บทที่ 355 วิญญาณอาฆาตจักรพรรดิภูต
“ใต้เท้า เป็นเจ้าหนูคนนี้ เขาชื่อสวี่ชิงขอรับ
“นอกจากนี้เขายังมีผู้ร่วมมืออีกคนหนึ่ง จากการสืบคือศิษย์พี่ของเขา ชื่อเฉินเอ้อร์หนิว ส่วนคนที่สามก็สืบได้กระจ่างแล้ว เป็นธิดาเทพของสำนักเต๋านอกวิถีมณฑลรับเสด็จราชัน ชื่อว่าชิงชิว อยู่ระหว่างการเดินทางเช่นกัน ไม่กี่วันนี้ก็จะมาถึง”
สีหน้าของชายชราฉายแววแปลกประหลาด ก่อนจะพูดต่อไป
“เรื่องที่ทั้งสามคนนี้ทำยิ่งเพิ่มความบ้าคลั่งให้กับโยวจิง ดังนั้นจากการวิเคราะห์ของข้า พวกเขาน่าจะเป็นคนที่โยวจิงเกลียดที่สุดในตอนนี้”
ชายกลางคนพยักหน้า
“ยังไม่ต้องรีบร้อน พวกเราลองลงมือกันเองก่อน หากสุดท้ายยังไม่อาจทำให้จิตใจของโยวจิงแตกสลาย ทำให้พวกเราค้นวิญญาณไม่ราบรื่น ก็พาพวกเขาไปกระตุ้นโยวจิงสักหน่อย
“แล้วก็สวี่ชิงคนนี้ไม่เลวเลย นิสัยใจคอก็ดี หากเขามีความสามารถมาเป็นผู้ครองกระบี่ได้ ก็นับว่าเป็นต้นกล้าที่ดี
“ช่วงนี้เขตปกครองบนเตรียมเปิดแดนต้องห้ามเซียนบรรพกาลอีกครั้ง เพื่อรับมือกับสัญญาณฟื้นฟูที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ของมณฑลต่างๆ ดังนั้นการทดสอบครั้งนี้ พวกเจ้าเพิ่มความโหดเหี้ยมขึ้นได้เล็กน้อย ยุคสมัยไม่เหมือนเดิมแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องการคือหมาป่า มิใช่สุนัขบ้าน”
ชายชราได้ยินคำว่าแดนต้องห้ามเซียนบรรพกาลสี่คำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี
“จะเปิดแดนต้องห้ามเซียนบรรพกาลอีกครั้งหรือ ที่นั่นไม่ได้ลือกันว่าพบเทพที่ไม่รู้จักกำลังนิทราหรอกหรือขอรับ
“ใช่แล้ว คนคิดว่าเคราะห์ภัยของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มาจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้าเท่านั้น แต่กลับไม่รู้…จากบันทึก ในยุคที่เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณคนนั้นจำต้องจากไป เทพเจ้าที่มาเยือนไม่ได้มีเพียงเสี้ยวหน้าเท่านั้น ยังมีอีกจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่
“ไม่รู้ว่าเหล่าองค์ท่านกำลังรออะไร เขตปกครองบนมีความคิดจะเปิดอีกครั้ง บางทีก็รับคำสั่งไปพิสูจน์สักหน่อย” ชายกลางคนส่ายหน้า หันหลังจากไป
มีเพียงชายชรายืนอยู่ที่เดิม สีหน้ามีร่องรอยซับซ้อน ถอนหายใจเบาๆ ออกมา ร่างค่อยๆ เลือนหายไป
เวลาหมุนผ่านไปช้าๆ เจ็ดวันผ่านไป
ในเวลาเจ็ดวันนี้สวี่ชิงก็กลับมาใช้ชีวิตเช่นในอดีต ทุกวันเขาล้วนไปที่ลานพิธีเต๋า ตั้งใจเรียนที่นั่น เรียนวิชาความรู้สมุนไพรมากมาย
ไม่มีใครส่งสารท้าประลองมาให้เขาอีก ทำให้สวี่ชิงกลายเป็นคนที่สองที่ไม่มีใครกล้าท้าประลองของสำนักต่างๆ
ในระหว่างนี้ผู้สืบมรรคาของสำนักเซียนล้ำบารมีก็กลับมาแล้ว
