เมฆาเคราะห์บนเวิ้งฟ้าโหมกระหน่ำ อสนีบาตเจิดจ้าหลากสายทิ้งตัว กลายเป็นอักษรมหามรรคส่องประกายนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมา
อักษรเหล่านี้มีรูปลักษณ์ต่างกันไป ประทับกลิ่นอายต่างๆ ประกอบกันตามลำดับกลางอากาศ กลายเป็นรูปประโยคราวดาบดุจกระบี่และบทความงดงามมากมาย มหัศจรรย์เกินคาดเดา
อานุภาพเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต!
อักษรคือสื่อกลางแห่งอารยธรรม ประพันธ์เป็นรูปเล่มหรือก็คือคัมภีร์ อธิบายถึงนัยเร้นลับแห่งมหามรรคฟ้าดิน อักษรแต่ละตัวในเคราะห์ปราชญ์ไพศาลนี้ราวกับภัยพิบัติผลาญโลก ความแข็งแกร่งของพลังสังหารเกินจินตนาการ
เงาร่างของหลินสวินกรำศึกอยู่ในนั้น ถูกผ่าจนบาดเจ็บบ่อยครั้ง วิชามรรคทั้งตัวถูกคุกคามสาหัส สถานการณ์อันตราย
สุดท้ายเมื่อข้ามด่านเคราะห์นี้แล้ว ร่างกายหลินสวินยับเยิน พลังจิตพังทลาย น่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง
แต่ดวงตาเขากลับส่องประกายหาใดเปรียบ
เคราะห์นี้ทำให้มรรควิถีทั้งตัวเขาเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง!
‘ด่านเคราะห์ที่แปดชื่อว่าเคราะห์ธรรมสงัด มาจากยุคธรรม…’
‘ด่านเคราะห์ที่เก้าชื่อว่าเคราะห์มรรคสามกระจ่าง มาจากยุคมรรค… ขอเพียงข้ามผ่านไปได้ก็จะแจ้งมรรคสำเร็จ ทั้งมีรากฐานหลุดพ้นจากการสับเปลี่ยนยุคสมัย…’
หลินสวินสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินทั่วร่าง เขาสูดหายใจลึกคราหนึ่ง เปี่ยมความคาดหวัง
…
ยามหลินสวินข้ามด่านเคราะห์ โลกภายนอกผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ความอดทนของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างพวกอู๋ยาง ซิงเจียที่รอบนยอดเขาราตรีสงัดมาตลอดหายไปทีละน้อย ทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว
“เหลือเวลาแค่หนึ่งวันเผ่าเทพทั่วหล้าจะบุกโจมตี ไม่แน่ว่าทัพใหญ่ศัตรูอาจเร่งเดินทางมาแล้ว”
หว่างคิ้วซิงเจียฉายแววกังวล
นับตั้งแต่เผ่าเทพหลายตระกูลทั่วหล้าประกาศศึก ถึงตอนนี้เวลาผ่านมาเก้าวันแล้ว ปัจจุบันเมืองเทพศุภโชคซบเซาอ้างว้าง ในอากาศอบอวลกลิ่นอายกดดันเหมือนพายุฝนกำลังมา
“เจ้าหนุ่ม เจ้าลองไปพบบิดาเจ้าหน่อยไหม”
มีคนเหลือบมองหลินฝานพลางเสนอ
“ไม่ได้”
ไม่รอให้หลินฝานเอ่ยปากอู๋ยางก็กล่าวห้ามปราม “ถ้ารบกวนการฝึกปราณหลินสวินจะทำอย่างไร อีกอย่างที่นี่คือเมืองเทพศุภโชค อย่าลืมสิ ต่อให้ระดับนิรันดร์บุกมาก็จะถูกพลังกฎระเบียบของเมืองนี้สกัดกั้นและกระหน่ำโจมตี”
“เช่นนั้นพวกเราจะรอต่อไปเช่นนี้หรือ” มีคนมุ่นคิ้ว
“หรือยังมีวิธีอื่นอีก”
อู๋ยางจนปัญญาอยู่บ้างเช่นกัน
นางคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะใจกล้าเช่นนี้ ก่อนมาเมืองเทพศุภโชคยังประกาศศึกกับตระกูลเกาหยางและตระกูลเจียง แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เขายังมุ่งมั่นปิดด่านฝึกปราณ ความสงบใจเช่นนี้ไม่ให้คนนับถือคงไม่ได้
“ผู้อาวุโสทุกท่าน บิดาข้าต้องรับศึกแน่”
หลินฝานอดกล่าวไม่ได้ บนหน้าหล่อเหลาเปี่ยมความหนักแน่น
ทุกคนต่างยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พวกเขาย่อมรู้ว่าหลินสวินไม่กลัวศึกนี้เป็นธรรมดา
สิ่งที่พวกเขาห่วงคือหลินสวินไม่รู้เลยว่าศัตรูที่มาครั้งนี้นอกจากตระกูลเกาหยางกับตระกูลเจียงแล้ว ยังมีระดับนิรันดร์ของเผ่าเทพตระกูลอื่นในใต้หล้าด้วย!
