แดนแรกกำเนิดไร้ขอบเขต สายธารยุคสมัยไหลบ่าพลิกตลบกระเทือนใจคน
เงาร่างหลินสวินยืนอยู่กลางอากาศพลางเอ่ยถามในใจเงียบๆ ‘นัยเร้นลับที่ข้าสัมผัสได้ตอนนี้ล้วนมาจากพลังซึ่งซ่อนอยู่ในลายธารใช่หรือไม่’
เจตจำนงที่คุ้นเคยดังขึ้น ‘ใช่’
‘พูดเช่นนี้ เคราะห์ขั้นสรรสร้างที่ข้าควรต้องรับก็จะมาเยือนที่นี่ด้วยหรือ’
‘ใช่’
‘เมื่อข้ามเคราะห์นี้ข้าจะมีรากฐานพลังหลุดพ้นจากการสับเปลี่ยนยุคสมัยใช่หรือไม่’
‘ใช่’
‘อานุภาพของเคราะห์นี้เป็นอย่างไร’
‘ในสายธารยุคสมัยมีเก้าอารยธรรมการฝึกปราณชั้นยอดอยู่ เคราะห์ที่เจ้าต้องก้าวผ่านก็คือเคราะห์ชั้นยอดที่เกิดจากเก้าอารยธรรมการฝึกปราณซึ่งถูกเรียกว่า ‘เก้ายอดเคราะห์มรรค’ เคราะห์มรรคครานี้แบ่งเป็นเก้าด่าน เมื่อก้าวเข้าไปในสายธารยุคสมัยด่านเคราะห์จะปรากฏ’
‘ที่แท้เป็นเช่นนี้’
ข้อสงสัยในใจหลินสวินพลันหายไป
เขารู้ว่านัยเร้นลับที่ตนสัมผัสได้ล้วนเป็นเจตจำนงซึ่งมาจากยอดสมบัติลายธาร
ทั้งในที่สุดก็เข้าใจว่าเคราะห์ขั้นสรรสร้างที่ตนต้องเผชิญต่างจากผู้ฝึกปราณในระดับขั้นเดียวกันโดยสิ้นเชิง รวมตัวจากด่านเคราะห์ที่เกิดจากเก้าอารยธรรมแห่งยุคสมัยชั้นยอด
นี่ต้องน่ากลัวมากแน่
แต่สำหรับหลินสวินแล้วกลับมีความล่อใจยากต้านทาน
ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากหลังข้ามด่านเคราะห์นี้ เมื่อแจ้งมรรคขั้นสรรสร้างแล้วยังมีรากฐานพลังหลุดพ้นจากการสับเปลี่ยนยุคสมัยด้วย!
หลินสวินสูดหายใจลึก หลับตาลงเงียบๆ
เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย
กระทั่งพลังทั้งหมดอย่างสภาวะจิต พลังปราณ พลังขับเคลื่อน จิตวิญญาณปรับสู่สภาพยอดเยี่ยม หลินสวินจึงลืมตาแล้วก้าวออกไป เงาร่างเขาก้าวเข้าสู่สายธารยุคสมัยกว้างใหญ่ไพศาลนั้น
ตูม!
คลื่นยักษ์ซัดสาดคล้ายอารยธรรมแห่งยุคสมัยมากมายพุ่งเข้าใส่ ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต แค่กลิ่นอายนั้นก็ทำให้ผู้คนรู้สึกตัวเล็กจ้อยหาใดเปรียบ
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าจิตใจคงหลงทางอยู่ในนั้นชั่วพริบตา
หลินสวินสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่บนสายธารถาโถมโหมกระหน่ำ แววตานิ่งสงบ จิตใจว่างเปล่า เหลือบแลการสับเปลี่ยนยุคสมัย ท่าทางสุขุมเหมือนนายเหนือหัวคนหนึ่ง
เพียงครู่เดียวเท่านั้น
ตูม!