การกลับมาของเขาสร้างแสงพรายรุ้งทั่วฟ้า เหมือนว่าเคล็ดวิชาของเขาเพิ่งจะบริบูรณ์ ยังทำได้ไม่ถึงขั้นเก็บซ่อนได้โดยสมบูรณ์ สร้างความสนใจนับไม่ถ้วน สวี่ชิงเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าเช่นกัน
เขาสัมผัสได้ถึงพลังกดดันกลุ่มหนึ่งจากในแสงพรายรุ้งรอบกายของผู้สืบมรรคาคนนั้น
และหลังจากที่ผู้สืบมรรคาคนนี้กลับมา สำนักเซียนล้ำบารมีก็เป็นปกติทุกอย่าง เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเรื่องจากการตายของหลี่จื่อเหลียง เหมือนว่าในใจเขา หลี่จื่อเหลียงไม่เกี่ยวอะไรอะไรกับเขา
“เป็นเขาอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงพึมพำ เขาไม่แน่ใจ แต่นี่ก็ไม่ส่งอิทธิพลต่อความระมัดระวังและการเตรียมพร้อมป้องกันของเขา
นอกจากนี้ ในเจ็ดวันนี้ ผลเก็บเกี่ยวที่มากที่สุดของสวี่ชิงก็คือการพัฒนาทางด้านวิถีลูกกลอน
โดยเฉพาะชายชราที่ลานพิธีเต๋า ในการบรรยายครั้งหนึ่งได้เอ่ยแนวความคิดขึ้นมา แนวความคิดนี้อีกฝ่ายพูดตรงๆ ว่ายังไม่สมบูรณ์ นับได้เพียงเอามาใช้สนับสนุนเท่านั้น
นั่นก็คือการแยกแยะสมุนไพรที่ไม่รู้จัก
จากเส้นลมปราณของมันวิเคราะห์วงศ์ จากวงศ์วิเคราะห์คุณสมบัติ จากคุณสมบัติวิเคราะห์สรรพคุณยา จากสรรพคุณยาตัดสินว่าเป็นหยินหรือหยาง วิธีการวิเคราะห์ทั้งชุดนี้เปิดแนวความติดใหม่ให้กับสวี่ชิง
และเขานึกย้อนถึงความรู้เรื่องสมุนไพรที่ตนมี พบว่าวิธีการแยกแยะวิธีนี้แม้จะไม่ถูกทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็มีแปดส่วนที่ถูกต้อง
แม้หนทางวิถีลูกกลอน ห่างเพียงเล็กน้อยก็ห่างกันราวฟ้ากับเหว แต่สำหรับผู้บำเพ็ญวิถีลูกกลอน มีวิธีแยกแยะเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยก็มีประโยชน์อย่างมาก ในด้านการบุกเบิกพัฒนาสมุนไพรตัวใหม่
นอกจากนี้สวี่ชิงยังได้ยินคำว่าสมุนไพรคุณสมบัติเทพคำนี้จากชายชราบนลานพิธีเต๋าอีกด้วย
สมุนไพรคุณสมบัติเทพ สวี่ชิงทั้งไม่คุ้นเคยแต่ก็คุ้นเคย ไม่คุ้นเคยเพราะในตำราสมุนไพรของปรมาจารย์ไป่ มีการจดบันทึกเกี่ยวกับมันไม่มาก ส่วนคุ้นเคยเพราะนับจากที่เขาคลุกคลีกับสมุนไพร ก็ตามหาหญ้าที่มีคุณสมบัติเทพมาโดยตลอด
แต่จวบจนหัวหน้าเหลยจากไป จวบจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังหาไม่เจอ
นั่นก็คือดอกลิขิตฟ้าที่สามารถต่อชะตาชีวิตได้
“ดอกลิขิตฟ้า มีอีกชื่อว่าเพลิงต่อชะตา สมุนไพรแห่งเทพเจ้า เป็นการกลายพันธุ์ประหลาดมาจากพืชตระกูลไม้ซ้อนอันมหัศจรรย์ การเปลี่ยนแปลงนี้มีบันทึกไว้เจ็ดสิบสามชนิด แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้ เติบโตอยู่ในเขตพื้นที่ต้องห้ามทุกที่อย่างไม่มีกฎเกณฑ์ จำนวนมีอยู่น้อยถึงน้อยมาก