ก่อนหน้านี้เฒ่าชราอย่างพวกเขาเคยวิเคราะห์มาแล้ว ในบรรดาอารยธรรมแห่งยุคสมัยนับร้อยของแหล่งสถานศุภโชค อารยธรรมที่มีระดับนิรันดร์มีสามสิบเก้าแห่ง
อารยธรรมที่มีขั้นสรรสร้างมีสิบเอ็ดแห่ง
หากคำนวณโดยละเอียด ในทัพใหญ่ของศัตรูที่มาครานี้อย่างน้อยก็มีขั้นล่วงกฎนับร้อย ขั้นสรรสร้างเกือบยี่สิบคน!
ภายในนั้นเพียงขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งอันดับสองอย่างตระกูลเกาหยางกับตระกูลเจียง ต่างก็มีผู้แข็งแกร่งขั้นล่วงกฎมากกว่าสิบคนและขั้นสรรสร้างราวสี่คน!
ทัพใหญ่ระดับนิรันดร์รวมตัวกันเช่นนี้ สามารถกวาดล้างอารยธรรมแห่งยุคสมัยใดก็ตามในแหล่งสถานศุภโชคได้โดยง่าย
กระบวนรบเช่นนี้สามารถทำให้ระดับนิรันดร์คนใดก็ตามนั่งนอนไม่เป็นสุข
หากไม่รู้ว่าหลินสวินเคยคว่ำเผ่าเทพตระกูลจี้ด้วยตัวคนเดียวมาก่อน เกรงว่าพวกอู๋ยางคงไม่อาจอยู่เฉยเหมือนตอนนี้
“หืม?”
ทันใดนั้นจักรพรรดินรกเลือดทมิฬราวกับสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง นัยน์ตาทอดมองเวิ้งฟ้าห่างไกล ไม่นานก็หน้าเปลี่ยนสี “ศัตรูมาแล้ว!”
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในที่นั้นต่างตกใจ
“ไม่ได้บอกว่าอีกสิบวันจะมาถึงหรอกรึ” มีคนเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว
“นี่ได้แต่พิสูจน์ว่าพวกเขาอยากเปิดศึกจนทนไม่ไหวแล้ว”
ยามนี้อู๋ยางกลับสงบลง
เมื่อมองจากในเมืองไป ส่วนลึกในฟ้าดาราห่างไกลมีเงาร่างมากมายปรากฏ กำลังเข้ามาใกล้ทางนี้
มีกันร้อยกว่าคน
แต่ละคนล้วนกดกลิ่นอายถึงขีดสุด ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดพลังสะท้อนกลับของกฎระเบียบฟ้าดิน
พวกเขาพุ่งมาจากส่วนลึกของเวิ้งฟ้าโดยไร้สุ้มเสียงเหมือนเมฆดำแถบหนึ่ง
ผู้นำคือเกาหยางไหว ขั้นสรรสร้างของตระกูลเกาหยาง กับเจียงเถาขั้นสรรสร้างของตระกูลเจียง
ที่ตามหลังพวกเขามาคือเหล่าผู้แข็งแกร่งขั้นสรรสร้าง มีกันราวสิบหกสิบเจ็ดคน ไกลออกไปคือผู้แข็งแกร่งขั้นล่วงกฎ มีมากมายแน่นขนัด
ยามอยู่ห่างจากเมืองเทพศุภโชคหมื่นจั้ง พวกเขาพากันยืนนิ่งกลางอากาศ ทอดสายตามองเมืองเทพศุภโชคราวกับเทพจากสวรรค์
ระยะห่างนี้ปลอดภัยที่สุด ถ้าเข้าใกล้อีกหน่อยก็จะถูกพลังกฎระเบียบของเมืองเทพศุภโชคขับไล่และกระหน่ำโจมตี
ก่อนจะเปิดศึกพวกเกาหยางไหวกับเจียงเถาย่อมไม่ดึงดันก้าวเข้าไปแน่
ฟ้าดาราเงียบสงัด บรรยากาศกดดันเยียบเย็นกลับแผ่กระจายในทุกอาณาเขตของฟ้าดารายิ่งใหญ่แถบนี้ดุจเขาถล่มสมุทรคำราม
ไม่ว่าสำหรับหลินฝานกับซูไป๋หรือเหล่าสัตว์ประหลาดอย่างพวกอู๋ยาง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอกระบวนรบแข็งแกร่งเช่นนี้
ขั้นสรรสร้างเกือบยี่สิบคน!