เงาร่างเขาปรากฏอยู่ในอารยธรรมแห่งยุคสมัยแปลกตาแห่งหนึ่ง จากนั้นกลิ่นอายของด่านเคราะห์หนึ่งพลันมาเยือน เก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดินล้วนกลายเป็นสีดำสนิท
เมฆาเคราะห์หนาทึบบีบกดจนห้วงอากาศบิดเบี้ยวปั่นป่วน
หลินสวินเงยหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาล้ำลึกดุจหุบเหวเผยจิตต่อสู้วูบหนึ่ง
ตูม!
ทันใดนั้นกลางฟ้าดินมืดมิดกดดันมีเสียงฟ้าผ่าประหนึ่งยามจักรวาลแรกกำเนิดดังก้อง สะเทือนจนฟ้าดินไร้ระเบียบ ห้วงอากาศปั่นป่วน
จากนั้นแสงเทพเจิดจรัสหาใดเปรียบสายแล้วสายเล่าแหวกผ่านความมืดมิด พุ่งออกมาจากส่วนลึกของเมฆาเคราะห์นั้น
นั่นคือเงาร่างประหนึ่งเทพผู้ยิ่งใหญ่มากมาย
มีบัวเทพยืนหยัดค้ำฟ้า เบื้องบนเชื่อมเก้าสวรรค์ เบื้องล่างเชื่อมเก้านรก ระหว่างใบสาดละอองแสงขุ่นมัวราวน้ำตก อานุภาพของกลิ่นอายบังฟ้าคลุมตะวัน
มีต้นเทพชางอู๋หยั่งรากอยู่กลางอากาศ กิ่งก้านเหมือนเส้นทางเชื่อมต่อไปยังปวงสวรรค์หมื่นพิภพ ใบเหมือนโลกมากมายแขวนอยู่ตรงกิ่งก้าน
มีมดสีสำริดทั้งตัวเผยพลังค้ำฟ้า
มีนายเหนือหัวควบคุมวัฏจักรแล้ววัฏจักรเล่ามาเยือน...
ทุกกลิ่นอายล้วนแข็งแกร่งถึงขั้นไม่อาจจินตนาการ เหนือกว่าขั้นล่วงกฎ ทั่วร่างมีกลิ่นอายทำลายล้างของด่านเคราะห์ยิ่งใหญ่ทรงพลังพวยพุ่ง
ขณะเดียวกันในใจหลินสวินเกิดการหยั่งรู้อัศจรรย์ขึ้นมา…
นี่คือ ‘ยอดเคราะห์เก้าวิญญาณ’!
มาจากยุคเซียนยุทธ์ หรือก็คือยุคก่อน ทุกเงาร่างนั้นเป็นตัวแทนของบุคคลซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในอารยธรรมเซียนยุทธ์!
หรือกล่าวได้ว่าด่านเคราะห์แรกนี้สื่อถึงเคราะห์ชั้นยอดที่เพ่งเล็งผู้แข็งแกร่งซึ่งแจ้งมรรคขั้นสรรสร้างในยุคเซียนยุทธ์
ตูม!
ไม่ให้เวลาหลินสวินใคร่ครวญมากเกินนัก ทันทีที่เงาร่างทรงพลังดุจเทพผู้ยิ่งใหญ่เก้าสายนั้นปรากฏตัวก็พุ่งเข้าใส่หลินสวิน
บัวเทพแรกกำเนิดพลิ้วไหว แผ่ไอคลุมเครือไร้ขอบเขต หวดเฆี่ยนเหมือนสายโซ่เทพ
ต้นเทพชางอู๋พลันส่ายสั่นดังสวบสาบ แต่ละกิ่งก้านล้วนมีใบไม้ร่วงหล่น กลายเป็นมายาโลกแห่งแล้วแห่งเล่าทับซ้อนกันเข้ามา
ในบริเวณอื่นๆ ก็มีเจตกระบี่ชั้นยอดปรากฏ ตัดทำลายแหวกเวิ้งฟ้า มีวิชามรรคสยบหล้าเคลื่อนขวางทลายฟ้ามลายดิน มีเสียงคำรามราวอสนีบาตบดขยี้ตะวันจันทราภูผาธารา มี…
เพียงพริบตาเงาร่างหลินสวินถูกพลังน่ากลัวถึงขั้นไม่อาจจินตนาการมากมายฝังกลบ
ด่านเคราะห์เช่นนี้ไม่ใช่แค่น่ากลัวแล้ว เรียกว่าวิปริตชัดๆ ราวกับสิ่งต้องห้าม เพียงชั่วขณะหลินสวินก็บาดเจ็บสาหัส สีหน้าซีดเผือด หมดสภาพไม่น่าดู
ต้องรู้ว่าระดับพลังของเขาตอนนี้สามารถข้ามขั้นใหญ่ไปสังหารขั้นสรรสร้างขั้นกลางได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับบาดเจ็บต่อเนื่องในด่านเคราะห์แรก!
