เพิ่งสิ้นเสียงของจี้เฉาอิน
จี้กุยหลิงและจี้ไห่เหวินสำแดงไพ่ตายออกมาโดยพร้อมเพรียง
“หมื่นกระแส!”
จี้กุยหลิงตะโกน ห้วงอากาศปริแยกกะทันหัน พลังกฎระเบียบไพศาลพวยพุ่งออกมา ราวกับน้ำจากเก้าสวรรค์ระบายออกหมายจะท่วมโลก
พลังกฎระเบียบไพศาลนั้นปกคลุมฟ้าดิน เมื่อเทียบกันแล้ว ทุกอย่างดูเล็กและไร้แรงเป็นพิเศษ
สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากจี้กุยหลิงสำแดงการโจมตีนี้ออกมา พลังขับเคลื่อนทั้งร่างพลันอ่อนแอลง สีหน้าซีดเซียว
เห็นชัดว่าการโจมตีเช่นนี้ทำให้ขั้นสรรสร้างอย่างเขาผลาญพลังไปมากยิ่ง
“ภูผาธารารวมตัว จันทร์ส่องสว่างลำพัง!”
ในเวลาเดียวกันเสียงที่เลื่อนลอยเย็นเยียบดังขึ้น เมื่อจี้ไห่เหวินกวักมือ ราวกับภูผาธารานับหมื่นพันพาดขวางกลางห้วงอากาศ จันทร์กลมส่องสว่างลอยเด่น สาดแสงใสเย็นดุจภาพฝันคลุมเครือออกมา
ภูผาธาราเหล่านั้นล้วนแปลงมาจากกฎระเบียบลึกลับ โดยเฉพาะดวงจันทร์นั่น ประหนึ่งหมื่นมรรคแปลงมา เต็มไปด้วยท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง หนึ่งเดียวในหมื่นกาล
ภาพเช่นนี้งดงามจนพาให้คนใจสั่น และน่าหวาดหวั่นจนถึงขั้นไม่สามารถจินตนาการได้
แม้มองจากไกลๆ ยังทำให้ในใจขั้นล่วงกฎอย่างพวกจี้ป๋อเหวินหนาวเยือก รู้สึกสิ้นหวังไร้ที่พึ่ง
กลับเห็นดวงตาแดงก่ำของหลินสวินเผยประกายปานบ้าคลั่ง ครู่ต่อมา…
วู้ม…
ประตูเนรเทศพลันปรากฏ บดบังฟ้าดินแถบนี้ ประตูยักษ์ที่มีขอบเขตหมื่นจั้งเต็มเสมือนปากใหญ่เลือดนองกลืนกินฟ้า
อภินิหารต้องห้ามอย่างประตูเนรเทศ ตอนนี้ถูกหลินสวินซึ่งมีมรรควิถีขั้นล่วงกฎสัมบูรณ์ปลดปล่อยออกมาถึงขีดสุด อานุภาพย่อมแตกต่างจากในอดีต
ตูม โครม…
กระแสกฎระเบียบไพศาลที่จี้กุยหลิงปลดปล่อยออกมาน่ากลัวเพียงใด แต่ตอนนี้กลับเหมือนหมื่นกระแสคืนสู่มหาสมุทร ถูกประตูเนรเทศกลืนกินทั้งหมด
“เป็นไปได้อย่างไร!”
จี้กุยหลิงตะโกนลั่น สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นี่เป็นถึงไพ่ตายของเขา ผลาญพลังปราณของเขาไปเกินครึ่ง
ขณะเดียวกัน จี้ไห่เหวินเองก็ส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจยากจะเชื่อ
ก็เห็นโลกภูผาธาราจันทรานั้นถึงกับถูกบดขยี้แหลกประหนึ่งกระดาษเปื่อยและหายไปในประตูเนรเทศ พลังกฎระเบียบอันน่าสะพรึงที่สั่งสมอยู่ภายในถึงขั้นเทียบไม่ได้ปานนั้น
โครม!