ขั้นล่วงกฎมากกว่าร้อยคน!
กองทัพใหญ่ระดับนิรันดร์เช่นนี้ ไม่ว่าปรากฏตัวที่ไหนคงทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทาง
ในแหล่งสถานศุภโชค กำลังพลขบวนนี้ก็เหมือนนายเหนือหัวสูงสุด!
พวกอู๋ยางรู้สึกกดดันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ละคนสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างยิ่ง
เวลานี้แม้แต่หลินฝานกับซูไป๋ก็ไม่อาจนิ่งเฉย ต่อให้พวกเขามั่นใจในตัวหลินสวินแค่ไหน ยามเผชิญหน้ากับกระบวนรบเช่นนี้ก็ยังรู้สึกตึงเครียดและกังวลอย่างบอกไม่ถูก
กลางฟ้าดารา
หลังจากพวกเกาหยางไหวและเจียงเถามาถึงก็เริ่มลงมือวางกระบวนรบทันที
ฮูม… ฮูม…
พลังระเบียบระดับเทพซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเก้าชนิดกลายเป็นม่านนภาทะลวงขึ้นเหนือเมฆ แผ่กระจายออกมาเหมือนกระแสน้ำระลอกแล้วระลอกเล่า
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าฟ้าดาราทั่วทิศโดยมีเมืองเทพศุภโชคเป็นศูนย์กลาง ล้วนถูกพลังระเบียบระดับเทพมากมายปกคลุม
จากนั้นกองทัพใหญ่ระดับนิรันดร์อย่างพวกเกาหยางไหว เจียงเถาก็ไม่ข่มกลิ่นอายของตนอีก แต่ละคนปลดปล่อยอานุภาพร้ายกาจน่ากลัวออกมาทันที
ตูม!
ฟ้าดาราปั่นป่วน หมื่นดาราส่ายสั่น
อานุภาพระดับนิรันดร์โหมกระหน่ำรวมตัว พุ่งใส่เมืองเทพศุภโชคเต็มแรงเหมือนคลื่นซัดสาด
แม้ว่าอานุภาพเหล่านี้จะถูกพลังกฎระเบียบที่เมืองเทพศุภโชคแผ่ออกมาต้านทาน แต่ความรุนแรงของกลิ่นอายทำลายล้างที่เกิดขึ้นยังทำให้พวกอู๋ยางอกสั่นขวัญแขวนไปพักหนึ่ง
พวกเขาเป็นแค่ขั้นล่วงกฎ มีกันแค่ยี่สิบกว่าคน ไม่ต้องกล่าวถึงการเผชิญหน้ากับทัพใหญ่ระดับนิรันดร์เช่นนี้ แค่ขั้นสรรสร้างมาคนเดียวก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาต้านทานได้!
พวกเขาถึงขั้นเป็นห่วงว่าหลินสวินคนเดียวจะคลี่คลายสถานการณ์คับขันเช่นนี้ได้อย่างไร
“จบกัน…”
ในเมืองเทพศุภโชคยังมีผู้ฝึกปราณใจกล้าบางส่วนไม่จากไป เดิมคิดชมการต่อสู้ แต่เมื่อเห็นภาพนี้แต่ละคนมือเท้าเย็นเยียบ หนังศีรษะชาวาบ
กระบวนรบเช่นนี้อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาโดยสิ้นเชิง!
ทุกคนต่างไม่ฝากความหวังกับหลินสวินอีกแม้เพียงเสี้ยว
พวกเขาถึงขั้นเป็นห่วงว่าเมืองเทพศุภโชคนี้จะถูกทำลายจนทำให้พวกเขาโดนลูกหลงไปด้วย
เพียงพริบตาคนพวกนี้ทั้งตื่นตระหนกทั้งนึกเสียใจ อยากจะตบปากตัวเองว่าทำไมต้องฝืนเลือกอยู่ต่อด้วย
ควรจากไปตั้งนานแล้ว!
