เขาเทพตั้งต้น
ยอดเขาไผ่สน
เมื่อเห็นหลินสวินกลับมาอย่างปลอดภัย ซีและจี้ซานไห่ต่างถอนหายใจโล่งอก
ทันใดนั้นจี้ซานไห่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “พี่หลิน การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นหรือไม่”
หลินสวินส่ายหน้า “เกิดเรื่องไม่คาดคิดอยู่บ้าง”
ในใจซีบีบรัด เอ่ยถามออกมาเช่นกัน “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
ขณะพูดเขาก็เล่าเรื่องที่เผ่าเทพนิรันดร์สามตระกูล อย่างตระกูลเทียนสิง ตระกูลเย่ ตระกูลผานอู่หนีล่วงหน้าไปก้าวหนึ่ง
ซีกับจี้ซานไห่ล้วนอึ้งไป เพิ่งเข้าใจยามนี้ว่าเรื่องไม่คาดคิดที่หลินสวินพูดถึงก็แค่ไม่ได้ทำลายเผ่าเทพนิรันดร์สามตระกูลนี้เท่านั้น
“พูดเช่นนี้ เผ่าเทพนิรันดร์ที่เหลือทั้งหมด…” จี้ซานไห่ตะลึง ริมฝีปากชมพูอ้าออกน้อยๆ ดวงตางดงามเบิกโต
“ไม่ผิด ล้วนลบชื่อออกจากโลกไปแล้ว”
หลินสวินพยักหน้า
ซีกับจี้ซานไห่ปากอ้าตาค้าง เสียกิริยาอย่างไม่อาจควบคุมไปแล้ว
ไม่ถึงเจ็ดวัน นอกจากเผ่าเทพนิรันดร์สามตระกูลที่หนีไปล่วงหน้า เผ่าเทพนิรันดร์อื่นๆ ล้วนประสบเคราะห์หมดเลยหรือ
ในใจพวกนางล้วนสั่นไหวขึ้นมา สมองมึนงง ดวงตาจ้องมองตรงไปที่หลินสวิน
ต่อให้รู้อยู่ก่อนว่าหลินสวินทำลายตระกูลหยางและชำระแล้วในตระกูลจี้ไปแล้วรอบหนึ่ง ทว่าเมื่อได้รู้ข่าวเช่นนี้พวกนางก็ยังตะลึงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนอยู่ดี
นี่เท่ากับว่าอาศัยพลังของตัวเองคนเดียวก็ทำลายเผ่าเทพนิรันดร์ทั้งหมดได้แล้วชัดๆ
ครู่ใหญ่จี้ซานไห่ถึงค่อยเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “พี่หลิน เจ้ารีบเล่าให้พวกเราฟังทีว่าผ่านอะไรมาบ้าง”
นางในสมัยก่อนดุจกล้วยไม้ในหุบเขา ตัดขาดจากโลกภายนอก งดงามและเย่อหยิ่ง แต่ยามนี้กลับคล้ายสาวน้อยที่เต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชมคนหนึ่ง
ซียังนับว่าสงบ เพียงแต่นัยน์ตาที่มองมาทางหลินสวินกลับคลอประกายแวววาวเช่นกัน
มีหรือหลินสวินจะปฏิเสธ ยิ้มพลางค่อยๆ เล่าเรื่องบางส่วนที่ตัวเองทำออกมา
ส่วนสองพี่น้องก็ฟังจนใจเต้นขึ้นๆ ลงๆ
…
วันนั้นทั้งบนล่างตระกูลจี้ได้รู้ถึงผลงานการต่อสู้อันเกรียงไกรของหลินสวินเช่นกัน ทุกคนต่างตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี
ความรู้สึกนี้ช่างย้อนแย้งเกินไปแล้ว
หากไม่ใช่ว่าหลินสวินปราณี พวกเขาตระกูลจี้คงไม่มีทางโชคดีรอดมาได้แม้แต่น้อย
แต่เรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้คือหลินสวินเองก็สังหารคนในตระกูลจี้ของพวกเขาไปหลายคน…
ฉะนั้นความรู้สึกของคนในตระกูลจี้เหล่านี้จึงสับสนเช่นนั้น
แต่สำหรับจี้หวังถู หลังจากรู้เรื่องพวกนี้ ความขุ่นข้องและต่อต้านหลินสวินในใจเขาเสี้ยวนั้นก็หายไปหมดสิ้น
เหลือเพียงความยินดี!