แต่ไม่นานหลินสวินก็ยืนมั่น ปลดปล่อยพลังที่ตนครอบครองเต็มกำลัง สู้กับศัตรูสิบทิศเพียงลำพัง ทุ่มสุดความสามารถ
ลืมความเป็นตาย ลืมเวลา ลืมทุกอย่าง… เหลือเพียงจิตต่อสู้ไม่ยอมแพ้โหมกระหน่ำพลุ่งพล่าน
ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!
หลินสวินหลงลืมตัวตน ไร้ซึ่งความคิดทั้งกายใจ กระทั่งไม่รู้ว่าต่อให้อยู่ในการต่อสู้เช่นนี้ รากฐานมหามรรคทั้งตัวเขายังถูกปลุกและปลดปล่อยเป็นประวัติการณ์
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร
ตูม!
เงาร่างของเก้ายอดผู้แข็งแกร่งล้วนสลายไป
รวมถึงฟ้าดินแถบนี้ก็เหมือนถูกซัดระเบิดอันตรธานหายไปเช่นกัน
ภายในโลกซึ่งเหมือนมายาเหลือเพียงเงาร่างโดดเดี่ยวของหลินสวิน ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือดแดงสด แต่ปณิธานกับจิตต่อสู้ชวนประหวั่นไร้ขอบเขตนั้นกลับเหมือนแสงเจิดจรัสที่สุดบนโลก สาดส่องทั่วหล้า!
ยามนี้หลินสวินรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นทั่วร่าง
จิตใจ มรรควิถี จิตวิญญาณ มหามรรคของเขา… เหมือนผ่านการขัดเกลาและชำระล้างถึงขีดสุดในเตาหลอม รสชาติของการเปลี่ยนแปลงนั้นทำให้หลินสวินสบายจนแทบครางออกมา
จากนั้นเขาถึงพบว่าหลังผ่านยอดเคราะห์เก้าวิญญาณด่านแรกนี้แล้ว มรรควิถีทั้งตัวเหมือนถูกซัดทลายและสร้างขึ้นใหม่ครั้งหนึ่ง เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งและมั่นคงยิ่งกว่าแต่ก่อน!
‘เมื่อสู้สุดกำลังถึงได้รับการเปลี่ยนแปลงเหมือนเกิดใหม่จากด่านเคราะห์ นี่ต่างหากคือความอัศจรรย์ของด่านเคราะห์ครานี้…’
ในใจหลินสวินเกิดการรู้แจ้ง
อานุภาพของยอดเคราะห์เก้าวิญญาณนี้วิปริตหาใดเปรียบ แต่ด้วยเหตุนี้จึงดึงศักยภาพแฝงของตนออกมาได้โดยสมบูรณ์ ขัดเกลาพลังที่ตนครอบครองได้ถึงแก่น เช่นนี้จึงได้รับการเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าใครอยู่ในด่านเคราะห์แรกนี้ย่อมต้องบาดเจ็บ ล้วนถูกพันค้อนร้อยหลอมเหมือนอยู่ในเตาหลอม
ฮูม…
ยามหลินสวินรัสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของตน ภาพเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที เงาร่างปรากฏอยู่ในอารยธรรมแห่งยุคสมัยใหม่ทั้งหมด
ยุคสมัยนี้ชื่อว่า ‘พ่อมด’!
