนสัตว์หนา ๆ ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวดู ลองดูเสียว่าจะป่วยหรือไม่ สมองไม่ค่อยได้ใช้จนกลายเป็นกล้ามเนื้อไปหมดหรือ ด้านในถึงเต็มไปด้วยขี้เลื่อย”
นางเหน็บแนม “นี่ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนหรือ ท่านแสร้งทำเป็นตาบอดหรือตาบอดจริง ๆ กันแน่”
ชายร่างใหญ่กำยำโกรธเสียจนหน้าดำหน้าแดง ไม่รู้จะตอบโต้กลับไปเช่นไร
เขาพยายามมองไปทางฝ่าบาทและองค์ชายทั้งสองเพื่อขอความช่วยเหลือ
องค์ชายห้า หนานกงฉีหลิงเปิดปาก “น้องหญิงกล่าวถูกต้องแล้ว สัตว์ร้ายยักษ์ขนหนาถึงเพียงนี้ ไม่อาจออกไปใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกได้จริง ๆ พวกเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
องค์ชายสี่พยักหน้า “น้องหญิงกล่าวถูกแล้ว”
ฮ่องเต้ให้ท้ายเสียยิ่งกว่า มองไปทางเขาแล้วพูดว่า “ออกไป”
ที่นี่ไม่จำเป็นต้องมีเจ้า
คนผู้นั้น “…”
เขาถูกไล่ออกไปด้วยใบหน้าซีดเผือด จบแล้ว ฝ่าบาทไม่ใช่ว่าเอือมระอาข้าแล้วกระมัง
ภายในกระโจมเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมีคนเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“แม้… แม้ว่าจะไม่มีสัตว์ร้ายยักษ์ แต่คนของฉางเซิงเทียนก็ไม่ควรมองข้าม”
เสี่ยวเป่าเลิกคิ้ว ถามเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “ถ้าหากผู้นำของท่านคิดว่าการดำรงอยู่ของท่านสั่นคลอนตำแหน่งของเขา ดังนั้นจึงจัดการท่านล่วงหน้า เป็นท่านจะรู้สึกเช่นไร”
ผู้นำอย่างหนานกงสือเยวียน : …
ผู้ถาม : …
คนอื่น ๆ : …
เป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดยิ่ง
ทว่า…
เสี่ยวเป่าเอ่ยต่อไม่เว้นจังหวะแม้แต่น้อย “ข้าเชื่อว่าท่านพ่อหรือกระทั่งพี่ใหญ่ ต่างรู้จักมองคน มีจิตใจกว้างขวาง และมีความสามารถสยบภัยอันตรายจากรอบด้านได้”
“แต่คนรุ่นหลัง…”
หนานกงสือเยวียนเอ่ยอย่างไม่แยแส “หากฮ่องเต้รุ่นหลังโง่เขลาเบาปัญญา ราชสำนักไร้ความสามารถ เช่นนั้นทั้งราชวงศ์ก็คงสูญสิ้น ผู้ใดทำลายจะแตกต่างกันอย่างไร”
ถึงยามนั้นเขาคงตายไปแล้ว ยังจำต้องไปกังวลเกี่ยวกับรุ่นหลังอีกหรือ
หนานกงสือเยวียนกล่าวกับพวกเขา “เพียงเพราะอาจกลายเป็นภัยคุกคามในอนาคตจึงต้องการสร้างความขัดแย้งกับเผ่าฉางเซิงเทียนในตอนนี้ พวกเจ้าไร้สมองโง่งมหรือคิดว่าข้าไร้ความสามารถ ขนาดองค์หญิงยังรู้ความ ทั้งยังมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากกว่าพวกเจ้าอีก”
เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าด้วยความอับอาย
“แยกย้ายไปได้แล้ว”
หนานกงสือเยวียนเอ่ย ทุกคนทำความเคารพแล้วจากไป
เสี่ยวเป่านั่งลงข้างท่านพ่อ ปากน้อย ๆ เม้มเข้าหากัน
หนานกงสือเยวียนพูดอย่างขบขัน “โกรธแล้วหรือ”
เสี่ยวเป่า “ฮึ่มฮึ่ม”
“คนเหล่านี้มักดูแคลนสตรี ให้ความสำคัญกับบุรุษมากเกินไป ทว่ายามต่อสู้ยังนับว่าห้าวหาญ จุดบกพร่องเล็กน้อยไม่นับเป็นปัญหามากมาย แต่คิดไม่ถึง…”
คิดไม่ถึงว่าจะกล้านำความคิดนั่นมาใช้กับเสี่ยวเป่าของเขา
ดวงตาหนานกงสือเยวียนทอประกายเย็นเยียบ “กลับไปค่อยให้พวกเขาได้รับรู้ว่าการดูแคลนสตรีของตนจะนำพาปัญหามามากเพียงใด”
เสี่ยวเป่าเริ่มสนใจขึ้นมา “ท่านพ่อจะสอนบทเรียนให้พวกเขาเช่นไร”
หนานกงสือเยวียนตอบ “เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ย่อมให้ท่านอาเจ็ดของเจ้าจัดการ เขาเก่งกาจด้านนี้ที่สุด”
หนานกงหลีที่อยู่ห่างออกไปไกลถึงเมืองหลวงต้าเซี่ยพลันจามออกมาเสียงดัง รู้สึกว่าจะต้องมีคนคิดร้ายต่อตนแน่!
