ซูไป๋ก็ถูกจับเป็นตัวประกันด้วย!
ข่าวนี้ทำเอาในใจหลินสวินสะท้าน แต่ไม่นานเขาก็สงบลง เขาฟังออกแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นหลินฝานหรือซูไป๋ก็ยังไม่ประสบเคราะห์ทั้งนั้น
แค่นี้ก็พอแล้ว
“พวกเจ้าเป็นใคร”
หลินสวินไม่ถามฝ่ายตรงข้ามว่าจะปรึกษาเรื่องอะไร แต่ถามที่มาของพวกเขาแทน
“เกาหยางหลี”
ชายหนุ่มชุดดำแจ้งนามตนเองพร้อมรอยยิ้ม “ปีนั้นเคยเคลื่อนไหวรูปจำลองเจตจำนงแล้วเจอสหายยุทธ์หลินที่นอกเมืองเทพศุภโชคครั้งหนึ่ง เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าเวลาไม่ถึงร้อยปี สหายยุทธ์หลินจะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้บนมรรคานิรันดร์ ทำเอารู้สึกตะลึงจริงๆ”
เขาเว้นช่วงไปแล้วชี้ไปที่ชายชุดขาวหิมะกับหญิงที่เย็นชาราวน้ำแข็งพลางกล่าวว่า “เขาคือจี้กุยเจิน นางคือเจียงเจวี๋ย มาจากยุคทวยเทพเหมือนข้าเช่นกัน”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” หลินสวินขมวดคิ้วน้อยๆ
เขาย่อมรู้จักยุคทวยเทพ ในอารยธรรมยุคสมัยนับร้อยในแหล่งสถานศุภโชค ยุคทวยเทพเป็นราชันอันดับหนึ่งสมชื่อ!
และในยุคทวยเทพถูกยึดครองโดยสามขุมอำนาจเผ่าเทพ แบ่งเป็นตระกูลเกาหยาง ตระกูลจี้ ตระกูลเจียง!
พวกเกาหยางหลีทั้งสามคนมาจากสามเผ่าเทพนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่ใช่ว่าแหล่งสถานศุภโชคเปรียบดั่งกรงขัง ผู้ฝึกปราณของอารยธรรมยุคสมัยที่กระจายตัวอยู่ในนั้นล้วนไม่อาจออกมาได้หรือ” หลินสวินเอ่ยถาม
“เวลาเปลี่ยนเหตุการณ์เปลี่ยน”
ชายหนุ่มชุดดำเกาหยางหลียิ้มกล่าว “ถ้าสหายยุทธ์หลินอยากรู้จริงๆ รอหลังจากพวกเราหารือกันแล้ว ข้าค่อยคุยเรื่องนี้กับเจ้า”
“ว่ามาเถิด พวกเจ้าต้องการอะไร” หลินสวินกล่าว
“มอบนัยเร้นลับควบคุมเมืองเทพศุภโชคมาก็แลกลูกชายเจ้ากลับไปได้”
เจียงเจวี๋ยที่สีหน้าเย็นชาเอ่ยเสียงเรียบ “มอบเรือนิรันดร์มาก็แลกลูกศิษย์เจ้ากลับไปได้”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัดน้อยๆ กล่าวว่า “ที่แท้ก็มาเพื่อสิ่งนี้ ข้าอยากเจอพวกเขาก่อนค่อยตัดสินใจ”
“ได้”
จี้กุยเจินในชุดขาวหิมะบริสุทธ์เอ่ยปากแล้ว เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ม่านแสงสายหนึ่งก็ปรากฏออกมา
ในม่านแสงสะท้อนเงาร่างของหลินฝานกับซูไป๋ ทั้งสองคนอยู่ในสภาพสลบไสล หมดสติ แต่ดูแล้วไม่ได้รับอันตราย
หลินสวินกลับขมวดคิ้วกล่าว “นี่ก็แค่ม่านแสงเท่านั้น ข้าต้องการเจอตัวคน”
จี้กุยเจินกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “ตราบใดที่เจ้ามอบของที่พวกเราต้องการย่อมได้เจอพวกเขาแน่นอน”