เคราะห์มรรคชั้นยอดที่เกิดจากยุคสมัยนี้มีชื่อว่า ‘ยอดเคราะห์พ่อมดเทพ’ กลิ่นอายด่านเคราะห์ที่ก่อเกิดเพ่งเล็งกายเนื้อของผู้ฝึกปราณ
เทียบกับยอดเคราะห์เก้าวิญญาณแล้ว อานุภาพของยอดเคราะห์พ่อมดเทพแข็งแกร่งกว่าช่วงหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย เพียงชั่วขณะก็ผ่ากายมรรคหลินสวินแตกละเอียดไปหลายสิบครั้ง เลือดเนื้อสาดกระจาย กระดูกหักกล้ามเนื้อฉีก น่าเวทนาเกินทน
แต่ทุกครั้งที่ถูกฟาดผ่ากายมรรคของหลินสวินจะสร้างขึ้นใหม่ นี่คือพลังที่มาจากนัยเร้นลับนิพพาน ทำให้เขาผ่านความพินาศและเกิดใหม่แสนเหี้ยมโหดในเคราะห์นี้ได้
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินได้แค่ต้านทาน ประคองสติให้มั่นคง พยายามสุดกำลังเพื่อทำให้การรับรู้ของตนไม่ถึงขั้นถูกความเจ็บปวดไร้สิ้นสุดฝังกลบ
หากเป็นเช่นนั้นย่อมเท่ากับข้ามด่านเคราะห์ล้มเหลวโดยไม่ต้องสงสัย
ยังดีที่การทำลายล้างและสร้างใหม่นี้ผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชาก็สิ้นสุด!
แม้ว่าเจ็บปวดเหลือทน แต่เมื่อด่านเคราะห์ครานี้สิ้นสุด หลินสวินกลับรู้สึกถึงความปลอดโปร่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน กายมรรคที่ผ่านการฟาดผ่าและเกิดใหม่นับครั้งไม่ถ้วนนั้น ความแข็งแกร่งของพลังที่ปลดปล่อยออกมาไม่อาจนำมาเทียบกับแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง!
…
ด่านเคราะห์ที่สามชื่อว่ายอดเคราะห์มหายุทธ์ มาจากอารยธรรมยุควิถียุทธ์
สิ่งที่ด่านเคราะห์นี้เพ่งเล็งคือจิตต่อสู้และวิชามรรคต่อสู้ทั้งหมดที่ผู้ฝึกปราณครอบครอง เมื่อด่านเคราะห์มาเยือนจะเหมือนเทพยุทธ์ทั่วหล้ามาเยือนพร้อมกัน ทั่วฟ้าเต็มไปด้วยเงาร่างของเทพยุทธ์ผู้สูงส่ง แข็งแกร่งถึงขั้นน่าหวาดกลัว
ในเคราะห์นี้หลินสวินเหมือนอยู่บนสนามรบผลาญโลก ตัวคนเดียวกรำศึกต้านทัพใหญ่นับแสน ต่อสู้อย่างต่อเนื่อง สังหารศัตรูไม่หยุด…
เมื่อเคราะห์นี้ปิดฉาก จิตต่อสู้และวิชาต่อสู้ที่หลินสวินครอบครองได้รับการขัดเกลาถึงขีดสุด อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมายามเคลื่อนไหวก็มีอานุภาพเหมือนกำราบปวงสวรรค์
…
ด่านเคราะห์ที่สี่ชื่อว่ายอดเคราะห์มายาสวรรค์ มาจากยุคมายา
สิ่งที่เคราะห์นี้เพ่งเล็งคือสภาวะจิต
พูดเปรียบเทียบกันแล้ว ยามหลินสวินข้ามด่านเคราะห์นี้ถือว่าง่ายดายที่สุด ด้วยสภาวะจิตของเขาขัดเกลาถึงขั้นเป็นประวัติการณ์นานแล้ว เคยมองทะลุเรื่อง ‘เมื่อเท็จกลายเป็นจริง จริงย่อมเท็จ’ เคยหยั่งรู้ ‘สรรสร้างจากความว่างเปล่า’ จนชัดเจนแจ่มแจ้ง เคยผ่านการทดสอบน่าเหลือเชื่อมากมาย…
