ตระกูลจี้คือเผ่าเทพนิรันดร์ ดำรงอยู่ในน่านฟ้าที่เก้ามาเนิ่นนานชั่วนิรันดร์
ไม่มีใครโง่จนกล้าก่อเรื่องหน้าอาณาเขตของตระกูลจี้ เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
ชายชราก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นจึง ‘เตือน’ หลินสวินอย่างระมัดระวัง
แต่กลับพบว่าหลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “เกิดเรื่องอะไรข้ารับผิดชอบเอง แต่ถ้าเจ้าเล่นลูกไม้อะไร เช่นนั้นข้าก็จะบอกว่าพวกเราสองคนเป็นพวกเดียวกัน”
ชายชราหน้าเขียวไปหมดแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ถึงขั้นจะใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเช่นนี้
“วางใจ ขอเพียงเข้าประตูภูเขาไปแล้วข้าก็จะปล่อยเจ้า ทั้งยังจะรับรองว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่เดือดร้อนไปถึงเจ้า”
หลินสวินเอ่ย “แต่ถ้าเจ้าเลือกแพร่งพรายข่าวให้กับตระกูลจี้…”
“ไม่มีทางเด็ดขาด!”
ไม่ทันพูดจบชายชราก็ยืดอกรับรอง ล้อเล่นอะไรกัน ตนเป็นคนพาเขาเข้าไป ถ้าถูกคนอื่นมองออกตนก็หนีความรับผิดชอบไม่พ้นเหมือนกัน
นี่ก็เรียกว่าดินเหลืองเปื้อนกางเกง ไม่ใช่อุจจาระก็เหมือนอุจจาระ
“ไปเถอะ”
หลินสวินเก็บมือกลับไป เดินเคียงไหล่ชายชราเข้าไปในประตูเขาเทพตั้งต้นด้วยกัน
ตลอดทางชายชราดูว่าง่ายหาใดเทียบ
เขามีปราณขั้นดับเทพ แต่กลับถูกกำราบโดยไม่ทันได้ตั้งตัวสักนิด นี่ทำให้เขารู้ดียิ่งว่าทันทีที่ตนมีการเคลื่อนไหวแม้เพียงนิด คนที่จะตายเป็นคนแรกย่อมต้องเป็นตน!
ไม่นานนักทั้งสองก็มาถึงหน้าประตูภูเขา พอชายชราแสดงเทียบเชิญก็เดินเข้าไปได้อย่างราบรื่น
หลังประตูเป็นแดนลับถ้ำสวรรค์ที่เรียกได้ว่าชั้นยอดแห่งหนึ่ง กว้างใหญ่ถึงที่สุด ทุกที่เต็มไปด้วยภูเขาที่อบอวลไอแรกกำเนิด
“ผู้อาวุโสต้องการให้นำทางหรือไม่”
เด็กหนุ่มรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่โอ้อวดหรือถ่อมตน
ชายชราส่ายหัวปฏิเสธ เดินไปไกลๆ กับหลินสวิน กระทั่งตอนที่รอบทิศไม่มีใครอยู่ ชายชราถึงสื่อจิตเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า ‘สหายยุทธ์ ขอเรียนถามว่าท่านมาคราวนี้ด้วยเหตุใด’
หลินสวินตบไหล่เขาเบาๆ เอ่ยว่า ‘ไม่ต้องรู้จะดีที่สุด’
ชายชราหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย คล้ายตระหนักอะไรได้ นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า ‘สหายยุทธ์ แม้ว่าพวกเราจะบังเอิญได้รู้จักกัน แต่ข้าน้อยยังต้องเตือนท่านประโยคหนึ่ง ที่นี่คือเขาเทพตั้งต้น เป็นอาณาเขตของเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลจี้ ต่อให้ระดับนิรันดร์มาก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตน ท่าน… อย่าทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรเด็ดขาด’
หลินสวินพูดคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มว่า ‘เจ้ากังวลว่าข้าจะทำให้เดือดร้อนไปถึงเจ้ากระมัง ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็มีคนเห็นเจ้าเข้ามาพร้อมกับข้าไม่น้อย’
สีหน้ากระอักกระอ่วนฉายขึ้นบนหน้าชายชรา เขาเอ่ยอย่างยำเกรงว่า ‘ข้าน้อยเพียงคิดแทนสหายยุทธ์ จะฟังหรือไม่ก็อยู่ที่สหายยุทธ์ทั้งสิ้น’
หลินสวินยิ้มเอ่ย ‘เจ้าเป็นคนฉลาด ย่อมไม่มีทางทำเรื่องโง่เขลาเช่นกัน พวกเราแยกกันตรงนี้เถอะ’
ขณะพูดเขาก็พุ่งทะยานไปข้างหน้า
‘ก็จริง นี่เป็นถึงอาณาเขตของเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลจี้ ใครจะกล้าก่อเรื่องที่นี่’