หลินสวินฝืนข่มไอสังหารที่พลุ่งพล่านในใจ พลิกฝ่ามือคราหนึ่ง เรือนิรันดร์ขนาดราวหนึ่งฉื่อก็ปรากฏออกมา
“นี่คือเรือนิรันดร์ ข้าประทับนัยเร้นลับของเมืองเทพศุภโชคไว้ในม้วนหยกได้เช่นกัน นี่คือความจริงใจของข้า พวกเจ้าเองก็ควรให้ข้าเห็นความจริงใจของพวกเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ”
หลินสวินกล่าวเสียงเย็น
พวกจี้กุยเจิน เกาหยางหลี เจียงเจวี๋ยมองหน้ากันปราดหนึ่ง คล้ายกำลังสื่อจิตปรึกษาบางอย่าง
พักใหญ่เจียงเจวี๋ยก็โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เงาร่างสองสายก็ปรากฏออกมากลางอากาศ
ทว่ากลับไม่ใช่หลินฝานกับซูไป๋ แต่เป็นถังเจียงกับกู้ซี สองคนนั้นคนหนึ่งเป็นศิษย์ของหลินสวิน อีกคนเป็นคู่บำเพ็ญของซูไป๋ ตอนนี้ล้วนไม่ได้สติและถูกผนึกทั่วร่าง
“ขอเพียงเจ้ามอบเรือนิรันดร์มาก่อน ตอนนี้ก็จะส่งสองคนนี้ให้เจ้า”
เจียงเจวี๋ยจ้องหลินสวินด้วยสายตาเยียบเย็นดุจมีดดาบ สีหน้าราบเรียบเช่นดั่งเดิม
หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง เอ่ยเน้นทีละคำ “ตอนนี้ข้าอยากจะรู้ว่าลูกชายและลูกศิษย์ของข้าอยู่ที่ไหน”
ในน้ำเสียงมีไอสังหารเย็นเยียบรายล้อม
ตอนนี้หลินสวินคล้ายถูกยั่วโทสะ มุมปากจี้กุยเจินผุดแววเย้ยหยัน “หลินสวิน ตอนนี้ตัวประกันอยู่ในมือพวกเรา ถ้าเจ้าไม่อยากให้พวกเขามีชีวิตก็ลงมือได้เลย แต่ถ้าอยากให้พวกเขารอดชีวิตก็ทำตามที่พวกเราบอก ส่งเรือนิรันดร์มาก่อน การแลกเปลี่ยนขั้นแรกก็จะเสร็จสิ้น”
เกาหยาหลีที่อยู่อีกด้านยิ้มไกล่เกลี่ย “ทุกคนต่างได้สิ่งที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายเกินงาม สหายยุทธ์หลิน ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่าตอนนี้หลินฝานกับซูไป๋ล้วนปลอดภัยไร้กังวล เจ้าวางใจได้”
หลินสวินสีหน้าเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ สายตากวาดมองสามคนตรงหน้าแล้วกล่าว “ถ้าข้าส่งของให้แล้วพวกเจ้าไม่ปล่อยคนจะทำอย่างไร”
เกาหยางหลียิ้มกล่าว “สหายยุทธ์หลิน ในเมื่อพวกข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนย่อมไม่อยากสู้กับเจ้าอย่างเอาเป็นเอาตาย สำหรับพวกเรา นี่ล้วนไม่มีประโยชน์ ยิ่งกว่านั้นที่นี่คือโลกยอดนิรันดร์ ด้วยมรรควิถีของเจ้าในปัจจุบัน ถ้าสู้สุดชีวิตขึ้นมาจริงๆ พวกเราสามคนก็ไม่มั่นใจว่าจะต้านทานได้ เรื่องเปลืองแรงไม่เป็นผลดีนี่มีแต่คนโง่เท่านั้นถึงจะทำ”
หลินสวินนิ่งเงียบไป
ครู่หนึ่งเขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เรือนิรันดร์ก็พุ่งไปหาฝ่ายตรงข้าม “ส่งคน”
เกาหยางหลีเผยสีหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอกทันที เอ่ยชม “สหายยุทธ์หลินกล้าหาญนัก!”