ฟ้าดินอึงอล ประตูเนรเทศพาดขวาง กลืนกินทุกสิ่ง ไม่ว่าจะอภินิหารชั้นเลิศอะไร พลังกฎระเบียบอะไร ล้วนถูกบดขยี้กลืนกินปานพายุหอบม้วน
ภาพนั้นทำเอาพวกจี้ป๋อเหวินหนังหัวชาวาบ ลูกตาแทบหลุดออกมา
ด้านสี่กายมรรคของหลินสวินเคลื่อนไหวเต็มกำลัง กายมรรคไม้เขียวและเพลิงแดงจัดการจี้กุยหลิงด้วยกัน กายมรรคทองขาวและดินเหลืองจัดการจี้ไห่เหวินด้วยกัน
ส่วนร่างต้นของหลินสวินใช้พลังทั้งหมดตรึงการโจมตีของจี้เฉาอิน
ตูม โครม…
การต่อสู้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
เพียงพริบตาจี้กุยหลิงก็ถูกกายมรรคไม้เขียวและเพลิงแดงกดข่ม หนีจนไร้ทางหนีและถูกประตูเนรเทศกลืนกินโดยตรง
“ไม่…!!” จี้กุยหลิงตะโกนอย่างเดือดดาล ตาแทบถลนออกมา เขาดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งแต่กลับไร้ประโยชน์ ไม่นานเงาร่างก็หายไปในส่วนลึกของประตูเนรเทศ
ขั้นสรรสร้างขั้นต้นคนหนึ่งถูกกลืนกินไปเช่นนี้!
“รนหาที่ตาย!”
จี้เฉาอินตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว ใช้ไพ่ตายในมือ กลางฝ่ามือปรากฏแสงกระบี่พร่างพราวไร้ใดเปรียบ ฟันออกไปอย่างเดือดดาล
กลิ่นอายอันตรายกระตุ้นจนร่างต้นของหลินสวินหนาวเยือก แต่เขากลับไม่ถอย แต่กัดฟันเข้าต้านเต็มกำลัง
เคร้ง!!
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งไม่ยังไม่อาจขวางการโจมตีของกระบี่นี้ได้ ถูกซัดกระเด็นออกไปโดยตรง
จากนั้นปราณกระบี่นี้กดข่มลงมาติดๆ แม้หลินสวินต้านทานเต็มที่แล้วแต่ยังคงถูกโจมตีบาดเจ็บ เงาร่างโซเซถอยหลังไปหลายก้าวในห้วงอากาศ กระอักเลือดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป
ปราณกระบี่นั่นน่ากลัวเกินไป กรีดอกเขาเป็นรอยกระบี่ที่เลือดไหลโชก แทบจะผ่าเปิดท้องเขา
นี่ก็คือความแข็งแกร่งของขั้นสรรสร้างขั้นปลาย แม้พลังที่ร่างต้นของหลินสวินครอบครองเรียกได้ว่าเย้ยฟ้าแล้ว ทว่าในการต่อสู้นี้กลับได้รับบาดเจ็บอย่างไม่อาจเลี่ยง
แต่ไม่ว่าอย่างไร กระบี่ที่ฟันออกมาด้วยความกราดเกรี้ยวของจี้เฉาอินนี้ก็ยังคงถูกร่างต้นของเขาขวางเอาไว้ได้!