ชายชราคิดในใจคล้ายปลอบตัวเอง
แต่พอนึกถึงท่าทางเยือกเย็นนั้นของหลินสวิน ใจเขาก็ว้าวุ่นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
มักรู้สึกว่าวันนี้คล้ายจะเกิดเรื่องขึ้น…
……
ตระกูลจี้ในวันนี้คึกคักหาใดเทียบ ทุกที่ประดับประดาด้วยโคมและผ้าหลากสี บรรยากาศชื่นมื่น แขกเหรื่อที่มาอวยพรไหลหลั่งเข้ามาเหมือนสายน้ำ มอบของขวัญแสดงความยินดีที่ตั้งใจเตรียมมา
ตลอดทางหลินสวินเดินมือไพล่หลัง ไม่ได้ดึงดูดความสนใจเท่าไร เพราะตระกูลจี้ในวันนี้มีแขกมาเยือนมากมายจริงๆ
ไม่ต้องให้หลินสวินสืบ จากการสนทนาของแขกเหรื่อกับคนตระกูลจี้เหล่านั้นก็ทำให้เขารู้ว่าตอนนี้จี้ซี เจ้าสาวที่จะแต่งออกไปตระกูลไท่เฮ่าในวันรุ่งขึ้นพำนักอยู่บน ‘เขาไผ่อักษร’
เขาไผ่อักษรหาง่ายนัก
เพียงแต่ที่นี่ถูกทำให้เป็นเขตหวงห้าม ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าใกล้ไปแล้ว
นี่ย่อมขวางหลินสวินไม่ได้
เมื่อเขาเดินหน้าไป ผู้คุ้มกันที่อารักขาอยู่ใกล้ๆ เขาไผ่อักษรตามทางต่างไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของเขาสักนิด
‘ที่นี่ก็คือเขาไผ่อักษรหรือ’
หลินสวินมาถึงหน้าเขาเงียบสงัดที่อบอวลด้วยไอวิญญาณแห่งหนึ่ง เงยหน้ามองไป โคมแดงสว่างสดใสโคมแล้วโคมเล่าแขวนมาจากยอดเขาจรดตีนเขา แดงเพลิงเป็นมงคล
หลินสวินก้าวขึ้นบันได ตลอดทางพบเจอข้าทาสบริวารจำนวนมาก แต่ล้วนไม่สังเกตเห็นร่องรอยของหลินสวิน
ไม่นานนักเขาก็มาถึงกลางเขา
ที่นี่มีเรือนเก่าแก่อยู่หลังหนึ่ง รอบด้านไม่มีผู้คุ้มกันอารักขา
คิดๆ แล้วก็ถูก ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญของตระกูลจี้ ทั้งยังมีระเบียบระดับเทพปกคลุมอีก ไม่จำเป็นต้องมีคนอารักขาสักนิด
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเดินไปทางเรือนหลังนั้น
ภายในเรือนตอนนี้
พื้นปูพรมแดง ตะเกียงหอมมีควันลอยไหว เครื่องเรือนมงคลวางตกแต่งละลานตา
เงาร่างอรชรร่างหนึ่งนั่งหลังตรงอยู่หน้าคันฉ่องทองแดง ในคันฉ่องเป็นใบหน้างามกระจ่างที่งดงามเป็นที่สุด เนตรงามดุจดารา สันจมูกโด่ง ริมฝีปากชมพูชุ่มฉ่ำเม้มเล็กน้อย เส้นผมดำดุจธารน้ำตกยาวลงมาถึงเอวเพรียวบางจนมือเดียวโอบรอบ เพียงนั่งนิ่งๆ เช่นนั้นก็เผยความงามที่สร้างความตื่นตะลึงให้สรรพชีวิตได้
แต่สีหน้านางกลับมีแววเย็นชาที่ไม่อาจขจัดได้วนเวียนอยู่
“ท่านพี่ ท่านตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือ”
บนเก้าอี้กลมที่อยู่ด้านข้าง จี้ซานไห่เอ่ยถามอย่างกลั้นไม่อยู่
นางสวมชุดกระโปรงแขนกว้างสีเขียว แจ่มกระจ่างดุจหยก ราบเรียบดุจกล้วยไม้ ว่ากันถึงความผุดผาดสง่างาม เทียบกับพี่สาวแล้วดีกันไปคนละแบบ
“อืม”
ซีมองดูตัวเองในคันฉ่องทองแดงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาเย็นชาดุจน้ำแข็งคล้ายปราศจากคลื่นอารมณ์ใดๆ
จี้ซานไห่กัดฟัน ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “ท่านพี่ หรือไม่ให้ข้าไปขอร้องผู้อาวุโสจี้เหอ ให้ข้าแต่งเข้าตระกูลไท่เฮ่าแทนท่าน”
ซีอึ้งไป เอ่ยว่า “พวกเขามาเพื่อข้า เจ้าอย่าไปทำเรื่องโง่ๆ ยิ่งกว่านั้นมีเพียงข้าตกลงเรื่องการแต่งงานนี้ ถึงรักษาตำแหน่งผู้นำตระกูลของท่านพ่อไว้ได้”
จี้ซานไห่สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด ในใจเศร้าสร้อยหดหู่ เอ่ยว่า “ตั้งแต่ตอนไหนกัน กระทั่งตำแหน่งผู้นำตระกูลยังเอามาต่อรองกับเรื่องแต่งงานของท่านด้วย เฒ่าชราพวกนั้น… รังแกกันเกินไปแล้ว!”