“สรรพคุณสามารถรักษาอวัยวะที่ขาดหายให้งอกใหม่ ฟื้นคืนชีวิต นอกจากบาดแผลทางจิตวิญญาณแล้ว ยังใช้กับการแพทย์ทั่วไปได้ทุกแขนง”
ลานพิธีเต๋าข้างหน้า ชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เอ่ยราบเรียบ ถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้บำเพ็ญที่ฟังบรรยายเรื่องสมุนไพรที่นี่
สำหรับเขาแล้ว ความรู้เรื่องสมุนไพรและลูกกลอนเป็นทั้งของตน และเป็นทั้งของเผ่ามนุษย์ ดังนั้นต่อให้คนที่ฟังไม่เยอะ แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดมาถ่ายทอดความรู้
กระทั่งว่าเมื่อหลายปีก่อนเขายังพเนจรไปทั่ว ไปบรรยายถ่ายทอดความรู้ด้านสมุนไพร ยาลูกกลอนไปในเขตเผ่ามนุษย์ต่างๆ เพียงแต่ช่วงนี้อายุของเขามากแล้ว อายุขัยใกล้หมดสิ้นเต็มที มีใจแต่ไร้ซึ่งกำลัง จึงไม่ออกไปข้างนอก
แต่อยู่ที่โถงครองกระบี่ สอนความรู้เรื่องสมุนไพรให้กับผู้บำเพ็ญไร้สังกัด
เนื่องจากพบเจอนักเรียนมามากมาย ดังนั้นสำหรับผู้บำเพ็ญที่มาฟังคำบรรยายไปๆ มาๆ เหล่านี้ ก็ล้วนไม่สนใจทั้งนั้น มาก็ดี ไปก็ช่าง เขาล้วนไม่สนใจ
“พืชที่มีคุณสมบัติเทพที่ว่า ดูจากต้นกำเนิดของมันแล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับขั้นชีวิต ข้าหลายปีมานี้กระทั่งว่าศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้มาโดยตลอด พืชพรรณประเภทนี้เหมือนจะสามารถปรับตัวเข้ากับโลกหลังจากที่เทพเจ้ามาเยือนได้ดีกว่าเผ่าพันธุ์ที่มีเลือดเนื้อ
“ข้าจึงมักคิดว่า บางทีพืชพรรณคุณสมบัติเทพอาจจะเป็นทิศทางการการศึกษาค้นคว้าเทพเจ้าของเผ่าพันธุ์อื่นๆ”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ร่างกายก็สะท้านเฮือก เขาพลันนึกถึงเทียนประทีป นึกถึงไป๋ลี่ในตอนนั้นขึ้นมา
ในตัวไป๋ลี่ก็มีต้นไม้วิญญาณต้นหนึ่งเช่นกัน สุดท้ายหลอมรวมเป็นหนึ่งไปกับต้นไม้วิญญาณ และเคยปะทุระลอกคลื่นพลังคุณสมบัติเทพออกมาในระดับหนึ่งด้วย จากนั้นเขาก็คิดถึงเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง
เขาไม่รู้ว่าศึกที่สำนักนำบารมีตอนนั้นในตัวของร่างทดสอบเทพเจ้าร่างนั้นมีต้นไม้วิญญาณหรือไม่ จุดนี้เขาคิดว่าเดี๋ยวจะกลับไปถามอาจารย์สักหน่อย
จะอย่างไรร่างทดสอบเทพเจ้าร่างนั้นยังอยู่ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิต อาจารย์ของตนกำลังศึกษาค้นคว้ามันอยู่
คิดถึงตรงนี้สวี่ชิงก็ตั้งใจฟังต่อ บางครั้งเจอกับเนื้อหาที่ชายชราบรรยายลึกเกินไป เขาไม่สะดวกไปถาม ก็หยิบตำราสมุนไพรออกมาจดเอาไว้ ไว้ไปศึกษาค้นคว้าภายหลัง
ผู้บำเพ็ญที่ฟังบรรยายคนอื่นๆ ส่วนมากล้วนเป็นเช่นนี้ ประเดี๋ยวๆ ก็จดบันทึกเหมือนกัน
เวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือนเช่นนี้เอง
