บทที่ 292 เห็นดารากลางทิวา-6
หากเยว่ตี๋ไม่อาจดึงสติกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง แล้วนางจะแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่จนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งก็เพียงพานางออกมาจากที่นั่นเท่านั้น
จะอย่างไรคนเราก็ยังต้องฝ่าฟันไปด้วยตัวเอง
เยว่ตี๋ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก
เพียงดื่มสุราเงียบๆ นานๆ ครั้งจะกินกับแกล้มสักคำ
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มชาเข้มนี้จนหมดกา
รู้สึกว่าความกระปรี้กระเปร่าของตนเองก็กลับคืนมาไม่น้อย
เขาตัดสินใจว่าจะไปอาคารกรมสอบสวน
ในเมื่อเวลานี้เขากลับไปเมืองหลวงไม่ได้
แต่บางเรื่องก็ควรรีบรายงานขึ้นไปจะดีกว่า
เมื่อมองย้อนกลับไป เรื่องของหอทรงปัญญากลับเป็นเพียงเรื่องเล็ก
เงินเบี้ยหวัดสี่ล้านตำลึงของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องต่างหากถึงเป็นเรื่องที่หนักเสียยิ่งกว่า
ร้านสุราร้านนี้ไม่มีห้องพัก
แต่โรงเตี๊ยมที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่เยื้องๆ กับร้านสุรานี้
“เจ้าเป็นคนของกรมสอบสวนกลาง”
ในตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งกำลังเตรียมจะลุกขึ้นและจากไป
เยว่ตี๋ก็เอ่ยขึ้นมา
“ใช่”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“เช่นนั้นเจ้าอยู่กองใด”
เยว่ตี๋ถาม
“เจ้าคุ้นเคยกับกรมสอบสวนกลางหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนถาม
“คุ้นเคย แต่ไม่ชอบ”
เยว่ตี๋กล่าว
“ข้าสังกัดกองสัคคะเนตร”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ผู้ตรวจการกองเจี่ยงชางฉง?”
เยว่ตี๋กล่าว
“ไม่ผิด เจ้ารู้จักเขาหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ไม่รู้จัก”
เยว่ตี๋กล่าว
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกอยู่เสมอว่าเยว่ตี๋มีความเกี่ยวพันบางอย่างกับกรมสอบสวนกลาง
ตั้งแต่ที่นางเอ่ยปากถามตนว่าอยู่กองใด ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“หากกรมสอบสวนในเวลานั้นล้วนมีแต่คนหนุ่มเช่นเจ้า ข้าก็จะไม่ออกมา”
เยว่ตี๋พึมพำกับตนเอง
แต่กลับทำให้หลิวรุ่ยอิ่งต้องสั่นสะท้านไปทั้งตัว
ความรู้สึกของเขาไม่ผิดจริงๆ!
เยว่ตี๋ผู้นี้ไม่เพียงเกี่ยวพันกับกรมสอบสวน แต่นางเป็นถึงคนของกรมสอบสวน
แต่ด้วยระดับพลังยุทธ์ของเยว่ตี๋ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นระดับที่ทัดเทียมกับผู้ตรวจการกองของกรมสอบสวน
แต่สำหรับหลิวรุ่ยอิ่ง ชื่อของนางกลับไม่คุ้นหูเท่าไรนัก
ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ตอนนั้นข้ามีนามว่าอวิ้นเหวิน เยว่อวิ้นเหวิน”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพูดสิ่งใดไม่ออกอีกแล้ว
อวิ้นเหวิน
หนึ่งในสองผู้กำกับการกรมที่รองลงมาจากผู้บังคับการกรมสอบสวน
แม้คนในกรมสอบสวนต่างไม่รู้ว่านางแซ่ใด ทั้งไม่รู้ว่านางเป็นชายหรือหญิง
แต่ตำแหน่งผู้กำกับการในกรมสอบสวนนั้นเรียกได้ว่าอยู่ใต้คนหนึ่งคน เหนือคนนับหมื่น
“ผู้กำกับการกรม…อวิ้นเหวิน?”