ในหมู่เผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูล สามตระกูลหนีหายเหมือนสุนัขไร้ที่พึ่ง แปดตระกูลถูกขุดรากถอนโคน เทียบกันแล้วต่อให้ตระกูลจี้ของพวกเขาพบเจอการชำระล้างนองเลือดมาแล้วรอบหนึ่ง แต่อย่างไรก็ยังคงอยู่ต่อไปได้
เรื่องนี้ยังจะให้จี้หวังถูไม่พอใจอะไรอีกหรือ
และวันนั้นเช่นกันที่ทั้งตระกูลจี้ได้รู้ข่าวว่าสามวันให้หลังหลินสวินก็จะออกจากน่านฟ้าที่เก้า และยามจากไปก็จะพาคนในตระกูลจี้ทั้งหมดจากไปด้วย
…
โลกภายนอก ข่าวที่เกี่ยวข้องกับการล่มสลายของเผ่าเทพนิรันดร์อันยิ่งใหญ่ทั้งหมดยังคงแพร่กระจายอยู่
ทว่าสำหรับสรรพชีวิตบนโลก พวกเขาล้วนรู้ดีว่าโครงสร้างใต้หล้าที่ก่อตัวขึ้นจากการควบคุมของเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลตั้งแต่อดีต ถูกหลินสวินคนเดียวทำลายไปจนหมด
น่านฟ้าที่เก้านี้ฟ้าเปลี่ยนไปแล้วอย่างสมบูรณ์!
“คิดไม่ถึงว่าในชีวิตบั้นปลายของข้า จะถึงกับได้เห็นเผ่าเทพนิรันดร์ที่ปกครองทุกชีวิตในโลกหล้าดุจทาสเหล่านั้นพินาศไปทั้งหมดโดยพลัน ท่านพ่อ ท่านแม่ หากพวกท่านในยมโลกรู้จะต้องดีใจมากใช่หรือไม่”
มีคนตื่นเต้นจนร้องไห้ตะโกนเสียงดัง
พวกขุมอำนาจและผู้ฝึกปราณที่เคยถูกใช้เป็นทาสและกดขี่เหล่านั้น ตอนนี้ล้วนมีอารมณ์เช่นนี้ ตื่นเต้น ฮึกเหิม ยินดี ควบคุมตัวเองไม่อยู่
เงยหน้าอ้าปากได้ในครั้งเดียว ไม่ต้องถูกกดขี่อีกต่อไป ไม่ต้องเอาตัวรอดไปวันๆ อีกต่อไป สำหรับพวกเขานี่เป็นโชคอันยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
“เร็วเข้า ไปล่าเศษเดนตระกูลไท่เฮ่าสุดกำลัง!”
“ไม้ใหญ่ล้มลิงกระจาย ครั้งนี้พวกเราจะได้แก้แค้นแล้ว!”
ขุมอำนาจนับไม่ถ้วนในทุกอาณาเขตของน่านฟ้าที่เก้าเปิดฉากเคลื่อนไหว ตามล่าสังหารคนของเผ่าเทพนิรันดร์ที่พินาศไปแล้วอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
เช่นเผ่าเทพอมตะยี่สิบสี่ตระกูลที่กระจายตัวในน่านฟ้าที่เก้าก็ลงมือแล้ว
เมื่อก่อนเผ่าเทพนิรันดร์ต่างครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่ง อาณาเขตที่ครอบครองมนับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้เมื่อเผ่าเทพนิรันดร์เหล่านี้ล้มลง อาณาเขตพวกนี้ย่อมกลายเป็นของล้ำค่าในสายตาคนอื่น
การเข่นฆ่า การนองเลือด ความวุ่นวาย
ก็คล้ายเขม่าควันที่แผ่เต็มท้องฟ้าในน่านฟ้าที่เก้า
เป็นอย่างที่หลินสวินคาดการณ์ไว้ในตอนแรก ขอเพียงเขาทำลายเผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองสักนิด พวกคนที่เหลือรอดของเผ่าเทพนิรันดร์ก็ต้องพบเจอการไล่ล่าจากคนทั่วหล้า!
กล่าวได้ว่าหลินสวินคนเดียวก็จบยุคสมัยที่เผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลครองใต้หล้าได้แล้ว!
นี่ไม่ได้จำกัดแค่ในน่านฟ้าที่เก้าเท่านั้น เมื่อข่าวแพร่กระจาย เมื่อเวลาล่วงเลย โครงสร้างของทุกน่านฟ้าในโลกยอดนิรันดร์ล้วนได้รับผลกระทบ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกล้ำภายใต้ฟ้าเปลี่ยนครั้งนี้ด้วย!