และในเวลาเดียวกัน จี้ไห่เหวินซึ่งถูกสี่กายมรรคล้อมโจมตี ก็เผชิญกับการโจมตีหนักหน่วงที่ไม่อาจรับไหว
จากนั้นเงาร่างที่บาดเจ็บสาหัสของนางก็ถูกประตูเนรเทศกลืนกิน ตามรอยจี้กุยหลิงไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ขั้นสรรสร้างขั้นกลางอย่างจี้ไห่เหวินยังยากจะต้านทานการล้อมโจมตีของสี่กายมรรค
แน่นอนว่าร่างต้นของหลินสวินก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นกัน ถูกแสงกระบี่นั่นโจมตีบาดเจ็บ โชคดีที่ไม่นับว่ารุนแรง
พวกจี้ป๋อเหวินเดือดดาลยิ่งยวดแล้ว ถูกภาพการตายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกระตุ้นจนใบหน้าแก่ชราคล้ำเขียว แต่ละคนมือเท้าเย็นเยียบ
ตระกูลจี้ของพวกเขาหล่อเลี้ยงและเพาะบ่มมาไม่รู้นานเท่าไรในกาลเวลาไร้สิ้นสุด กว่าจะให้กำเนิดขั้นสรรสร้างขึ้นมาได้สี่คน
ทว่าเริ่มจากจี้กุยเจินประสบเคราะห์ในโลกยอดนิรันดร์ จากนั้นจี้กุยหลิงกับจี้ไห่เหวินล้วนร่วงหล่นในคืนนี้ แรงโจมตีเช่นนี้แค่คิดก็รู้ว่าหนักหน่วงขนาดไหน!
ถึงขั้นสั่นคลอนรากฐานของพวกเขาแล้ว สามารถทำให้อานุภาพของตระกูลจี้ตกต่ำลงได้!
“เหตุใดจึง…”
“เหตุใจจึงเป็นเช่นนี้ เพราะหตุใด…”
ขั้นล่วงกฎอย่างพวกจี้ป๋อเหวินแทบคลั่งแล้ว
“เจ้า… สมควรตาย!”
และตอนนี้จี้เฉาอินเองก็เดือดดาลอย่างสิ้นเชิง ราวกับคลุ้มคลั่ง
ตูม!
เสื้อผ้าของเขาสะบัดโบก อานุภาพทั่วร่างปะทุราวกับภูเขาไฟ แสงมรรคนิรันดร์ที่สว่างไสวยิ่งยวดปลดปล่อยออกมา ขับให้เขาราวกับราชันไร้เทียมทานที่เดือดดาล
โดยเฉพาะตรงหว่างคิ้วถึงกับมีรอยเลือดสายหนึ่งเปิดออกเงียบๆ จากนั้นประกายกระบี่แดงฉานก็ผุดออกมาจากรอยเลือดนั้นทีละนิด
ทุกครั้งที่ประกายกระบี่ปรากฏออกมาหนึ่งชุ่น แม้แต่ฟ้าดินยังสั่นไหวครั้งหนึ่ง พลังของจี้เฉาอินก็แข็งแกร่งขึ้นหนึ่งช่วงหนึ่ง
ยามประกายกระบี่นี้ปรากฏโดยสมบูรณ์ มีขนาดเจ็ดชุ่นเต็ม แดงฉานแปลกประหลาด ประกายคมแวววาวพร่างพราว เหมือนหล่อจากโลหิตเทพแดงสด ความน่ากลัวของกลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำเอาฟ้าดินยังย้อมเป็นสีแดงน่าหวาดหวั่น
ครืน!
เขาเทพเฟิ่งฉีสั่นไหวรุนแรงขึ้นมาในชั่วขณะนี้ สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่าพลังกฎระเบียบนับไม่ถ้วนแปลงเป็นรุ้งเทพพุ่งออกจากพื้นที่ต่างๆ ของภูเขานี้ รวมตัวมาทางประกายกระบี่เจ็ดชุ่นนั่นประหนึ่งบ้าคลั่ง ทำให้พลังของประกายกระบี่เพิ่มขึ้นอย่างมากในทันที
“ยอดกระบี่เฟิ่งฉี!”
ชั่วขณะหนึ่งพวกจี้ป๋อเหวินล้วนเผยสีหน้าสะท้านอย่างไม่สามารถควบคุมได้
นี่คืออภินิหารพิทักษ์ตระกูลจี้ เป็นอภินิหารชั้นเลิศปานต้องห้ามวิชาหนึ่ง สามารถรวบรวมพลังกฎระเบียบทั้งหมดที่พิทักษ์เขาเทพเฟิ่งฉี รวมกับพลังทั่วร่างและพลังปราณทั้งชีวิตของผู้สำแดงวิชาไว้ในแสงกระบี่สายหนึ่ง!
