การใช้อภินิหารดาบกาลเวลากับประตูเนรเทศติดต่อกัน ทำให้หลินสวินผลาญพลังไปมาก
เมื่อเงาร่างสีทองหอบอานุภาพน่ากลัวเข้ามา แค่การโจมตีเดียวก็ทำให้ร่างต้นหลินสวินสั่นคลอน ทั้งตัวล้วนถูกซัดลอยออกไป
พรูด!
หลินสวินกระอักเลือด สีหน้าซีดเผือด
แต่ระหว่างนี้สี่กายมรรคยังคอยสกัดกั้นอีกฝ่ายไว้ ทำให้ร่างต้นหลินสวินมีโอกาสพักหายใจ โอสถเทพมากมายปรากฏออกมา ถูกหลินสวินหลอมกลืนเข้าไปในร่าง
โอสถเทพพวกนี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าหายากที่เผ่าเทพตระกูลต่างๆ เก็บไว้ เมื่อกลายเป็นทรัพย์หลังศึกของหลินสวินก็ถูกเขาสะสมเหมือนของรักษาชีวิต
และปัจจุบันโอสถเทพพวกนี้กลับถูกนำมาใช้ประโยชน์
ตูม!
แสงศักดิ์สิทธิ์กึกก้อง มรรควิถีซึ่งพลังผลาญไปมากของหลินสวินฟื้นคืนกลับมาด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เขาพุ่งไปทางเงาร่างสีทองอีกครั้งโดยไม่ลังเล
“ฮึ!”
เงาร่างสีทองสีหน้าทะมึน โบกทวนแสงเคราะห์ ทลายการล้อมโจมตีของกายมรรคทั้งสี่ในคราเดียว ทวนศึกแทงเข้าใส่ร่างต้นของหลินสวินอีกครั้ง
กร้าวแกร่งหาใดเปรียบ!
เขามีหรือจะไม่รู้ว่าแม้สังหารร่างแยกพวกนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ มีเพียงกำจัดร่างต้นของหลินสวินถึงจะฆ่าหลินสวินได้อย่างแท้จริง
ตูม…
ศึกใหญ่ดุเดือดยิ่งกว่าเดิมแล้ว ต่อให้หลินสวินโจมตีเต็มกำลังก็ได้แค่เสมอกับเงาร่างสีทองนั่น
สาเหตุอยู่ที่พลังต่อสู้ของเงาร่างสีทองนี้ เห็นชัดว่าเหนือกว่าขอบเขตของขั้นสรรสร้างนานแล้ว ส่วนพลังแสงเคราะห์ที่เขามีก็มาจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ แปลกประหลาดและอัปมงคลหาใดเปรียบ สามารถบดขยี้ศาสตรามรรคนิรันดร์ได้โดยง่าย
กล่าวได้ว่าสิ่งที่คุกคามหลินสวินอย่างแท้จริงในการต่อสู้ ก็คือพลังของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพที่เงาร่างสีทองนี้ยืมใช้
เพราะเหตุนี้ในการต่อสู้หลังจากนั้นหลินสวินจึงบาดเจ็บต่อเนื่อง กระอักเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดถึงขีดสุด
พวกอู๋ยางเห็นแล้วเครียดกังวลเป็นอย่างยิ่ง การต่อสู้นั้นอันตรายเกินไปจริงๆ ราวกับดิ้นรนอยู่ระหว่างความเป็นตาย พวกเขากลัวว่าครู่ต่อมาหลินสวินจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
ทว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน ตามเวลาที่ล่วงเลยหลินสวินกลับต้านแรงโจมตีหนักหน่วงได้!
ศาสตรามรรคนิรันดร์แหลกแล้วก็เรียกออกมาใหม่
ถูกอีกฝ่ายโจมตีจนบาดเจ็บแล้วก็หลอมโอสถเทพฟื้นฟู
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินดูทนทานผิดปกติ!
นี่ทำให้เงาร่างสีทองนั้นทั้งร้อนรนทั้งโมโห ไม่อาจนิ่งเฉย
ตั้งแต่เป็นทูตชะตาสวรรค์มา เขายังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ซึ่งยากรับมือเช่นนี้ ไม่ใช่แค่พลังต่อสู้เย้ยฟ้า ไพ่ตายรักษาชีวิตในมือก็มีมากจนนับไม่ถ้วน
“ฆ่า!”
เงาร่างสีทองคำรามลั่น พลังทั่วร่างซัดจนห้วงอากาศสะเทือน ทุกหนแห่งเปี่ยมกระแสแสงเคราะห์ ราวกับนายเหนือหัวควบคุมทัณฑ์สวรรค์
การโจมตีนี้ถูกหลินสวินต้านทานได้อีกครั้ง
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังหลินสวินต้านการโจมตีนี้ได้ ส่วนลึกของนัยน์ตากลับฉายประกายเจิดจ้า
‘จริงดังคาด พลังที่ยืมใช้สุดท้ายแล้วก็เป็นพลังที่ยืมใช้ คงสภาพได้ไม่นานโดยสิ้นเชิง!’
