หลินสวินใจสั่น
ยิ่งพินิจรูปปั้นไท่ชูนี่อย่างละเอียดก็ยิ่งใจสั่นขึ้นเรื่อยๆ คล้ายว่ารูปปั้นหินนี้มีเวทมนตร์ประหลาดอย่างหนึ่ง นำพากระแสหยาวเยือกน่าหวาดหวั่นที่ยากจะต้านมาสู่ใจคน
แต่ขณะเดียวกันก็มีแรงกระตุ้นที่ไม่อาจควบคุมปรากฏขึ้นในใจ ทำให้หลินสวินอดไม่ได้ อยากจะก้าวไปอีกขั้นโดยใช้จิตรับรู้สัมผัสพลังของรูปปั้นหินนี้
แรงกระตุ้นเช่นนี้รุนแรงมาก รุนแรงถึงขั้นทำให้จิตรับรู้ของหลินสวินได้รับผลกระทบ สภาวะจิตเองก็เผยความปรารถนาเป็นระลอก
และก็เป็นตอนนี้เอง ทันใดนั้นเสียงของซย่าจื้อก็ดังขึ้นข้างหู “หลินสวิน เจ้าเป็นอะไรไป”
เสียงกระจ่างใสดั่งเสียงสวรรค์ ยามนี้กลับเหมือนฟ้าร้อง ทำให้หลินสวินสะดุ้งตื่นจากแรงกระตุ้นและความปรารถนาสุดขีดนั่นทันที
เขาพลันตกใจจนเหงื่อเย็นไหลท่วมกาย สีหน้ายังซีดขาวน้อยๆ
รูปปั้นหินที่ชั่วร้ายนี่!
ในใจหลินสวินพลิกม้วน ไม่อาจสงบได้
ความรู้สึกใจสั่น กระหาย ถูกกระตุ้นก่อนหน้านี้ราวกับมือยักษ์ไร้รูปที่กุมจิตรับรู้และจิตใจของเขาไว้ทั้งหมด
ถ้าไม่ใช่ซย่าจื้อส่งเสียงทันเวลา เกรงว่าเขาคงใช้จิตรับรู้ไปสัมผัสรูปปั้นหินนี้อย่างอดไม่ไหวไปแล้ว!
ถ้าเป็นเช่นนั้น…
ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
หลินสวินไม่อาจรู้ เพียงแต่ตอนที่เขามองไปยังรูปปั้นหินนี่ สีหน้าก็เจือความหวาดระแวงและระมัดระวังแล้ว
“ซย่าจื้อ เมื่อครู่เจ้าได้ยินเสียงถอนหายใจหรือไม่” หลินสวินพลันเอ่ยถาม
ซย่าจื้อเดินเข้ามายืนข้างหลินสวินอย่างมีชีวิตชีว่า ส่ายหัวกล่าวว่า “ไม่มี เมื่อครู่สีหน้าของเจ้าผิดปกติ คล้ายถูกคนดูดวิญญาณ ข้าจึงส่งเสียงเรียก”
หลินสวินอึ้ง “ไม่ได้ยินหรือ…”
พริบตาที่เขาได้สติก่อนหน้านี้ เขาได้ยินเสียงถอนหายใจชัดๆ เลือนรางคล้ายมีคล้ายไม่มี แผ่วเบายิ่ง ยามคิดคว้าจับกลับสัมผัสไม่ถึงอีก
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จมสู่ภวังค์
ในความทรงจำของวิญญาณจี้กุยเจินก็ไม่มีเรื่องที่ว่าเขาได้รับรูปปั้นหินไท่ชูมาได้อย่างไร เหมือนถูกลบ ว่างเปล่าไปหมด
นี่ทำให้หลินสวินไม่รู้แม้แต่น้อยว่าจี้กุยเจินสื่อสารกับรูปปั้นหินไท่ชูนี่อย่างไร
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
‘หรือว่า… รูปปั้นไท่ชูนี่จึงจะเป็นกระบวนท่าสังหารที่แท้จริง’
ทันใดนั้นหลินสวินนึกความเป็นไปได้อย่างหนึ่งออก ดูเผินๆ ครั้งนี้เป็นพวกจี้กุยเจินมาจัดการตน แต่ความจริงรูปปั้นไท่ชูนี่ต่างหากที่เป็นเคราะห์สังหารใหญ่ที่สุดซึ่งพุ่งเป้ามายังตน
หากการคาดเดานี้เป็นจริง เช่นนั้นเมื่อครู่หากตนใช้จิตรับรู้ไปสัมผัสโดยไม่ระวัง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะประสบเคราะห์ไปแล้ว!