อานุภาพเช่นนี้สามารถสังหารขั้นสรรสร้างทุกคนได้อย่างง่ายดาย และมีเพียงขั้นไร้ขอบเขตจึงจะต้านทานได้
แน่นอนว่าในอารยธรรมแห่งยุคสมัยทั้งหมดในแหล่งสถานศุภโชค ไม่มีทางปรากฏขั้นไร้ขอบเขต ดังนั้นอภินิหารต้องห้ามวิชานี้ นอกจากจะเรียกได้ว่าเป็นพลังพิทักษ์ตระกูลของตระกูลจี้แล้ว ยังสามารถใช้มันสยบทั่วหล้าได้ด้วย
และตอนนี้อภินิหารนี้ก็ถูกจี้เฉาอินที่เดือดดาลถึงขีดสุดสำแดงออกมาแล้ว
เวลานี้ในใจหลินสวินเองก็เคร่งขรึมยิ่งเช่นกัน เขาถอยหนีทันที ระแวดระวังจากไกลๆ ทั้งตัวกลับมาเยือกเย็นลง
‘หากต้านทานเต็มกำลังบางทีอาจจะสกัดได้ แต่ต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน เช่นนี้ขั้นล่วงกฎเก้าคนอย่างพวกจี้ป๋อเหวินที่อยู่ห่างออกไปย่อมต้องสังหารข้าได้…’
หลินสวินตระหนักได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์
เขาเรียกสี่กายมรรคพลับมาอย่างไม่ลังเล พิทักษ์รอบร่างต้น ขณะเดียวกันก็เรียกซย่าจื้อที่อยู่ในเรือนิรันดร์ออกมา
‘ซย่าจื้อ ข้าจะจัดการเจ้าเฒ่านี่ อีกเดี๋ยวหากข้ายืนหยัดไม่ไหว ฝากเจ้าพาข้าออกไปจากที่นี่’ เจตจำนงของหลินสวินดังก้องในใจซย่าจื้อ
“ให้ข้าเอง”
ซย่าจื้อก้าวออกมาก้าวหนึ่ง กลับพุ่งโจมตีเข้าใส่จี้เฉาอินที่อยู่ไกลออกไปโดยตรง
ความเร็วนั่นทำเอาหลินสวินยังห้ามไม่ทัน
‘เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้!’
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีแล้ว รีบไล่ตามไป
“ไป!”
ตอนนี้เองริมฝีปากของจี้เฉาอินเอ่ยเสียงเย็นเยียบออกมา
ฟุ่บ!
แสงกระบี่เจ็ดชุ่นแดงฉานที่สั่งสมอานุภาพมานานแล้วฟันลงในห้วงอากาศ
ฟ้าดินพลันจมสู่สภาพทำลายล้างปานถล่มทลายอย่างหนึ่ง ราวกับแบกรับอานุภาพของกระบี่นี้ไม่ไหว
และพร้อมกับที่กระบี่นี้ของจี้เฉาอินฟันออกไป ไอสังหารที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็สะท้อนภาพวันสิ้นโลกมาเยือน โลกหล้าล่มสลาย
นี่คือยอดกระบี่เฟิ่งฉี อภินิหารต้องห้ามที่แข็งแกร่งจนทำให้ขั้นสรรสร้างยังต้องสิ้นหวัง!