สวี่ชิงจมอยู่ในการศึกษาเรียนรู้ แต่จะอย่างไรก็มีวันที่ต้องเลิกรา พลบค่ำของวันนี้ จากการบรรยายเนื้อหาเรื่องสมุนไพรคุณสมบัติเทพที่จบลงโดยสมบูรณ์ เขาก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังผู้บำเพ็ญที่มาฟังคำบรรยายเจ็ดแปดคนนี้โดยมีสวี่ชิงรวมอยู่ในนั้นด้วย
“หลังจากนี้พวกเจ้าไม่ต้องมาแล้ว บทเรียนพื้นฐานของสมุนไพรข้าบรรยายจบแล้ว รอเมื่อวิถีลูกกลอนของพวกเจ้าทะลวงได้ถึงขอบเขตที่สูงกว่านี้ค่อยมาหาข้า ข้าจะบรรยายบทที่สูงขึ้นให้ฟัง
“นอกจากนี้ ชีวิตนี้ข้าไม่รับลูกศิษย์ เพราะสิ่งที่บรรยายไปไม่ใช่สมบัติส่วนตัว เป็นศิษย์หรือไม่เป็นศิษย์ไม่มีอะไรแตกต่าง เวรกรรมก็ลดน้อยลงด้วย”
ชายชราเอ่ยราบเรียบ สายตากวาดไปยังคนที่อยู่ข้างล่างทั้งหลาย ไม่ได้หยุดอยู่ที่ใครทั้งนั้น มีเพียงที่ตำรายาในมือสวี่ชิงเท่านั้นที่เหมือนจะมองอยู่นานหน่อย
สวี่ชิงและคนอื่นๆ ที่นี่ต่างรีบลุกขึ้น โค้งคารวะชายชราด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อม
แม้ต่างจะไม่ใช่ศิษย์อาจารย์ที่แท้จริง แต่การสอนในเวลาเดือนกว่านี้ก็นับว่าเป็นบุญคุณ
แต่ในนั้นก็ยังมีผู้บำเพ็ญสามคนที่สีหน้าฉายความเสียดาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดอยากใช้ความตั้งอกตั้งใจของตัวเอง ช่วงชิงโอกาสขอฝากตัวเป็นศิษย์
อย่างไรเสียคนที่ฟังบรรยายอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้มีความรู้ด้านสมุนไพรทั้งนั้น พวกเขารู้ดีว่าความลึกซึ่งด้านวิถีสมุนไพร ยาลูกกลอนของชายชราบรรลุถึงขั้นสุดยอดแล้ว
และคนแบบนี้สอนหนังสืออยู่ที่โถงกระบี่ ตัวตนของเขาในโถงครองกระบี่จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ที่ลานพิธีเต๋าแห่งนี้ที่เป็นแบบนี้ ที่ลานพิธีเต๋าแห่งอื่นในเมืองมรรคาสวรรค์ที่บรรยายวิชาเวทการฝึกฝน หรือจะเป็นที่ฝึกฝนการใช้อาวุธ คนที่ฟังคำบรรยายส่วนใหญ่ล้วนมีความหวังเช่นนี้กันทั้งนั้น
แต่ตอนนี้ จากคำพูดของชายชรา พวกเขาก็รู้ว่าไม่มีความหวัง
“ขอบคุณผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง” คนทั้งหลายต่างทยอยเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม หลังจากโค้งคารวะสามครั้ง ก็ต่างจากไป
สวี่ชิงก็เช่นกัน โค้งคารวะสามครั้งจากไป
จวบจนเงาร่างของพวกเขาหายลับไปในที่ไกล มิติข้างกายชายชราบนลานพิธีเต๋าบิดเบี้ยว มีผู้ครองกระบี่คนหนึ่งเดินออกมา
คนคนนี้พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา ระลอกพลังระดับปราณก่อกำเนิดทั้งร่าง เขาสีหน้าเคารพนอบน้อม โค้งคารวะชายชรา
“ใต้เท้า ข้ามารับท่านกลับไปขอรับ”