จี้กุยเจินกลับประหนึ่งเผชิญหน้าศัตรูผู้น่าเกรงขาม โคจรมรรควิถีทั่วร่างนำเรือนิรันดร์มาไว้ในมือ กระทั่งแน่ใจว่าไม่มีอันตรายเข้าถึงค่อยเบาใจลงไม่น้อย และหันไปพยักหน้ากับเจียงเจวี๋ยที่ด้านข้าง
เจียงเจวี๋ยโบกมือ เงาร่างของกู้ซีและถังเจียงที่ถูกนางผนึกมาตลอดก็พุ่งไปหาหลินสวินกลางอากาศ
หลินสวินแผ่จิตรับรู้สัมผัสร่างหญิงทั้งสองครู่หนึ่ง หลังแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติถึงค่อยเก็บพวกนางเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
“ตอนนี้ปล่อยลูกศิษย์กับลูกชายข้าออกมาได้หรือยัง”
หลินสวินเอ่ยเสียงเบา
กลับเห็นจี้กุยเจินขมวดคิ้วกล่าว “เหตุใดเรือนิรันดร์นี่ถึงไม่อาจเปิดได้”
“มีแค่ต้องหลอมมันเท่านั้นถึงจะเปิดมันได้”
หลินสวินกล่าวลวกๆ “พวกเจ้าอย่าบอกข้านะว่าแม้แต่หลักการง่ายๆ ข้อนี้ก็ไม่รู้”
เสียงเจือแววเย้ยหยันอย่างไม่ปกปิด
จี้กุยเจินสีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง กล่าวอย่างเย็นชา “อยากได้ลูกศิษย์กับลูกชายเจ้าก็ย่อมได้ แค่ไปแหล่งสถานศุภโชคกับพวกเราก็พอ”
“แหล่งสถานศุภโชค…”
หลินสวินนัยน์ตาแผ่ไอสังหารน่ากลัวออกมา “พูดเช่นนี้ พวกเจ้าไม่คิดจะแลกเปลี่ยนกับข้าดีๆ ตั้งแต่แรกแล้วสินะ”
เกาหยางหลีรีบกล่าว “สหายยุทธ์หลินใจเย็นๆ พวกเราก็แค่เผื่อไว้ ถึงอย่างไรต่อให้ตอนนี้เจ้ามอบนัยเร้นลับควบคุมเมืองเทพศุภโชคให้พวกเรา พวกเราก็ไม่มีทางตรวจสอบได้ว่าเป็นของจริงหรือปลอม มีแต่สหายยุทธ์หลินไปด้วยกันกับพวกเราสักรอบถึงจะมั่นใจได้”
หลินสวินไม่ปกปิดอารมณ์ของตนอีกต่อไป กล่าวเสียงเย็น “รอถึงแหล่งสถานศุภโชค ให้พวกเจ้าควบคุมเมืองเทพศุภโชคได้แล้ว เกรงว่าพวกเจ้าก็จะยังยื่นข้อเรียกร้องอื่นอีกกระมัง”
“ดูท่าสหายยุทธ์หลินไม่เชื่อพวกเราเลย”
เกาหยางหลีถอนใจยิ้มขื่น
หลินสวินกล่าว “ให้ข้าเดา รอถึงแหล่งสถานศุภโชคแล้ว อย่าว่าแต่ชีวิตของลูกศิษย์และลูกชายข้า แม้แต่ชีวิตของข้าหลินสวินก็ต้องมอบให้เช่นกัน พวกเจ้าถึงจะวางใจอย่างแท้จริงใช่หรือไม่”