กลับเห็นบนเงาร่างแบบบางของซย่าจื้อปรากฏโซ่เทพปานโชคชะตาที่คลุมเครือแน่นขนัดเป็นสายๆ แฝงกลิ่นอายเร้นลับไร้เทียมทาน
ร่างของนางส่องแสง ราวกับกำลังเผาไหม้ชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
ในมือซ้ายของนางปรากฏแสงแห่งกาลเวลาขาวโพลน ส่วนในมือขวากลับมีพลังแห่งกฎกรรมที่เร้นลับคลุมเครือพลุ่งพล่าน
ยามยอดกระบี่เฟิ่งฉีฟันมา สองมือของซย่าจื้อประสานเบื้องหน้าโดยพลัน ควบรวมเป็นประทับฝ่ามือลึกลับสายหนึ่ง
แสงแห่งกาลเวลาและพลังแห่งกฎกรรมก็ผสานรวมกันในประทับฝ่ามือนี้ ปลดปล่อยออกมาโดยพลัน
ชั่วขณะนี้ฟ้าดินพลันเงียบสงัด บังเกิดภาพน่าเหลือเชื่อ
กาลเวลาไหลเคลื่อน กฎกรรมราวกับสายธาร ยามตัดสลับกัน ฟ้าดาราแถบนี้ราวกับจมสู่วัฏจักรแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ทุกสิ่งปรากฏสภาพโรยรา จ่อมจม ดับสิ้น
ภายใต้การพุ่งโจมตีของพลังไร้เทียมทานนั้น ปรากฏการณ์ประหลาดกลางฟ้าดินล้วนสลายหายไปราวกับฟองอากาศ ประกายกระบี่เจ็ดชุ่นที่ฟันมานั่นจู่ๆ ก็ชะงักอยู่เบื้องหน้าซย่าจื้อ สั่นไหวครวญคร่ำรุนแรง
จากนั้นระเบิดแหลกโดยพลัน!
ยอดกระบี่เฟิ่งฉี อภินิหารต้องห้ามไร้เทียมทานเช่นนี้กลับถูกสลายไปแล้ว!
หลินสวินที่ไล่ตามมาถึงข้างกายซย่าจื้อ ยามนี้ยังอดอึ้งงันไม่ได้
ตูม!
เมื่อประทับฝ่ามือที่ผสานนัยเร้นลับกาลเวลาและกฎกรรมซัดออกมา ฟ้าดินล้วนพลิกคว่ำ หมื่นลักษณ์จ่อมจม ทุกสิ่งเหมือนจมสู่วัฏจักรความตายอย่างหนึ่ง
จี้เฉาอินรู้สึกเพียงว่าภาพเบื้องหน้าขาวโพลน ความหวาดกลัวที่บอกไม่ถูกพวยพุ่งขึ้นทั้งกายใจ
พลังของกาลเวลาและโชคชะตาก็เหมือนดั่งกระแสน้ำ หอบม้วนกายใจของเขา พุ่งไปยังหุบเหวกาลเวลาที่ไม่อาจล่วงรู้
จากนั้นภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน...
ขั้นสรรสร้างขั้นปลายอย่างจี้เฉาอินก็ราวกับไม้แห้งที่ถูกทำลายพลังชีวิตอย่างไรอย่างนั้น สารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณของเขา พลังมหามรรคที่เขาครอบครอง ล้วนหายไปในชั่วพริบตา ส่วนบนร่างกายเขากลับปรากฏรอยแตกนับไม่ถ้วน ราวกับใยแมงมุมแน่นขนัดก็ไม่ปาน
ปัง!
สุดท้ายร่างกายเขายืนหยัดไม่ไหวอย่างสิ้นเชิง พลันกลายเป็นเถ้าธุลีเทาหม่นปลิวกระจาย หายไปจนหมดสิ้น
ทั้งที่นั้นเงียบกริบไร้สรรพเสียง
หลินสวินเองยังตกใจกับภาพนี้ เผยสีหน้าตะลึง
ตอนนี้เองเสียงใสกระจ่างปานเสียงสวรรค์ของซย่าจื้อดังขึ้นข้างหูเขา “นี่ก็คือ ‘พิบัติโลกีย์’ พลังอภินิหารที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าสามารถครอบครองได้ตอนนี้”