ชายชราพยักหน้า ค่อยๆ ลุกขึ้น กำลังจะจากไป แต่มองไปทางทิศที่สวี่ชิงจากไปแวบหนึ่ง ในสมองมีตำราสมุนไพรที่อีกฝ่ายหยิบออกมายามจดบันทึก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ชี้ไป
“สืบที่มาที่ไปของเจ้าหนูนี่หน่อย”
ผู้ครองกระบี่อึ้งตะลึง หลังจากสายตากวาดไปก็หยิบแผ่นหยกออกมา ถามอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็ตอบกลับไปด้วยเสียงต่ำทุ้ม
“เด็กคนนี้ชื่อว่าสวี่ชิง มาจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแห่งพันธมิตรแปดสำนัก เป็นว่าที่ผู้สืบมรรคาของพันธมิตรแปดสำนัก ก่อนหน้านี้ได้ลงมือสังหารอัจฉริยะฟ้าประทานของสำนักเซียนล้ำบารมีที่นอกเมืองขอรับ
“สำนักเจ็ดเนตรโลหิตหรือ เป็นสำนักเล็กๆ สำนักนั้นในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณกระมัง” ชายชราแววตาย้อนนึก
“เป็นทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณขอรับ” ผู้ครองกระบี่เอ่ยอย่างนอบน้อม
“ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณอย่างนั้นหรือ มิน่าเล่าเขาถึงมีตำราสมุนไพรเล่มนั้น” ชายชราพึมพำ เขาไม่รู้จักสวี่ชิง แต่เขารู้จักตำราสมุนไพรเล่มนั้น
เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยไปทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ในยามที่พเนจรไปถ่ายทอดความรู้เรื่องสมุนไพร ก็ได้พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งในผืนอินทนิล
เด็กหนุ่มคนนั้นขยันขันแข็ง มีพรสวรรค์สูง ทำให้เขาเกิดความคิดจะรับศิษย์ขึ้นมา แต่ในยามที่เขาถามอีกฝ่ายว่ายินดีจะตามเขาจากไปหรือไม่ อีกฝ่ายปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม บอกว่าจะอยู่ที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ จะอยู่ในผืนอินทนิล
เขาไม่ได้ฝืนบังคับ แต่ก่อนจาก ได้ให้ตำราสมุนไพรเล่มหนึ่งไว้ให้กับเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นกำลังใจ
ตอนนี้ผ่านไปหกสิบปี เมื่อหลายวันก่อนได้เห็นตำราสมุนไพรเล่มนั้นอยู่ในมือของสวี่ชิง เขารู้สึกคุ้นตา ตอนนี้ก็นึกถึงเรื่องราวในอดีตได้อย่างสมบูรณ์
ชายชราทอดถอนใจนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ถามความเห็นอะไรกับสวี่ชิง จะอย่างไรก็ล้วนเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ตอนนี้จึงส่ายหน้า เดินไปข้างหน้า มุ่งตรงไปยังโถงครองกระบี่
ส่วนสวี่ชิงเมื่อถึงฐานที่มั่นแล้ว เขาก็จัดระเบียบวิถีลูกกลอนที่ตนเรียนมาในช่วงนี้ใหม่ จำเอาไว้จนขึ้นใจ เสริมความแม่นยำความจำ แล้วจึงนั่งขัดสมาธิ เริ่มนั่งสมาธิ
ในยามที่ฟ้าสาง สวี่ชิงลืมตาขึ้น มองไปทางเสามรรคสวรรค์พ้นพันธะ
“ควรไปปีนแล้ว”
เขาที่มาที่นี่ได้เดือนกว่าแล้วมีความเข้าใจการทดสอบคุณสมบัติอย่างละเอียดและการทดสอบที่แท้จริงต่อจากนี้แล้ว ในนั้นการได้รับสิทธิ์การทดสอบขั้นแรกมีรายการเพิ่มคะแนนมากมาย