เกาหยางหลียังอยากอธิบายอะไร จี้กุยเจินก็กล่าวขึ้นมาด้วยความเหยียดหยาม “นอกเสียจากเจ้าจะไม่ต้องการชีวิตของลูกชายเจ้ากับลูกศิษย์ ไม่เช่นนั้น… เจ้ายังมีทางเลือกอีกหรือ”
เขาสงบมาก ไม่หวั่นเกรง ท่าทางเหมือนจับหลินสวินได้อยู่หมัดแล้ว
“มีทางเลือกหรือไม่…”
จู่ๆ หลินสวินก็ยิ้มออกมา เพียงแต่ใบหน้านั่นกลับพาให้คนสะท้านทั้งที่ไม่หนาว “ข้ารู้อยู่แล้วว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไม่มีทางง่ายดายเช่นนี้”
“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย เจ้าบอกมาว่าจะไปกับพวกเราหรือไม่”
เจียงเจวี๋ยคล้ายหงุดหงิดอยู่บ้าง เอ่ยอย่างเย็นชา
เกาหยางหลีกลับเผยท่าทางเกลี้ยกล่อมปรองดอง กล่าวว่า “สหายยุทธ์หลิน จากความเห็นข้าเจ้าให้ความร่วมมือสักนิดจะดีกว่า พวกเรามาแลกเปลี่ยนกับเจ้าจริงๆ เพียงแต่ถ้าเจ้ายังเผยท่าทีต่อต้านมากเช่นนี้ เรื่องก็คงจัดการได้ไม่ง่ายแล้ว”
“จัดการได้ไม่ง่ายหรือ”
นัยน์ตาดุจเหวลึกของหลินสวินวาบประกายหนาวเหน็บ “ไม่ สำหรับข้า ที่จริงจัดการได้ง่ายมาก”
เชาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
ฮูม…
ระเบียบปฐมพรั่งพรูออกมาปิดครอบฟ้าดินแถบนี้
ยามนี้หลินสวินไม่ต้องห่วงว่าจะถูกการกดข่มของกฎระเบียบฟ้าดินอีกต่อไป มรรควิถีทั่วร่างที่กดไว้ปลดปล่อยออกมาถึงขีดสุด
ตูม!
ไอสังหารน่าสะพรึงอบอวลอยู่ในอานุภาพกดดันรุนแรง แผ่ออกจากร่างหลินสวิน ภาพเช่นนั้นทำเอานัยน์ตาพวกเกาหยางหลีหดรัดไปตามๆ กัน
ทว่าพวกเขากลับไม่ตกใจ คล้ายมีการเตรียมพร้อมไว้ก่อนนานแล้ว
ก็เห็นเกาหยางหลีดีดนิ้วคราหนึ่ง “ทะยาน!”
ตูม!
แสงประกายสีแดงแถบหนึ่งปรากฏออกมาจากในผืนน้ำ ลุกโชนรุนแรง ปลดปล่อยกลิ่นอายแผดเผาอันน่าสะพรึงไร้สิ้นสุด ระเหยน้ำทะเลจนเกลี้ยง ทำให้ห้วงอากาศล้วนถูกหลอมสลาย
“ระเบียบระดับเทพ พวกเราก็มี”
เกาหยางหลีอมยิ้มกล่าว
ในขณะเดียวกันนี้เจียงเจวี๋ยที่สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งก็ตวัดมือคราหนึ่ง คลื่นระเบียบระดับเทพสายหนึ่งแผ่ออกไปในฟ้าดิน น้ำเงินเข้มดุจสมุทร เจือแสงเทพประหลาดที่พาให้คนขนพองสยองเกล้า
“เดาได้นานแล้วว่าเจ้าจะไม่ยอมก้มหัวเช่นนี้!”