“หลินสวินอยู่ที่ใด เจ้าป่าวประกาศว่านัดต่อสู้กับพวกเราที่นี่ไม่ใช่หรือ ตอนนี้พวกเรามาแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่กล้าเผยตัวเล่า”
กลางฟ้าดาราเกาหยางไหวยืนจองหอง นัยน์ตาทอดมองเมืองเทพศุภโชค เสียงดังกระหึ่มกลางอากาศเหมือนอสนีบาตจากเก้าชั้นฟ้า
เวลานี้เขามั่นใจเต็มเปี่ยม ใบหน้าเจือความหยิ่งผยองเยียบเย็น
“หลินสวิน เจ้าคงคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะร่วมมือกับเผ่าเทพทั่วหล้ามาจัดการเจ้า เมื่อมาถึงตอนนี้เจ้าจึงไม่กล้าปรากฏตัวแล้วกระมัง”
เจียงเถาหัวเราะลั่น
“สิงโตตะปบกระต่ายยังใช้พลังทั้งหมด อย่าคิดว่าทำลายเผ่าเทพตระกูลจี้ราบคาบแล้ว เจ้าจะไม่เห็นพวกเราเผ่าเทพอยู่ในสายตาอีก!”
“ทุกท่าน เห็นหรือยัง หลินสวินตกใจจนไม่กล้าออกมาแล้ว!”
“มีความกล้าแค่นี้ยังกล้าพูดเพ้อเจ้อประกาศศึก ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย”
ขั้นสรรสร้างคนแล้วคนเล่าเอ่ยปาก เสียงนั้นประหนึ่งอสนีบาตดังกระหึ่มก้องฟ้าดารา
“หลินสวิน ไสหัวออกมารับความตาย!” ทั้งมีคนอดใจรอไม่ไหว ตวาดเสียงกร้าว
“ไสหัวออกมารับความตาย!”
พริบตานั้นขั้นล่วงกฎนับร้อยคนตวาดลั่นพร้อมกัน
อานุภาพพวกเขาดั่งมรสุมคลั่งปกคลุมฟ้าดิน ม้วนกลืนทั่วฟ้าดารา ทำให้ห้วงอากาศสั่นสะเทือน ดวงดาวที่ลอยอยู่ในฟ้าดาราแตกละเอียดทั้งหมด หากไม่ใช่เมืองเทพศุภโชคมีพลังกฎระเบียบปกคลุม ต้านทานการโจมตีของอานุภาพไร้รูปนี้ เกรงว่าเมืองนี้คงถูกซัดทลายด้วยเสียงนี้แล้ว!
“น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
เวลานี้เหล่าผู้ฝึกปราณที่เหลืออยู่ในเมืองตกใจจนทรุดตัวลงกับพื้น สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
แม้แต่สีหน้าของพวกอู๋ยางก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมา หว่างคิ้วเต็มไปด้วยแววอึมครึม ศัตรูกำเริบเกินไปแล้ว ท่าทางเหมือนกำชัยมั่นเหมาะ
แต่พวกเขากลับไม่อาจไม่ยอมรับ ทัพใหญ่ระดับนิรันดร์ขบวนนี้สามารถทำให้ใครก็ตามสิ้นหวังได้จริงๆ
ต่อให้พวกเขาเอาชีวิตเข้าแลก เกรงว่าคงยืนหยัดไม่อยู่แม้แต่ครู่เดียว!
“ศึกนี้จะสู้อย่างไร”
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าหนักใจยิ่ง
เมื่อมองหลินฝานกับซูไป๋ก็เห็นพวกเขากำสองมือแน่น สีหน้าอึมครึม ระดับนิรันดร์มากเช่นนี้ร่วมมือกันเพื่อจัดการบิดาและอาจารย์ของพวกเขาคนเดียว หน้าไม่อายอะไรปานนี้!
“หลินสวิน ทำไมไม่กล้าปรากฏตัว รีบไสหัวออกมารับความตายซะ!!”
กลางฟ้าดาราขั้นสรรสร้างร่างกำยำดั่งขุนเขาคนหนึ่งแผดเสียงคำราม เย่อหยิ่งเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าสวะบัดซบนี่ หากสู้ตัวต่อตัวท่านพ่อต้องฆ่าเขาเหมือนเชือดไก่แน่!”
หลินฝานขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ฝานเอ๋อร์ โกรธเพราะคนใกล้ตายคนหนึ่ง ควรค่าหรือ”
เวลานี้เสียงราบเรียบหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนตัวสั่นสะท้าน หันกลับไปพร้อมกันตามจิตใต้สำนึก…
ก็เห็นประตูตำหนักใหญ่ที่ปิดสนิทเปิดออกช้าๆ เงาร่างสูงตระหง่านของหลินสวินก้าวออกมาแล้ว