ต่อให้พลังในด่านเคราะห์นั้นน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบ สามารถปั่นป่วนจิตใจระดับนิรันดร์โดยง่าย แต่ก็ไม่อาจส่งผลต่อจิตใจของหลินสวินได้
…
ด่านเคราะห์ที่ห้าชื่อว่ายอดเคราะห์จิตวิญญาณ มาจากยุควิญญาณ
สิ่งที่เคราะห์นี้เพ่งเล็งคือจิตวิญญาณ เรียกได้ว่าเป็นด่านเคราะห์ที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละยุค
เมื่อเผชิญเคราะห์นี้ หลินสวินรู้สึกว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย น่ากลัวเกินไปแล้ว ราวสู้อยู่ระหว่างความเป็นความตาย ถึงตอนท้ายเขาถึงขั้นเหลือเพียงเสี้ยวความคิดหนึ่งเท่านั้น
เมื่อเคราะห์นี้จบสิ้น รูปจำลองจิตวิญญาณของเขาเกิดใหม่ถึงขีดสุด ทั้งนอกและในพลังจิตถูกนัยเร้นลับกฎระเบียบแน่นหนาทับซ้อนตัดสลับ
…
ด่านเคราะห์ที่หกชื่อว่ายอดเคราะห์ยอดมาร มาจากยุคมาร
สิ่งที่เคราะห์นี้มุ่งเป้าคือการทดสอบสภาวะจิตที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่า เมื่ออยู่ภายใต้มหาเคราะห์ สิ่งที่หลินสวินเผชิญหน้าคือการทดสอบเกี่ยวกับดีชั่ว ขาวดำ ถูกผิดมากมาย
สังหารหนึ่งคนช่วยชีวิตนับพันคน ฆ่าหรือไม่ฆ่า
มีคนเคยคร่าชีวิตคนเมืองหนึ่ง แต่จากนั้นกลับตัวกลับใจแก้ไขความผิด ต่อมาช่วยชีวิตคนสิบเมือง ควรพิพากษาคนผู้นี้อย่างไร
การทดสอบแบบเดียวกันปรากฏในด่านเคราะห์นี้ทั้งหมด กระทบสภาวะจิตของหลินสวินหลายครั้ง โจมตีความเข้าใจและการวิเคราะห์ที่มีต่อเรื่องทางโลกของเขา
ยังดีที่ตั้งแต่เริ่มฝึกปราณตอนเด็กถึงปัจจุบัน การกระทำของหลินสวินยืนหยัดกับเรื่องดีชั่ว ขาวดำ อะไรผิดอะไรถูกอยู่เสมอ ดังนั้นสภาวะจิตจึงไม่ถูกด่านเคราะห์นี้สั่นคลอนอย่างแท้จริง
สุดท้ายเมื่อข้ามด่านเคราะห์นี้แล้ว จิตมรรคของเขากระจ่างและมั่งคงยิ่งกว่าเดิม
…
ด่านเคราะห์ที่เจ็ดชื่อว่าเคราะห์ปราชญ์ไพศาล มาจากยุคปราชญ์
นับตั้งแต่เคราะห์นี้เริ่มต้น พลังด่านเคราะห์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จิตมรรค พลังปราณ จิตวิญญาณ พลังมหามรรคของหลินสวินต่างเริ่มถูกโจมตีราวกับจะทำลายล้าง
ด้วยยามข้ามด่านเคราะห์นี้ก็เหมือนการต่อสู้มหามรรค!
เจ้ามองข้าเป็นมารนอกรีต ข้ามองเจ้าเป็นพวกหลุดจากตำรา ความขัดแย้งเช่นนี้คือความไม่ลงรอย ไม่เกี่ยวกับความแค้น สนแค่ความสูงต่ำของมหามรรคโดยแท้!
ตอนข้ามด่านเคราะห์นี้เองที่หลินสวินเพิ่งรู้สึกถึงวิกฤติอย่างแท้จริง