หลิวรุ่ยอิ่งถามหยั่งเชิง
“ไม่ผิด”
เยว่ตี๋กล่าว
“ความจริงแล้วข้าก็ไม่นับว่าออกจากกรมสอบสวน เพราะแม้ว่าข้าจะไม่ได้ทำงานให้กรมสอบสวนอีกแล้ว แต่ตอนที่ข้าจะจากมา เว่ยฉี่หลินก็ยังคงเก็บตำแหน่งผู้กำกับการไว้ให้ข้า เมื่อใดที่ข้าอยากกลับไปก็สามารถกลับไปได้ทุกเมื่อ”
เยว่ตี๋กล่าว
“เช่นนั้นเหตุใดท่านต้องออกจากกรมเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
น้ำเสียงมีความเคารพขึ้นมา
“ไม่มีเหตุผลใด แค่รู้สึกว่าอุดอู้เกินไป อยากออกมาเดินเล่น ปรากฏว่าพอออกมาก็กลับไปไม่ได้แล้ว”
เยว่ตี๋เอ่ยเยาะตนเอง
จากนั้นก็ล้วงเอาป้ายหยกออกมาจากในอกเสื้อ
ป้ายหยกวงกลมที่ไม่มีลวดลายใดสลักเอาไว้
ข้างหน้าเป็นอักษรคำว่า ‘ผู้กำกับการกรม’
ข้างหลังสลักนามของนางว่า ‘อวิ้นเหวิน’
“ที่นี่คนมากหลากหลายสายตา ข้าน้อยไม่สะดวกคำนับท่าน ขอท่านอภัยด้วยขอรับ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ป้ายหยกก็เหมือนตราประจำตำแหน่ง
ล้วนเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะ
ว่ากันว่าปากเปล่าไร้หลักฐาน
แต่ไรมากรมสอบสวนล้วนรู้จักตราไม่รู้จักคน
“ไม่เป็นไร”
เยว่ตี๋กล่าวเสียงเบา
“เหตุใดท่านจึงมาบอกฐานะกับข้าในเวลานี้”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ความจริงเขามีคำตอบอยู่แล้วในใจ
ที่ถามออกไปก็เพียงต้องการให้แน่ใจเท่านั้น
“เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าตาย”
เยว่ตี๋พูดเน้นทีละคำ
เห็นชัดว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่หลิวรุ่ยอิ่งอยากได้ยิน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่นิ่งงัน
“ฉะนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะช่วยเจ้าสักครั้ง ไปติดตามเอาเบี้ยหวัดสี่ร้อยตำลึงนั้นกลับมา”
เยว่ตี๋กล่าวต่อ
หลิวรุ่ยอิ่งยิ้ม
คำพูดนี้ต่างหากที่เอ่ยสิ่งที่เขาต้องการอยู่ในใจออกมา
การถามหยั่งเชิงผู้กำกับการกรมผู้หนึ่งที่พเนจรอยู่ข้างนอกมาเนิ่นนานว่าเหตุใดจู่ๆ จึงมาเปิดเผยฐานะ
เช่นนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“ท่านคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เจ้าเรียกข้าว่าเยว่ตี๋เถิด…หรือเรียกพี่เยว่ก็ได้”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งค่อนข้างขัดเขิน
“ไม่ใช่ว่าเจ้ามีแผนการแล้วหรอกหรือ”
เยว่ตี๋ดื่มสุราอีกจอกแล้วเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งมีแผนการบ้างแล้วจริงดังว่า
แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนจะทำ ที่แท้แล้วถูกหรือไม่
ในยามที่ไม่มั่นใจ ก็มักอยากจะสอบถามคนให้มาก
แต่ไม่ใช่เพราะต้องการคำชี้แนะ
ทว่าอยากได้ยินความเห็นชอบ เพื่อให้ตนเองมีความมั่นใจมากขึ้น
“แต่ข้าต้องบอกชัดเอาไว้ก่อนข้อหนึ่ง”
เยว่ตี๋เปลี่ยนเรื่องทันใด จู่ๆ น้ำเสียงก็เคร่งขรึมขึ้นมา
“พี่เยว่โปรดบอกมา!”
“เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เจ้าห้ามเอ่ยถึงอีกแม้แต่คำเดียว”
เยว่ตี๋กล่าว
“ข้าเข้าใจแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่ใช่เข้าใจ แต่จะต้องทำเช่นนั้น”
เยว่ตี๋กล่าว
“ข้าจะทำเช่นนั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวหนักแน่น
“คนตระกูลเขาล้วนเป็นคนของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องมาทุกชั่วคน…ผูกพันล้ำลึกวาสนาตื้นเขิน ถือว่านี่เป็นเรื่องสุดท้ายที่ข้าทำเพื่อเขาก็แล้วกัน”
เยว่ตี๋กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่านางเอ่ยถึงใคร
บุตรชายของซุนเต๋ออวี่ ผู้บังคับการวังเจิ้นเป่ยอ๋องผู้นั้นนั่นเอง
“พวกเขา…ล้วนไม่รู้ความสัมพันธ์ของท่านกับกรมสอบสวนหรือขอรับ”
ในที่สุดหลิวรุ่ยอิ่งก็อดไม่ไหว ถามมากความไปอีกประโยคหนึ่ง
“ไม่รู้ ครั้งข้าอยู่ในกรมสอบสวนใช้นามว่าอวิ้นเหวิน นอกจากเว่ยฉี่หลินแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่าข้าแซ่เยว่ เพราะเดิมทีแซ่นี้ก็พบเห็นได้น้อยนัก เมื่อเขียนออกมาก็จะสะดุดตาผู้คนอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดย้อนกลับไป มันก็ทำให้วันข้างหน้าของข้าสะดวกขึ้นไม่น้อยเลยจริงๆ”
เยว่ตี๋กล่าว
“พี่เยว่ออกจากกรมสอบสวนมานานเท่าไรแล้วหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“จำไม่ได้แล้ว…คาดว่าคงพอๆ กับชั่วอายุของเจ้า”
หลิวรุ่ยอิ่งรอให้เยว่ตี๋ดื่มสุราจนหมดเพื่อจะได้ออกไปพร้อมกัน
แต่เวลานี้กลับมีผีสุราที่ดื่มจนเมามายผู้หนึ่ง เอาแต่จับจ้องมายังเยว่ตี๋และเดินเข้ามาหา
หลิวรุ่ยอิ่งขมวดคิ้ว
แต่เขาก็ไม่เหมาะจะไปเร่งเยว่ตี๋
เห็นชัดว่าผีสุราผู้นั้นเป็นชาวยุทธภพ
มองจากดาบขนาดใหญ่ที่เขาแขวนไว้ที่เอวก็ดูออกแล้ว
คนเช่นนี้ เช้าค่ำมีสุรา เช้าค่ำเมามาย
เมื่อไม่มีเงินแล้ว ก็ไปทำการค้าที่ไม่ต้องมีต้นทุนพวกนั้น
สรุปก็คือทำในสิ่งที่ไม่มีขอบเขตว่าผิดหรือถูก
เห็นชัดว่าเสี่ยวเอ้อร์รู้ถึงนิสัยของชาวยุทธภพผู้นี้
พอเห็นดังนั้นเขาก็รีบตรงปรี่มายังโต๊ะของหลิวรุ่ยอิ่งเพื่อขวางเอาไว้
“นายท่านจางขอรับ! ท่าน…”
เสี่ยวเอ้อร์ยังไม่ทันพูดจบ
ก็ถูกนายท่านจางผู้นี้ตบหน้าอย่างแรง
“แม้แต่เรื่องของข้า เจ้าก็ยังกล้ามาสอด?”
นายท่านจางผู้นี้เดินโซเซกล่าวทั้งกลิ่นสุราเต็มปาก
“นายท่านขอรับ ท่านมีสตรีมาด้วย อย่างไรก็รีบออกไปเถิดขอรับ!”