ซีเอ่ยเสียงเบา “ในสายตาพวกเขา ผลประโยชน์ของตระกูลเหนือกว่าทุกสิ่ง ตอนนี้แค่เสียสละข้าคนเดียวก็สามารถเกี่ยวดองกับตระกูลไท่เฮ่าได้ พวกเขาย่อมยินดีทำ ดังนั้นในสายตาพวกเขา ข้าก็ควรรู้สึกขอบคุณพวกเขา ถึงอย่างไรให้ข้าแต่งงานกับนายน้อยตระกูลไท่เฮ่าก็เป็นเกียรติยิ่ง”
เสียงเจือแววถากถางเย็นชา
“ทำไม… ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…” จี้ซานไห่พึมพำ นางไม่อาจทนเห็นพี่สาวแต่งงานไปเช่นนี้ นี่ไม่ต่างอะไรกับการทำลายทั้งชีวิตของพี่สาว!
“เรื่องนี้ควรเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เพราะตอนนั้นข้าบุ่มบ่ามออกจากตระกูลไป ถึงได้ยืดเยื้อมาถึงตอนนี้”
สีหน้าซีสงบนิ่งเกินไป คล้ายกำลังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน “และก็เพราะท่านพ่อแอบส่งข้าออกไป ทำให้หลายปีมานี้ถูกผู้อาวุโสในตระกูลเหล่านั้นต่อว่าและไม่พอใจมาตลอด”
“คราวนี้ถ้าข้าปฏิเสธอีกจะไม่จบแค่ถูกจองจำทั้งชีวิตแล้ว ยังจะทำให้ท่านพ่อเสียตำแหน่งผู้นำตระกูลนี้ด้วย ทันทีที่ท่านพ่อเสียอำนาจ สถานการณ์ในตระกูลของพวกเราก็ยิ่งแย่ลง”
“ในฐานะบุตรสาว ถ้าช่วยได้จะปล่อยให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
พูดจนจบนางถึงทอดถอนใจ “บางครั้งพอคิดดู การเกิดในเผ่าเทพนิรันดร์นี้คนนอกอาจมองว่าเป็นเรื่องดีไร้จำกัด แต่สำหรับพวกเราแล้วกลับเป็นโชคร้ายไม่รู้เท่าไร ต่อให้ความสามารถโดดเด่นแค่ไหนแล้วอย่างไร ต่อให้เหยียบย่างมรรคาอมตะแล้วอย่างไร พอเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตระกูล ก็ต้องเป็นเพียงหมากที่จะจับวางอย่างไรก็ได้ตัวหนึ่ง”
“ท่านพี่…”
จี้ซานไห่ปวดใจ ความเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นทั่วร่าง
ซีลุกขึ้นกอดจี้ซานไห่เบาๆ ตบหลังนางแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “พอแล้ว อย่าคิดอะไรอีกเลย เรื่องเกิดไปแล้ว รอหลังข้าแต่งออกไปในวันพรุ่งนี้ ฐานะในตระกูลของเจ้ากับท่านพ่อก็จะมั่นคงขึ้น ต้องตั้งใจฝึกปราณ หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล”
ก็ในตอนนี้เองจู่ๆ เสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น
ซีกับจี้ซานไห่อึ้งไป สบตากันครั้งหนึ่ง ตอนนี้ใครยังมาเยือนถึงหน้าประตูได้อีก
ซีกลับไปนั่งหน้าคันฉ่อง ส่วนจี้ซานไห่เดินไปประตูห้อง
“ไม่ใช่บอกไว้แล้วหรือว่าถ้าไม่มีธุระห้ามมา… เอ๋!”