ยกตัวอย่างเช่นสัมผัสรับรู้ตราประทับวิญญาณศึกเก้าตรา และความสูงในการปีนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
จำนวนที่สัมผัสรับรู้ได้ยิ่งมาก ปีนได้ยิ่งสูง คะแนนที่ได้บวกเพิ่มก็ยิ่งมาก
นอกจากนี้แม้ในตลาดจะมีปราณธาตุทองซ่างจางขายบ้าง แต่ราคาสูงมาก สวี่ชิงยังเสียดายที่จะต้องซื้ออยู่นิดๆ ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร เขารู้สึกว่าตัวเองต้องไปลองปีนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะเองสักหน่อย
จะอย่างไรลูกศิษย์ของพันธมิตรแปดสำนักในตอนนี้ นอกจากเขากับนายกอง ส่วนมากก็ปีนได้ความสูงในระดับหนึ่งแล้ว
“นายกองหายตัวไปแล้วหรือ”
สวี่ชิงเดินออกมาจากฐานที่มั่น ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็ประเมินรอบๆ ช่วงนี้เขาหามาตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่เจอร่องรอยของนายกอง
เห็นนายกองจนแล้วจนรอดก็ไม่ปรากฏตัวสักที สวี่ชิงทำได้เพียงแค่เก็บความคิดที่จะค้นหา ค่อยๆ มาถึงเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
และการปรากฏตัวขึ้นของเขาก็ดึงความสนใจจากคนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ทันที
“เป็นสวี่ชิง!”
“ในที่สุดเขาก็มาแล้ว!”
“ไม่รู้ว่าสวี่ชิงคนนี้จะปีนได้สูงเพียงใด”
ท่ามกลางเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ก็ต่างถอยหลบให้ทาง สวี่ชิงเดินผ่านไปด้วยสีหน้าสงบนิ่งจนไปถึงใต้เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
เทียบกับเสาต้นนี้ ผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่อยู่บนพื้นราวมดปลวก เล็กจ้อยเป็นอย่างยิ่ง
สวี่ชิงเงยหน้ามองเสายักษ์ที่น่าครั่นคร้ามตื่นตะลึงต้นนี้ ในสมองมีกฎการปีนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะที่เขาเข้าใจกระจ่างในช่วงนี้ผุดขึ้น
บนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะต้นนี้ สิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการปีนมีอยู่สองอย่าง
หนึ่งคือการโจมตีจากจิตอาฆาตแค้น
แต่เดิมเสามรรคาสรรค์พ้นพันธะคืออาวุธร้ายกาจ จักรพรรดิภูตใช้อาวุธร้ายกาจชิ้นนี้สังหารสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน นี่ทำให้บนเสาต้นนี้เต็มไปด้วยจิตอาฆาตแค้นก่อนตายของหมื่นเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วน
ความอาฆาตแค้นพวกนี้รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ถูกจิตต่อสู้สะกดเอาไว้ เผยออกมาข้างนอกไม่น่ากลัวขนาดนั้นก็เท่านั้น แต่หากร่างกายไปสัมผัส ก็จะถูกโจมตีจากจิตอาฆาตจำนวนหนึ่ง