…
และในขณะที่โลกภายนอกกำลังปั่นป่วน หลินสวินกลับนับทรัพย์หลังศึกอยู่
ของมีค่าสมบัติประหลาด โอสถทิพย์ เจตวัตถุที่มีมากมายนับไม่ถ้วน ตำรายุทธ์ ศาสตรามรรค สมบัติเทพมีมากมายมหาศาล สมบัติเป็นกองๆ แน่นขนัดละลานตากองเป็นภูเขาลูกใหญ่ได้ลูกหนึ่ง!
นี่คือสมัติซึ่งสั่งสมมาของเผ่าเทพนิรันดร์แปดตระกูล เมื่อเอามารวมกันสมบัติพวกนั้นสามารถเป็นสุดยอดในใต้หล้าทั้งบนล่างได้ ไม่มีอะไรจะเทียบเคียงได้แน่นอน!
แค่ระเบียบระดับเทพก็มีทั้งหมดแปดสาย…
แค่สมบัติสำหรับให้ระดับนิรันดร์ฝึกปราณ ก็พอให้หลินสวินใช้ได้ไม่หมดก่อนแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขต...
แค่ตรวจสอบและจัดระเบียบสมบัติพวกนี้ก็กินแรงหลินสวินไปไม่น้อยกว่าครึ่งวัน!
ท้ายที่สุดหลินสวินก็อดเลื่อนลอยอยู่บ้างไม่ได้ ถูกสมบัติที่พวกเผ่าเทพนิรันดร์มีทั้งหมดนี่ทำให้หวั่นไหวโดยสมบูรณ์
ไม่แปลกที่เผ่าเทพนิรันดร์ยืนตระหง่านในน่านฟ้าที่เก้าถึงปัจจุบันได้ ทำให้สรรพชีวิตทั่วหล้าได้แต่ยำเกรงและแหงนมอง
ลำพังแค่สมบัติมหาศาลจนไม่อาจจิตนาการได้พวกนี้ก็มองร่องรอยออกแล้ว!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าการทำศึกตลอดทางนี้ หลินสวินได้จับตัวระดับนิรันดร์มายี่สิบกว่าคน ตอนนี้ทั้งหมดถูกเขาสยบไว้ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
ภายหน้าขอเพียงใช้พลังห้าระเบียบแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถหลอมเฉลยศึกเหล่านี้ได้ทั้งหมดแล้ว
สุดท้ายหลินสวินก็เก็บพวกสมบัตินิรันดร์ที่เหมาะในการฝึกปราณของตนไว้ ส่วนสมบัติที่เหลือตัดสินใจว่าภายหน้าจะมอบให้ญาตมิตรเหล่านั้น
‘รอหาเวลาได้แล้วค่อยมาน่านฟ้าที่เก้าอีกสักรอบ’
หลินสวินพึมพำในใจ
เขาไม่ลืมว่าเผ่าเทพนิรันดร์อีกสามตระกูล อย่างตระกูลเย่ ตระกูลผานอู่ และตระกูลเทียนสิงล้วนหนีไปได้
เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาไปควานหาที่อยู่ของสามตระกูลนี้ นี่ไม่ต่างอะไรไปจากการงมเข็มในมหาสมุทร
กลับกันภายหน้าเมื่อสถานการณ์สงบลงแล้ว ช้าเร็วสามตระกูลนี้ก็ต้องเผยร่องรอยออกมา และถึงตอนนั้นค่อยไปเก็บกวาดพวกเขาก็จะง่ายกว่ามาก
ในวันนั้นหลินสวินไปพบจี้หวังถู ซี และจี้ซานไห่ เพื่อบอกพวกเขาถึงการตัดสินใจของตน
“ในอาณาเขตของตระกูลจี้เรามีเส้นทางไปน่านฟ้าที่แปด แม้หลายปีก่อนหน้าเส้นทางนี้จะถูกปิดผนึกไปแล้วแต่ก็เปิดใช้ได้ตลอดเวลา”
จี้หวังถูกกล่าว
ซีพยักหน้าเช่นกัน เอ่ยว่า “สถานการณ์ในน่านฟ้าที่เก้าตอนนี้โกลาหลและอลหม่านเป็นอย่างยิ่ง จากไปเร็วหน่อยก็ดี”
“จริงสิ ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโส”
จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สายตามองไปทางจี้หวังถู
“เรื่องอะไรหรือ” จี้หวังถูสงสัย
“ปีนั้นอาจารย์ของข้าเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเคยมาน่านฟ้าที่เก้า ข้าอยากรู้ว่าตอนนั้นเขาพบเจออะไรในน่านฟ้าที่เก้านี้”
หลินสวินกล่าวถึงปริศนาที่ตนสงสัยมาตลอดในใจ
สีหน้าจี้หวังถูฉายแววประหลาดยิ่งทันที ราวกับลังเลว่าจะบอกหรือไม่บอกหลินสวินดี
“ผู้อาวุโสเชิญพูดมาเถิด” หลินสวินกล่าวเสียงเบา
จี้หวังถูสูดหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “ว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเรื่องเมื่อเก่าก่อนแล้ว ปีนั้นหลังจากเจ้าแห่งคีรีดวงกมลมาถึงน่านฟ้าที่เก้าไม่นาน ได้เชิญผู้อาวุโสของเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลไปเขาประทับฟ้า บอกว่ามีเรื่องใหญ่จะปรึกษา…”
“เผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลหารือกันแล้วตัดสินใจส่งขั้นไร้ขอบเขตคนหนึ่งของแต่ละตระกูลไป ทว่าหลังจากถึงเขาประทับฟ้ากลับเกิดการปะทะกัน”
“การปะทะหรือ” หลินสวินนัยน์ตาหดรัด
“ใช่ ว่ากันว่าเจ้าแห่งคีรีดวงกมลหวังร่วมมือกับเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูล ไปสู้กับผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัย”
แววตาจี้หวังถูซับซ้อน “นี่จะให้เผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลตอบรับได้อย่างไร ในอดีตไม่รู้มีอารยธรรมแห่งยุคสมัยเท่าไรล่มสลาย ทว่าล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้บงการหลังม่านนั่น”
เขาเว้นช่วงไปแล้วกล่าวต่อ “หลังจากถูกปฏิเสธ เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกลับขู่ว่าช้าเร็วสักวันหนึ่งเมื่อมรรคายอดอมตะปรากฏ สิ่งที่เคยรับรู้ทั้งหมดในใต้หล้าจะถูกทำลาย และทุกสิ่งในน่านฟ้าที่เก้าก็จะถูกล้มล้างอย่างสมบูรณ์”
พูดถึงตรงนี้สายตาของเขาก็อดมองไปทางหลินสวินด้วยสีหน้าแปลกๆ ไม่ได้
หลินสวินก้าวบนมรรคายอดอมตะแล้ว ตอนนี้ยังกวาดล้างเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลด้วยพลังของตนคนเดียว พลิกสถานการณ์ในน่านฟ้าที่เก้าได้ในคราวเดียว นี่เป็นจริงตามคำพูดของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่น่าเกิดความขัดแย้งแค่เพราะประโยคเช่นนี้กระมัง” หลินสวินขมวดคิ้ว
จี้หวังถูส่ายหน้า “ไม่ใช่จริงๆ แต่เป็นเพราะตอนนั้นขั้นไร้ขอบเขตคนหนึ่งของลัทธิฌานนำรูปปั้นหินหนึ่งไปด้วย”
“รูปปั้นไท่ชูหรือ” หลินสวินนัยน์ตาหดรัด
“ไม่ผิด”
จี้หวังถูประหลาดใจอยู่บ้าง คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะรู้จักของสิ่งนี้เช่นกัน เขาพลันเอ่ยต่อ “เป็นรูปปั้นหินนี่ที่ทำให้เผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลแตกหักกับเจ้าแห่งคีรีดวงกมล และเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่บนเขาประทับฟ้า”
“สุดท้ายเจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็ประสบเคราะห์ไป”
พูดถึงตรงนี้จี้หวังถูรีบเสริมอย่างรวดเร็ว “แต่ภายหลังข้าถึงรู้ว่า เจ้าแห่งคีรีดวงกมลที่ถูกทำลายไปเป็นเพียงพลังของรูปจำลองเจตจำนงเท่านั้น”
“และตามการอนุมานของคนใหญ่คนโตเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูล ร่างต้นของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเกรงว่าคงไปแหล่งสถานอัศจรรย์นานแล้วและกลับมาไม่ได้อีก ดังนั้นจึงกระจายข่าวออกไปว่าเจ้าแห่งคีรีดวงกมลประสบเคราะห์ในน่านฟ้าที่เก้า”
ฟังถึงตรงนี้หลินสวินก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว
มิน่าเมื่อก่อนข่าวที่ได้ยินมักจะบอกว่าอาจารย์ประสบเคราะห์ในน่านฟ้าที่เก้า เป็นตายไม่อาจรู้
ที่แท้ร่างที่ถูกฆ่าในปีนั้นก็เป็นเพียงรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น!
และต้นตอที่ทำให้เกิดการต่อสู้ในปีนั้นก็อยู่ที่รูปปั้นไท่ชูที่ขั้นไร้ขอบเขตของลัทธิฌานคนนั้นนำมา
นี่ต้องเกี่ยวกับผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยอย่างไม่ต้องสงสัย!