จี้ซานไห่พูดพลางเปิดประตูเรือน พอเห็นร่างที่อยู่นอกประตูนั้นก็นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้นทันที ดวงตางามคล้ายสายธารฤดูสารทเบิกกว้าง เต็มไปด้วยความงุนงงและยากจะเชื่อ
ภาพผิดปดตินี้ทำให้ซีที่อยู่ไม่ไกลหันหน้าไปมองอย่างอดไม่ได้
ก็ในตอนนี้เอง เสียงคุ้นเคยหนึ่งดังขึ้น “แม่นางซานไห่ ไม่ได้พบหน้ากันไม่ทันไรก็จำข้าไม่ได้แล้วหรือ”
จากนั้นเงาร่างสูงโปร่งนั้นของหลินสวินก็เดินเข้ามา
จี้ซานไห่เอ่ยงุนงง “จะ… เจ้ามาได้อย่างไร ไม่สิ เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ที่นี่คือเขาไผ่อักษร เป็นสถานที่สำคัญใจกลางตระกูลข้า เจ้า…”
นางพูดจาติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง เห็นหลินสวินปรากฏตัวกะทันหันทำให้นางประหลาดใจมากจริงๆ ยังไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง
ในเวลาเดียวกันซีก็ลุกขึ้นๆ เงียบๆ แววงุนงงปรากฏขึ้นในดวงตาเฉยชา ที่แท้… ก็เป็นเจ้าหนูนี่…
ไม่ได้พบกันหลายปี รูปลักษณ์ของเขายังเหมือนกับเมื่อตอนนั้น แต่บุคลิกกลับแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง สุขุมเยือกเย็น สงบนิ่งดุจเขาสูงตระหง่าน ยามยกมือวาดเท้ามีความน่าเกรงขามไร้รูปอย่างหนึ่ง
นั่นเป็นบุคลิกที่ได้มาจากการผ่านร้อนผ่านหนาวในโลกมานานเท่านั้น
แค่คิดก็รู้ว่าหลายปีมานี้เขาต้องผ่านเรื่องราวมามากมายแน่นอน
หลินสวินเองก็อึ้งไปเช่นกัน
ซีในตอนนี้สวมมงกุฎหงส์ชุดแดง ผิวพรรณขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะ ขับให้ใบหน้างามนั้นยิ่งสง่างามโดดเด่นเพิ่มขึ้น นั่นเป็นการแต่งกายที่หลินสวินไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงได้ตกตะลึงเป็นพิเศษในยามนี้
แต่ต่อมาหลินสวินก็ปวดใจอยู่กลายๆ เพราะสิ่งที่ซีสวมอยู่คือชุดแต่งงาน!
“ผู้อาวุโส ไม่ได้เจอกันนานเลย”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เก็บกลั้นความรู้สึกที่อยู่ในใจ กุมมือคารวะ
เช่นเดียวกับเมื่อครั้งยังเยาว์!
ความงุนงงในดวงตาซีจางหายไป เปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เอ่ยว่า “ซานไห่ ปิดประตู”
จี้ซานไห่ก็คล้ายตื่นจากฝัน รีบปิดประตูเรือน จากนั้นเดินเข้าไปประเมินหลินสวินตั้งแต่หัวจรดเท้า เอ่ยว่า “พี่หลิน ถึงกับเป็นเจ้าจริงๆ!”
กระทั่งตอนนี้นางเหมือนเพิ่งกล้าเชื่อทุกอย่างนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกาย น้ำเสียงยังออกจะตื่นเต้นเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้ามาคราวนี้คงไม่ใช่ว่า… มาช่วยพี่สาวข้าใช่ไหม”
หลินสวินพยักหน้าจริงจัง “ไม่ผิด”
แต่บนใบหน้างามล้ำของซีกลับไม่พบแววยินดีปรีดาสักนิด
นางจ้องมองหลินสวิน ใคร่ครวญครู่หนึ่งถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “วันนี้ไม่เหมือนอดีต เรื่องในตระกูลจี้ของข้าก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเข้าใจ อย่าเข้ามาแทรกแซง… จะดีที่สุด หาไม่แล้วแม้แต่ข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้”