อีกทั้งบนเสา การโจมตีจากจิตอาฆาตแค้นรุนแรงเป็นยิ่งนัก
จนเมื่อรุนแรงจนถึงขีดสูงสุดก็จะก่อร่างเป็นวิญญาณอาฆาตผู้บำเพ็ญโบราณที่ตายด้วยน้ำมือของจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของผู้บำเพ็ญ
นี่ก็คือจุดยากจุดที่สอง
ผู้บำเพ็ญมีเพียงกำจัดมันออกจากทะเลความรู้สึกเท่านั้นจึงจะปีนต่อไปได้
หากขับไล่ล้มเหลว ก็จะไม่ถูกแย่งชิงร่าง แต่จะถูกสะเทือนออกไปจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ นับว่าสิ้นสุดการฝ่าด่าน
และยิ่งสูงวิญญาณอาฆาตผู้ฝึกฝนยุคโบราณก็จะสมจริงยิ่งขึ้น ยิ่งขับไล่ยาก อีกทั้งเดิมพวกมันก็เกิดจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ คล้ายว่าเป็นร่างเดียวกัน จึงมีสภาวะที่เหมือนเป็นอมตะ
ดังนั้นทันทีที่เสียเวลานาน ผู้บำเพ็ญก็จะพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ข้อมูลพวกนี้ผุดขึ้นมาในสมองของสวี่ชิง เขามองเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะข้างหน้า สูดลมหายใจลึก
พลังกดดันมหาศาลที่มาจากเสาต้นนี้ ทำให้สวี่ชิงยืนอยู่ตรงนี้สัมผัสได้อย่างชัดเจน ภูเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของเขายิ่งสาดประกายแสงพร่างพรายออกมาในเวลานี้
ครู่หนึ่ง ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายประกายวาววาบ ท่ามกลางการจับจ้องของคนทั้งหลายรอบๆ ร่างเพียงไหววูบทะยานขึ้นฟ้า ก็เหยียบมาบนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
เหยียบไปเพียงก้าวเดียวก็เป็นระยะสิบจั้ง สวี่ชิงดวงตาฉายประกายวาววับ เขาสัมผัสได้ถึงการโจมตีจากจิตอาฆาตแค้น แต่กลับอ่อนมาก ไม่น่ากลัว
ฝีเท้าของเขาจึงไม่หยุดยั้ง ก้าวไปข้างบนอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงต่อไป
สี่สิบจั้ง แปดสิบจั้ง หนึ่งร้อยสามสิบจั้ง…
เวลาเพียงสามถึงห้าอึดใจ เงาร่างของสวี่ชิงก็มาปรากฏที่ความสูงสองร้อยจั้ง ที่นี่ ร่างของเขาหยุดชะงักเล็กน้อยเป็นครั้งแรก
จิตอาฆาตแค้นที่มาจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะจำนวนนับไม่ถ้วนในสมองของเขา ตอนนี้รวมตัวเป็นร่างรางเลือนร่างหนึ่งอย่างรวดเร็ว
กลิ่นอายโบราณมาพร้อมด้วยความบ้าคลั่งและความละโมบแผ่ซ่านออกมาจากร่างนี้ ยิ่งมีเสียงคำรามน่ากลัวดังสะท้อนในสมองเป็นระลอกๆ
เงาร่างใกล้จะก่อตัวสำเร็จแล้วเต็มที
แต่เสี้ยวพริบตาต่อมา…เงาร่างนี้พลันสั่นสะท้านจากการสั่นสะเทือนของภูเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง แตกสลายไปในทันที มีเสียงครวญครางน่าเวทนาดังก้องในนั้นอยู่แว่วๆ คล้ายว่าวิญญาณอาฆาตพวกนี้ถูกเปลี่ยนสภาวะที่เป็นอมตะ ดับสลายไปโดยสมบูรณ์
“จักรพรรดิภูต!!”