บทที่ 1430 เจ้าคือใคร
บทที่ 1430 เจ้าคือใคร
หมิงตูจวิ้นจู่ยืนเอนกายพิงซูจือเยว่และพูดด้วยน้ำเสียงที่หวานหยาดเยิ้ม “พี่จือเยว่ แม่นางที่อยู่ข้าง ๆ ฮูกั๋วจวิ้นจู่มีดวงตาสีดำราวกับลูกแก้ว” นางยกลูกปัดเคลือบสีในมือขึ้นมาและเปรียบเทียบกับลูกปัดเคลือบสีของกู้เสี่ยวหวาน “ท่านดูสิ มันงามมากจริง ๆ แม้แต่ลูกปัดเคลือบสีในมือข้าก็เทียบไม่ได้ ในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีแม่นางคนไหนที่ข้าไม่รู้จัก แต่แม่นางผู้นี้หน้าตาดูไม่คุ้นเคย ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
เมื่อเห็นว่าหมิงตูจวิ้นจู่ละสายตาจากกู้เสี่ยวหวานแล้ว ถานอวี้ซูก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หมิงตูจวิ้นจู่ผู้นี้เติบโตมาอย่างงดงาม แต่กลับมีจิตใจที่คับแคบคิดเล็กคิดน้อย เห็นผู้อื่นที่งามกว่าและอ่อนช้อยกว่านางไม่ได้ โอ้อวดว่าตนเองเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า นางมีใจให้ซูจือเยว่ที่อยู่ข้างนางเสมอ วันนี้ที่พวกเขามาที่นี่ได้ คิดว่าคงเป็นเพราะหมิงตูจวิ้นจู่เชิญซูจือเยว่มาแน่นอน
ตอนที่กำลังจะพูด ซูจือเยว่ก็พูดขึ้นก่อนและมองไปที่หมิงตูจวิ้นจู่ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม “ไม่เคยเห็นมาก่อนจริง ๆ เกรงว่าคงเป็นคนที่ไม่ควรเกี่ยวข้องด้วย จวิ้นจู่ วันนี้อากาสดีเช่นนี้ ข้าไปชมทิวทัศน์เป็นเพื่อนเจ้าอีกครั้งดีหรือไม่ เราไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมารบกวนเวลาการชมวิวทิวทัศน์ของเรา”
ซูจือเยว่พยายามที่จะไม่โยนเรื่องนี้ไปให้กู้เสี่ยวหวาน เมื่อมองไปที่หมิงตูจวิ้นจู่ ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างชัดเจน แม้จะเป็นคำเยินยอ แต่หมิงตูจวิ้นจู่ดันทำเหมือนไม่มีอะไร สีหน้ากลับมืดมิดลง “ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ ที่เจ้าแอบฟังข้าก็ไม่เป็นไร แต่แม่นางผู้นี้คือใคร ถ้าหากนางไปแพร่งพรายเรื่องที่ข้ากับพี่จือเยว่คุยกันวันนี้จะทำอย่างไร”
ถานอวี้ซูกำหมัดแน่นและขมวดคิ้ว “หมิงตูจวิ้นจู่ พวกข้าอยากมาชมทิวทัศน์จึงเดินมาเรื่อย ๆ จนมาพบที่นี่ ที่นี่มีป่าไผ่บังอยู่ ดังนั้นจึงไม่เห็นว่ามีคนอยู่ที่ศาลา เหตุใดพวกข้าต้องแอบฟังพวกเจ้าด้วย”
เดิมทีหมิงตูจวิ้นจู่ก็มีเรื่องคับแค้นใจกับถานอวี้ซูอยู่แล้ว และคิดว่าจะให้นางเห็นพบเจอเรื่องดี ๆ สักหน่อย และตอนนี้จับได้ว่าเป็นความผิดของถานอวี้ซู แล้วจะปล่อยไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร นางยกมือขึ้นแล้วพูดอย่างชั่วร้าย “ไม่ได้แอบฟังพวกข้า?”