เพียงแต่หลินสวินกลับไม่อาจยืนยันเรื่องพวกนี้
‘ข้าอยากดูนักว่าเจ้ากำลังเล่นปาหี่อะไร…’
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โคจรกฎเกณฑ์นิรันดร์เป็นเตาหลอมโดยตรง แล้วกำราบรูปปั้นไท่ชูสูงเก้าชุ่นที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายประหลาดนี้ลงในนั้น
กฎเกณฑ์นิรันดร์ของเขาควบรวมขึ้นจากพลังระเบียบนิพพานที่สมบูรณ์ มีประโยชน์อย่างน่าเหลือเชื่อ และก็เพราะระเบียบนิพพานเช่นกันที่ทำให้เขาก้าวสู่มรรคายอดอมตะ ถึงขั้นทำให้เขาถูกผู้บงการหลังม่านมองเป็นภัยคุกคาม!
ด้วยเหตุนี้หลินสวินถึงเลือกใช้กฎเกณฑ์นิรันดร์เข้ากำราบ
ดังคาด ภาพน่าเหลือเชื่อปรากฏออกมาแล้ว…
รูปปั้นระเบิดแตกเป็นผุยผง และคำว่า ‘ไท่ชู’ สองคำที่สลักอยู่ข้างใต้ก็กลายเป็นสายฟ้าสีเทาสายหนึ่งในชั่วพริบตา
มันบางราวเส้นผม เล็กถึงทขีดสุด แต่ทันทีที่ปรากฏก็ปลดปล่อยอานุภาพน่าครั่นครามไม่อาจจินตนาการ ทำให้ร่างกายและจิตใจของหลินสวินราวกับจมสู่ถ้ำน้ำแข็ง สัมผัสถึงกลิ่นอายร้ายกาจที่รุนแรงยิ่งยวด
ประหนึ่งความตายบีบใกล้เข้ามา!!
หลินสวินใจเต้นงตึกตัก มือเท้าเย็นเฉียบ กลิ่นอายน่าสะพรึงนั่นทำให้เขาเกิดความรู้สึกสิ้นหวังไร้แรงต้าน
ก็เป็นยามนี้เอง นัยเร้นลับนิพพานในกฎเกณฑ์นิรันดร์ทั้งตัวเขาบังเกิดคลื่นน่าตกใจ เข้าข่มสายฟ้าสีเทาที่เล็กบางราวขนวัวสายนี้!
ปึงๆๆ!
เสียงปะทะน่าตระหนกดังขึ้น สายฟ้าสีเทานั่นเข้าปะทะไม่หยุด พยายามสลัดออกจากการกำราบของนัยเร้นลับนิพพาน แต่เมื่อนัยเร้นลับนิพพานทะยานกึกก้องไม่หยุด การโจมตีทั้งหมดของสายฟ้าสีเทาก็ล้วนถูกลบล้างไป และกำราบมันได้ในที่สุด
หลินสวินที่สังเกตเห็นภาพนี้หลั่งเหงื่อเย็นชุ่มโชกไปทั่วร่าง
ชั่วพริบตาเมื่อครู่เหมือนกับเดินผ่านประตูผีมารอบหนึ่ง กลิ่นอายความตายรุนแรงทำเอาเขาหวาดผวามาถึงตอนนี้
ครั้นมองดูสายฟ้าสีเทานั่นอีกครั้ง แม้จะถูกกำราบแต่ยังไม่ได้ถูกหลอม กลับพุ่งทะลวงอยู่ในนัยเร้นลับนิพพานไม่หยุด คล้ายพยายามหาทางรอด
ให้ความรู้สึกเหมือนนัยเร้นลับนิพพานเป็นบ่อปลา ส่วนสายฟ้าสีเทานี่ก็คือปลาตัวหนึ่ง พยายามหลบหนีจากบ่อปลา แต่ย่อมเป็นการเสียแรงเปล่า
หลินสวินสูดหายใจลึกสองสามครา กระทั่งสภาวะจิตสงบลงถึงค่อยเริ่มสังเกตสายฟ้าสีเทานี้
มันบางเหมือนขนวัว ไม่สะดุดตายิ่ง แต่กลับแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงถึงขั้นคาดไม่ถึงซึ่งแปลงมาจากพลังกฎระเบียบลึกลับแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ลำพังแค่มองดูก็ทำให้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวัง
‘จริงด้วย สิ่งที่อบอวลบนรูปปั้นไท่ชูเมื่อครู่ก็คือกลิ่นอายประหลาดชนิดนี้!’
หลินสวินแววตาไหววูบ เข้าใจรางๆ แล้ว
สายฟ้าสีเทาคือสิ่งที่อักษรมหามรรคเร้นลับ ‘ไท่ชู’ สองคำแปลงออกมา และอักษรมหามรรคนี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยทิ้งไว้
นี่หมายความว่าสายฟ้าสีเทานี่ เป็นไปได้ว่าจะเป็นพลังกฎระเบียบที่ผู้บงการหลังม่านนั่นครอบครอง!