เสี่ยวเป่าร้องโอ้ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็เอนกายลงพิงร่างท่านพ่อ ลืมเรื่องไม่มีความสุขเหล่านั้นออกไปจากสมองทันที เริ่มบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องดี ๆ ที่พบเจอด้านนอกในวันนี้
หลังจากอยู่ในเผ่ามาสองวัน เสี่ยวเป่า ท่านพ่อ พี่ชาย และอาจารย์ก็ออกไปตามหาโสมเหมันต์ด้วยกัน
เยว่หลีกับอานั่วซือเองก็ติดตามไปด้วย
ยามนี้เยว่หลีมีวิธีปกป้องตัวเองแล้ว เดิมเขาเก่งกาจในการควบคุมกู่ ไหมเหมันต์ที่ถูกค้นพบจึงกลายเป็นกู่พกติดร่างเขาเรียบร้อย
ทั้งยังคิดจะลองใช้กู่กับอานั่วซือตลอดเวลา
อานั่วซือเองก็ไม่ใช่คนยอมอันใดง่าย ๆ หมาป่ายักษ์เหล่านั้นจับจ้องไปที่เยว่หลีราวกับมองเนื้อชิ้นหนึ่ง
ทว่าเสี่ยวเป่าตะโกนบอกทั้งสองคนเสียงดังฟังชัด “พวกเจ้าสู้กันได้ แต่อย่าฆ่ากันนะ เยว่หลียังต้องช่วยรักษาท่านพ่อของข้าอยู่”
เยว่หลีที่นั่งอยู่บนหลังสัตว์ร้ายยักษ์เบะปาก “ข้ามีประโยชน์เพียงแค่นั้นหรือ”
เสี่ยวเป่าบ่นงุบงิบในใจ เช่นนั้นแล้วอย่างไร พวกเจ้าขัดแย้งกันเองเกี่ยวข้องอันใดกับข้าด้วยเล่า โน้มน้าวไปก็เท่านั้น
พวกเขาเข้าไปในป่าที่นักรบเผ่าฉางเซิงเทียนกล่าวว่าพบโสมเหมันต์
เสี่ยวเป่ามองไปรอบด้านอย่างตื่นตัวทันที กลัวว่าตนเองจะพลาดโสมอันล้ำค่าไป
“ด้านในไม่เหมาะกับสัตว์ร้ายยักษ์เท่าใดนัก พวกเราต้องเดินเท้าเข้าไป”
ดังนั้นทุกคนจึงลงจากหลังสัตว์ร้ายยักษ์ ทว่าหมาป่ายักษ์ยังคงเข้าไปได้
ระหว่างการเดินตามหา เมื่อพบเหยื่อ คนจากเผ่าฉางเซิงเทียนก็เข้าไปล่าอย่างตื่นเต้น
หมาป่ายักษ์เองก็แยกตัวออกไปเพื่อล่าอาหารกิน
ครั้นได้เห็นท่าทางของนักรบฉางเซิงเทียน ทหารต้าเซี่ยพลันทอดถอนใจ “อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ให้มีชีวิตรอด ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะมีร่างกายแข็งแกร่งใหญ่โตเช่นนี้”
โดยทั่วไป สิ่งที่พวกเขาทำเป็นประจำคือการประลองในหมู่พวกเดียวกัน
ทว่าคนเหล่านั้นเข้าต่อสู้กับสัตว์ร้ายซึ่ง ๆ หน้า เมื่อเทียบกับนักรบของเผ่าแล้ว การฝึกฝนของพวกเขายังถือว่าเล็กน้อยนัก
ต่อหน้าพละกำลังอันเด็ดขาด ฝีมืออันใดล้วนไร้ประโยชน์
หนานกงสือเยวียนมองเหล่านักรบฉางเซิงเทียนที่กู่ร้องพร้อมตรงเข้าไปจัดการกับเหยื่อ ภายในดวงตาเปล่งประกายด้วยความชื่นชม
แม้เหล่าบัณฑิตแทบทั้งหมดในต้าเซี่ยจะดูแคลน มองว่าพฤติกรรมของพวกเขาหยาบคายป่าเถื่อน แต่สำหรับหนานกงสือเยวียนผู้ชื่นชอบอิสระเสรีบนหลังม้า นี่เป็นความห้าวหาญและสง่างามอย่างหนึ่ง
พลังเช่นนี้คือสิ่งที่บุรุษผู้ฝึกยุทธ์เลื่อมใสและใฝ่หามากที่สุด
………………………………………