นิ้วเรียวยาวชี้มาทางถานอวี้ซูและกู้เสี่ยยวหวาน “ไม่ได้แอบฟังที่พวกข้าคุยกัน แต่ตอนนี้ยังไม่กล้าถอดผ้าคลุมหน้าออกแล้วคุกเข่าก้มหัวเคารพจวิ้นจู่ บังอาจยิ่งนัก เอาผ้าคลุมหน้าของหญิงผู้นี้ออกเสีย ข้าจะดูหน่อยว่าภายใต้ผ้าคลุมนี้คือผู้ใด”
“ซูหมิ่น เจ้าอย่ารังแกคนอื่นมากเกินไปหน่อยเลย” ถานอวี้ซูเรียกชื่อนางตรง ๆ แล้วตำหนิ “เพียงแค่พวกข้าไม่ทันระวังและบังเอิญได้ยินเข้าก็เท่านั้น เหตุใดต้องข่มขู่ผู้อื่นเช่นนี้ด้วย หากเจ้าต้องการให้ข้าขอโทษ ได้ ข้าจะขอโทษเจ้าตอนนี้เลย ข้าขอโทษ”
ถานอวี้ซูไม่อยากให้หมิงตูจวิ้นจู่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้าคือกู้เสี่ยวหวาน และยังไม่อยากให้พวกนางต้องเผชิญหน้ากันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันในตอนนี้ พอขอโทษเสร็จ นางก็รีบดึงกู้เสี่ยวหวานแล้วหันหลังจากไป
ซูหมิ่นเห็นถานอวี้ซูปกป้องแม่นางที่สวมผ้าคลุมหน้าคนนั้น เมื่อครู่นี้เห็นซูจือเยว่แอบมองนางแปลก ๆ ซูหมิ่นจะไม่โกรธได้อย่างไร ไฟในใจของนางก็ยิ่งแผดเผามากขึ้น “มันไม่ง่ายขนาดนั้นที่จะไป ขวางพวกนางไว้”
“จวิ้นจู่อย่าเลย” ซูจือเยว่อุทานเสียงดัง
“หยุด” ทันใดนั้น เสียงของหญิงที่สวมผ้าคลุมหน้าก็ดังขึ้น แม้จะเสียงจะเบา แต่กลับน่าเกรงขามและไม่มีคนกล้าดูหมิ่น
เมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานตะโกนให้หยุด ทุกคนก็หยุดและมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างเหลือเชื่อ
นางเห็นหญิงผู้นั้นเอาผ้าคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติ แม้จะไม่งามเท่าหมิงตูจวิ้นจู่ แต่งดงามเหมือนดอกบัวกลางสายฝน ต้นไผ่ที่เขียวขจีท่ามกลางภูเขาและเทพธิดาในวังหลวง สูงศักดิ์สง่างามจนไม่อาจดูหมิ่นได้เลย
สูงศักดิ์สง่างามเช่นนี้ ในความคิดของซูหมิ่นรู้สึกเหมือนหนามยอกอก
“เป็นเจ้า” ซูจือเยว่มองคนที่เคยพบครั้งเดียว และนางก็เป็นผู้หญิงที่ฝังอยู่ในความจำของเขา ครั้งนี้บังเอิญได้พบกันข้างนอก เขาโพล่งออกมาด้วยใบหน้าที่มีความสุข สายตาไม่อาจปิดบังความประหลาดใจและความปีติยินดีได้
ในตอนนี้ การแสดงออกของซูหมิ่นที่อยู่ข้าง ๆ เหมือนถูกมีดแทงทะลุถึงหัวใจ ทำให้หัวใจของนางเจ็บปวดมาก
หญิงผู้นี้เป็นหายนะ
“เป็นเด็กที่มาจากไหนกัน การตัดสินใจของจวิ้นจู่ยังทำให้ข้าสงสัยในตัวคนที่มาด้วย เอาตัวนางมาให้ข้าแล้วตบปากเสีย”
“ซูหมิ่น เจ้าอย่ารังแกคนอื่นมากเกินไปเลย”
“จวิ้นจู่ ไม่ได้เด็ดขาด”
คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาไม่ทันคำเตือนก็เห็นแสงจากคมดาบและสามกระบวนท่า จากนั้นองค์รักษ์สองคนนั้นก็โค้งคำนับ
เห็นเพียงอาโม่ยืนเอามือไพล่หลัง ชี้ปลายดาบไปที่ชายสองคนที่ล้มลงกับพื้นและจ้องมองด้วยสายตาดุร้าย
ซูหมิ่นและจือเยว่มองอย่างเหลือเชื่อ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็เห็นองค์รักษ์ของตนเองทำความเคารพ ยิ่งไปกว่านั้น องค์รักษ์สองคนที่โจมตีในเวลาเดียวกันและผู้หญิงอีกคนถือดาบป้องกันไว้ข้างหน้าตลอด ไม่แม้แต่จะขยับเลย
ถ้าหากว่านางลงมือ เกรงว่าแม้แต่สองกระบวนท่า องค์รักษ์ของนางก็คงรับไม่ไหว
“ไร้ประโยชน์ มีสองคนแต่เอาชนะคนคนเดียวไม่ได้ จวิ้นจู่เก็บพวกเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร” ซูหมิ่นตะโกน และมององค์รักษ์ที่พ่ายแพ้สองคนนั้นอย่างโมโห ทั้งโกรธแค้นและประหลาดใจ
เมื่อมองชายคนหนึ่งที่สูงและผอม จากนั้นมองหญิงที่งดงาม และมองใบหน้าของซูจือเยว่ที่ดูกังวล ทุกอย่างเหมือนมีเมล็ดพืชที่งอกขึ้นในหัวใจของนาง ยิ่งคว้าก็ยิ่งแน่นขึ้นเรื่อย ๆ มันหยั่งรากลึกเข้าสู่หัวใจของนาง ทะลุแขน ขา และกระดูกของนาง ยิ่งเติบโตยิ่งเจริญงอกงาม
นางจ้องมองกู้เสี่ยวหวานด้วยสีหน้าที่เกลียดชัง ความดุร้ายในดวงตาคู่นั้นราวกับว่าต้องการฉีกร่างกู้เสี่ยวหวานออกเป็นชิ้น ๆ
เมื่อซูจือเยว่เห็นว่ากู้เสี่ยวหวานปลอดภัยดี ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว ความกังวลก็หายไป แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง
“จวิ้นจู่”
ซูจือเยว่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของแม่นางที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ เพราะเกรงว่าจะทำให้หมิงตูจวิ้นจู่ขุ่นเคืองใจอีกครั้ง
จู่ ๆ บรรยากาศในที่แห่งนี้ก็กลับมาเงียบสงบ แต่ภายใต้ความเงียบสงบนี้ กลับมีแสงสะท้อนจากดาบที่วูบไหวออกมา
“ถานอวี้ซู ถ้าหากข้าจำไม่ผิด องค์รักษ์ผู้นี้ไม่ใช่คนที่อยู่ข้างกายเจ้าใช่หรือไม่” ซูหมิ่นชี้ไปที่อาโม่และพูดด้วยรอยยิ้มมุมปาก “การยื่นมือออกมาขององค์รักษ์ทำได้ดีจริง ๆ สามารถจัดการองค์รักษ์สองคนที่ข้าเลือกเองได้ในสามกระบวนท่า ช่างน่าทึ่งเสียจริง ๆ”
สายตาของซูหมิ่นเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนจะเบือนสายตามองไปทางกู้เสี่ยวหวานอีกครั้ง และความไม่พอใจก็ปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้นในสายตาของซูหมิ่น