ทันทีที่คิดถึงจุดนี้หลินสวินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
ผู้บงการหลังม่านลึกลับมาโดยตลอด ในยุคสมัยมากมายที่ผ่านมาไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของผู้บงการหลังม่านนี้ และไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหนหรือวิวัฒน์มาจากกฎระเบียบอะไรกันแน่
ต่อให้เป็นบุคคลยอดเยี่ยมอย่างเฉินหลินคง เฉินซี ก็ล้วนกำลังหาเบาะแสของผู้บงการหลังม่าน
แต่คิดก็รู้ว่าผู้บงการหลังม่านนี่เร้นลับปานใด
แต่ยามนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาอาจกำราบพลังกฎระเบียบเสี้ยวหนึ่งของผู้บงการหลังม่านอยู่!!
นี่จะให้หลินสวินไม่ใจเต้นได้อย่างไร
‘ถ้าสามารถนิพพานและสร้างกฎระเบียบนี้ขึ้นมาใหม่ได้ จะไม่ใช่หมายความว่าข้าเองก็สามารถครอบครองพลังกฎระเบียบที่เหมือนผู้บงการหลังม่านนั่นหรือ’
‘และพลังกฎระเบียบที่น่ากลัวเร้นลับนี้ยังถูกนัยเร้นลับนิพพานกำราบได้ นี่ไม่ใช่หมายความว่ามรรคาที่ข้าเสาะหา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไม่ได้อยู่ภายใต้ผู้บงการหลังม่าน’
ความคิดในสมองหลินสวินผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย
แต่ไม่นานหลินสวินก็ใจเย็นลง
สิ่งที่ถูกกำราบตอนนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กละเอียดราวขนวันเท่านั้น ไม่สะดุดตา แต่พลังระดับนั้นกลับน่าสะพรึงถึงขั้นนี้
สามารถคาดเดาได้ว่าหากผู้บงการหลังม่านนั่นใช้พลังที่แท้จริงลงมือจะน่ากลัวถึงเพียงไหน
อีกทั้งหลินสวินสังเกตได้อย่างฉับไวว่าต่อให้นัยเร้นลับนิพพานจะกำราบสายฟ้าสีเทาเสี้ยวนั้นได้ แต่ตอนนี้ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหลอมมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนิพพานและสร้างใหม่…
‘ดูท่าความต่างของพลังมหามรรคของข้ากับผู้บงการหลังม่านจะห่างไกลกันเกินไป ถึงขั้นว่าพลังของนัยเร้นลับนิพพานที่สำแดงออกมาได้ถึงขีดจำกัดแล้ว และทำได้เพียงกำราบพลังกฎเกณฑ์เสี้ยวนี้ไว้เท่านั้น…’
หลินสวินเข้าใจคร่าวๆ แล้ว
นี่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหดหู่ กลับเต็มไปด้วยความเฝ้าคอย ว่ายามเขาแจ้งมรรคขั้นสรรสร้างหรือแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขต จะสามารถหลอมสายฟ้าสีเทานี้และทำให้เกิดการนิพพานและสร้างใหม่ได้หรือไม่
เนื่องจากสายฟ้าสีเทานี่แปรสภาพมาจากอักษรไท่ชูสองคำนั้น และมาจากผู้บงการหลังม่าน ดังนั้นหลินสวินจึงเรียกมันว่า ‘กฎระเบียบไท่ชู’
“หลินสวิน เจ้าเป็นอะไรกันแน่”
ซย่าจื้อที่อยู่ด้านข้างอดถามไม่ได้ นางจับตาดูหลินสวินมาตลอด พบว่าสีหน้าเขาเปลี่ยนแปลงไม่หยุด แม้แต่การขับเคลื่อนพลังบนร่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งจึงอดกังวลอยู่บ้างไม่ได้
“ไม่มีอะไร แค่พบของใหม่บางอย่างเท่านั้น”
หลินสวินยิ้มกล่าว
เป็นการค้นพบครั้งใหม่จริงๆ เขาคิดไม่ถึงว่าในยามนี้ตนจะได้ครอบครองเสี้ยวหนึ่งของ ‘กฎระเบียบไท่ชู’ ของผู้บงการหลังม่าน
“คนนี้ควรจัดการอย่างไร”
สายตาซย่าจื้อมองไปทางพลังจิตของจี้กุยเจินที่อยู่ในมือหลินสวิน
จี้กุยเจินในยามนี้สีหน้าซีดเผือดนานแล้ว เงียบงันไร้คำพูด คล้ายว่ายอมรับชะตาโดยสมบูรณ์แล้ว
“ปล่อยไว้ก่อน รอหลังจากนี้ค่อยจัดการเขา”
ขณะพูดหลินสวินก็เก็บพลังจิตของจี้กุยเจินเข้าเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
จากนั้นสายตาเขามองไปทางซย่าจื้อ กล่าวว่า “ซย่าจื้อ พวกเรากลับลัทธิแรกกำเนิดกันก่อน”
…
ลัทธิแรกกำเนิด
เมื่อได้รู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากปากหลินสวิน สีหน้าเสวียนเฟยหลิงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมหาใดเปรียบ กล่าวว่า “พูดเช่นนี้ เจ้าคิดจะไปแหล่งสถานศุภโชคอย่างนั้นหรือ”
หลินสวินพยักหน้า “ไม่ผิด ก่อนจากไปข้าจะทิ้งระเบียบระดับเทพแปดสายกับกายมรรควารีดำไว้ดูแลลัทธิแรกกำเนิด เช่นนี้ต่อให้มีศัตรูมาจากแหล่งสถานศุภโชคอีกก็บุกลัทธิแรกกำเนิดไม่ได้ และข้าจึงจะวางใจได้โดยสมบูรณ์”
เสวียนเฟยหลิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ต้องระวังตัวด้วย!”