เสี่ยวเอ้อร์รีบวิ่งกุมใบหน้ามาหาและกระซิบข้างหูหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่ทันตอบ
นายท่านจางผู้นั้นก็หย่อนปั้นท้ายลงนั่งข้างกายเยว่ตี๋แล้ว
“คนงาม! เจ้าหน้าจืดสองคนนี้น่าสนทนาด้วยอันใด พวกมันหรือจะรู้เรื่องที่บุรุษทำเป็น!”
นายท่านจางกล่าว
“เจ้ารู้หรือ”
เยว่ตี๋ถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
ปล่อยให้เขาโอบตัวนาง
“แน่นอนอยู่แล้ว! กลัวแต่ว่าพอเจ้าได้ลองแล้วก็จะลืมไม่ลง ยังมาวิงวอนขอข้าอีกน่ะสิ!”
นายท่านจางกล่าว
พลางเอื้อมมืออีกข้างเข้ามาจะไล้ใบหน้าของเยว่ตี๋
เพียงแต่พอเข้ามาใกล้ๆ ก็พลันพบว่ามือของตนหายไปเสียแล้ว
พอก้มหน้าลงมอง ที่แท้แล้วมันตกลงบนโต๊ะ
เขารีบหันมองเยว่ตี๋อย่างตื่นตะลึง
“อย่าทำโต๊ะสกปรก!”
เยว่ตี๋กล่าว
พลางหยิบถ้วยมาวางรองรับเลือดที่ไหลลงมาจากข้อมือของเขา
ฤทธิ์ของสุรามักทำให้คนเชื่องช้าลง
ผ่านไปเนิ่นนาน นายท่านจางผู้นี้จึงร้องลั่นขึ้นมา!
เขากุมมือข้างที่ขาดของตนกระโดดไปมาภายในโถงใหญ่
“เจ้าเป็นคนหรือไม่กันแน่…เจ้าเป็นผี! เจ้าเป็นผี…”
นายท่านจางตะโกนลั่นพร้อมพุ่งตัวออกไปจากร้านสุรา
เยว่ตี๋โยนมือที่ขาดอยู่บนโต๊ะใส่ไว้ในถ้วยที่ใช้รองเลือด
“ข้าเป็นคนจริงแท้…เพียงแต่อารมณ์ไม่ดี”
เยว่ตี๋กล่าว
พูดจบยังยิ้มทะเล้นให้หลิวรุ่ยอิ่ง
นางในเวลานี้คล้ายว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้ว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่านี่ไม่ใช่การลืมเลือน แต่เป็นการปล่อยวาง
อย่างไรเสียผู้ที่เคยผ่านคลื่นลมถาโถมในทะเล ย่อมไม่สนใจวงคลื่นกระเพื่อมในทะเลสาบ
เมื่อก้าวย่างไปทั่วเก้าบรรพต ในโลกหล้าหรือจะยังมีมวลเมฆใดที่ไม่อาจแตะต้องได้อีก
นางละวางภาพที่เคยทำให้นางหลงใหลปักใจ
ทว่าทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแย้มยิ้มเหล่านั้นยังคงอยู่กับนางอย่างแนบแน่น
เวทีขับร้องระบำ โคมแดงสุราเขียว
ขมิ้นร้องนางแอ่นรำ แปลงบุปผาคดเคี้ยว
ทัศนียภาพสามัญในโลกหล้านานานี้ นางต้องเห็นจนเบื่อหน่ายแล้ว
แม่น้ำนอกเมืองหลวงสายนั้นหลั่งไหลตลอดวันคืน
ทุกวสันต์ล้วนมีดอกไม้ป่าที่ไม่รู้ชื่อบานสะพรั่งโดยทั่ว
หอหยกงามยังคงอยู่ ทว่ากลับมีริ้วรอยในฉับพลัน
ยามนางแอ่นโบยบินจาก ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงภาพนานาในวันเก่า
จวบจนนางแอ่นตัวนั้นตามเสียงขลุ่ยกลับมาอีกครั้ง สิ่งที่งดงามที่สุดยังคงเป็นช่อผกาลู่ลมทั่วเมืองและหมอกพิรุณโปรยสายหนึ่ง
………………………………………