จี้กุยเจินในชุดขาวหิมะส่งเสียงหยันเย็นชา
ตูม!
ที่ตามมาติดๆ คือรุ้งเทพกฎเกณฑ์มรรคมากมายพุ่งออกมาจากร่างเขา อานุภาพทั่วร่างทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากขั้นล่วงกฎก้าวสู่ขั้นสรรสร้าง!
จี้กุยเจินนี่ถึงกับเป็นขั้นสรรสร้างคนหนึ่ง!
ตูม โครม…
ฟ้าดินแถบนี้สะเทือนไหว จมสู่ความโกลาหลอันบ้าคลั่ง
ระเบียบปฐมกับระเบียบระดับเทพอีกสองชนิดปะทะกันอย่างรุนแรง ประหนึ่งกฎระเบียบฟ้าดินที่เหมือนน้ำกับไฟเข้าปะทะ ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายทำลายล้างที่เกิดขึ้นล้วนผลาญโลกใหญ่แห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ครั้นมองไปยังฝั่งตรงข้าม จี้กุยเจินเป็นผู้ฝึกปราณขั้นสรรสร้าง ส่วนบนร่างเกาหยางหลีและเจียงเจวี๋ยคือระลอกคลื่นอานุภาพของขั้นล่วงกฎสัมบูรณ์
กำลังพลระดับนี้ ในน่านฟ้าที่เก้าล้วนสามารถทำให้เผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้นรู้สึกอับจนหนทางได้แล้ว!
ถึงอย่างไรเพราะมีภัยคุกคามร้ายแรงของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ ในโลกยอดนิรันดร์ในปัจจุบันจึงหาขั้นสรรสร้างไม่ได้เจอสักคน
แต่เห็นชัดว่าพวงจี้กุยเจินที่มาจากแหล่งสถานศุภโชคไม่กังวลเรื่องนี้
“ตอนนี้เจ้าคิดว่ายังจัดการได้ง่ายหรือไม่” แววตาจี้กุยเจินหยามเหยียด ประหนึ่งจ้องมองเหยื่อที่ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
“สหายยุทธ์หลิน มีอะไรก็คุยกันดีๆ เหตุใดต้องวู่วามเช่นนี้ ฟังสักประโยค ไปกับพวกเราสักครั้งจะดีกว่า”
เกาหยางหลียังคงมีท่าทีปรองดองเกลี้ยกล่อม
“ก่อนหน้านี้ที่พวกเราจับตัวประกันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเตรียมการล่วงหน้า ไม่ได้คิดจะทำอะไรรุนแรง แต่ในเมื่อตอนนี้เขาไม่คำนึงถึงชีวิตของลูกศิษย์และลูกชายเขาอีกต่อไป จากที่ข้าดูลงมือจับเขาไปตรงๆ จะดีกว่า”
เจียงเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ตั้งแต่ต้นจนจบนางคล้ายไม่มีคลื่นอารมณ์ สงบนิ่งจนน่ากลัว
และท่าทีของพวกเขาทั้งสามคนในยามนี้ล้วนเผยความมั่นใจเหมือนกำชัยชนะ มองหลินสวินราวกับนักโทษ
เห็นเช่นนี้หลินสวินก็เดือดดาลจนยิ้มออกมา “พลังแค่นี้ก็กำเริบเสิบสานได้แล้วหรือ”
เขาโบกแขนเสื้อติดต่อกัน
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
ระเบียบระดับเทพสายแล้วสายเล่าทะยานออกมา เงาแสงพร่างพราว ระเบียบตัดสลับไปมาทับซ้อนเป็นชั้นๆ ปกคลุมในฟ้าดินแถบนี้
“นี่…”
สีหน้าของพวกจี้กุยเจิน เกาหยางหลี เจียงเจวี๋ยอึ้งค้างไปตรงนั้น ท่าทางเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