หลินสวินประสานมือน้อยๆ “ผู้อาวุโส ก่อนข้ากลับมา อย่าให้ข่าวพวกนี้แพร่งพรายออกไป จะได้ไม่ทำให้คนอื่นกังวล”
“ได้!” เสวียนเฟยหลิงพยักหน้า
จากนั้นหลินสวินก็กลับไปถ้ำสถิต นั่งอยู่เบื้องหน้าจ้าวจิ่งเซวียนที่กำลังหลับลึกอยู่พักใหญ่ถึงค่อยหมุนตัวจากมาเงียบๆ
“ซย่าจื้อ พวกเราไปกันเถิด”
วันนี้หลินสวินกับซย่าจื้ออาศัยพลังของ ‘กระบี่ศุภโชค’ มุ่งหน้าไปแหล่งสถานศุภโชค
…
แหล่งสถานศุภโชค
แดนเทพต้าฉิน เขตหวงห้ามที่เก้า
วู้ม!
ห้วงอากาศสั่นไหวระลอกหนึ่ง จากนั้นเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏกลางอากาศ
พริบตานั้นพลังกฎระเบียบน่าสะพรึงก็กดดันลงมา ความรู้สึกที่มอบให้หลินสวินก็ราวกับอยู่ภายใต้การบีบรัดของกรงขังไร้รูปแห่งหนึ่ง หมายจะบดขยี้ตนเอง
หลินสวินเก็บกลิ่นอายนิรันดร์ทั่วร่างทันที ทันใดนั้นพลังกฎระเบียบน่าครั่นครามที่กดดันหาใดเปรียบก็หายไป เปลี่ยนเป็นไร้รูป
ปีนั้นหลินสวินที่มีมรรควิถีระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้า ก็เคยอาศัยกระบี่ศุภโชคเข้าสู่แหล่งสถานศุภโชค และมาถึงเขตหวงห้ามที่เก้าของแดนเทพต้าฉิน
แต่เขาในตอนนี้เป็นระดับนิรันดร์ขั้นล่วงกฎสัมบูรณ์แล้ว เมื่อมาถึงที่นี่อีกครั้ง สภาวะจิตจึงต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“หืม”
จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตได้อย่างฉับไวว่าใกล้ๆ เขตหวงห้ามที่เก้ามีกลิ่นอายอมตะขั้นหลุดพ้นสายหนึ่งอยู่
มิหนำซ้ำกลิ่นอายสายนี้กำลังเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศเต็มกำลัง มุ่งหน้าหนีออกไปไกล
เห็นได้ชัดว่าระลอกคลื่นห้วงอากาศที่เกิดขึ้นยามหลินสวินมาถึงถูกคนผู้นี้สังเกตเห็นแล้ว และเลือกหนีจากไปทันที
หลินสวินแววตาไหววูบ คว้าไปกลางห้วงอากาศทันใด
เงาร่างเฒ่าชราสายหนึ่งซึ่งอยู่กลางอากาศไกลออกไปพลันร่วงลงมาจากการเคลื่อนย้าย ไม่รอให้ยืนได้มั่นก็ถูกพลังฝ่ามือของหลินสวินคว้าไว้ และมาอยู่เบื้องหน้าหลินสวินราวกับหนีบแมลง
เฒ่าชราผู้นี้สวมชุดดำ ผมขาวราวหิมะ ในแดนเทพต้าฉินที่ไม่มีระดับนิรันดร์ เรียกได้ว่าเป็นตัวตนสูงส่งที่สุด
แต่ตอนนี้สีหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความกลัวและหวาดผวา ทั่วร่างสั่นเทิ้มโดยไม่อาจควบคุม