หลินสวินสังเกตเห็นว่าแม้อานุภาพของเงาร่างสีทองยังคงแข็งแกร่งหาใดเปรียบเหมือนก่อนหน้านี้ แต่พลังแสงเคราะห์ที่ปล่อยออกมากลับอ่อนกำลังกว่าก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด!
นี่ก็คือสาเหตุที่ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่ยอมถอยร่น
เป้าหมายก็เพื่อสู้ศึกระยะยาว ดูว่าใครจะหมดแรงก่อน!
“ฆ่า!”
เห็นชัดว่าเงาร่างสีทองลนลานแล้ว เขาเหมือนรู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป สำหรับเขาสถานการณ์มีแต่จะไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นเวลานี้ยามลงมือจึงเริ่มไม่ต่างอะไรกับเอาชีวิตเข้าแลก
ตูม!
แสงเคราะห์ไพศาล ทวนศึกบดทลายห้วงอากาศ การสู้สุดชีวิตของเงาร่างสีทองสร้างแรงโจมตีให้กับหลินสวินอย่างมาก อาการบาดเจ็บบนตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วในการฟื้นฟูแทบจะตามไม่ทันแล้ว
เมื่อมองจากไกลๆ เสื้อผ้าเขาเปื้อนเลือด บาดแผลเต็มตัวชวนประหวั่น
แต่นัยน์ตาของหลินสวินกลับเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ นานเข้าจิตต่อสู้รอบกายก็ยิ่งลุกโชนมากขึ้น ด้วยพลังเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพที่เงาร่างสีทองยืมใช้กำลังถดถอยและผลาญไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน!
“ฆ่า!”
หลินสวินตวาด ไม่ถอยแม้แต่น้อย เข้าปะทะอย่างแข็งกร้าว แม้บาดเจ็บสะสม แต่อานุภาพผงาดผยองสั่นคลอนใจคน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
หลินสวินพลันตวาดลั่น “กระบี่ผงาด!”
ตูม!
พริบตานั้นฟ้าดินไร้สี สุริยันจันทราหม่นแสง แสงกระบี่หมื่นสายรวมตัวกัน กลายเป็นคมกระบี่เจิดจรัสยาวหนึ่งจั้งม้วนกลืนไม่หยุด คมกระบี่นั้นราววิวัฒน์จากธารดารา ภายในมีแสงดาวดวงเล็กนับไม่ถ้วน แสงเงินส่องประกาย ต่อให้อยู่ห่างไปพันหมื่นลี้ทุกคนก็ยังรู้สึกถึงความเจิดจรัสและน่าหวาดกลัวได้
นี่คือกระบี่ซึ่งควบรวมจากนัยเร้นลับนิพพาน!
“บัดซบ!”
ยามกระบี่นี้ปรากฏ เงาร่างสีทองหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ส่งเสียงตวาดเดือดดาล แทงทวนแสงเคราะห์ในมือออกไปเต็มแรง
ปึง!
ภาพอัศจรรย์ชวนตะลึงปรากฏ คมกระบี่ยาวหนึ่งจั้งฟาดฟันลงมาด้วยท่าทางเผด็จการหาใดเปรียบ บดขยี้ทวนแสงเคราะห์นั้นจนระเบิดออกทั้งหมดเหมือนผ่าลำไผ่
เงาร่างสีทองเพิ่งหมายจะหลบก็ไม่ทันแล้ว พลันเห็นคมกระบี่นั้นตวัดออกมาเหมือนมังกรเจียวหลงตัวหนึ่ง ตัดผ่านห้วงอากาศพันจั้งในพริบตา กระบี่เดียวสะบั้นเกราะสีทองบนตัวเงาร่างสีทองเป็นรอยกระบี่ตรงดิ่ง แม้แต่กายเนื้อยังถูกฟันเป็นสองท่อนจากศีรษะลงมา
แค่กระบี่เดียว
เงาร่างสีทองที่ก้าวออกมาจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ ผู้เรียกตัวเองว่าทูตชะตาสวรรค์นั่นถึงกับถูกกระบี่เดียวผ่าแหวก!
เหตุการณ์นี้สะเทือนใต้หล้าจริงๆ ทำเอาพวกอู๋ยางที่เดิมเป็นห่วงหลินสวินจนใจเคว้งลอยอยู่ตรงลำคออึ้งงันในชั่วขณะ
เป็นกระบี่ที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว!!
แต่ยังไม่รอให้พวกเขาดีใจ…
ตูม…
ในฟ้าดาราม้วนซัดแปรปรวน พลังจิตของเงาร่างสีทองถึงกับพ้นเคราะห์ไปได้ ถอยห่างออกไปจากกระบี่ทำลายล้างนั่น
“เจ้าสวะ คิดจริงหรือว่าของแบบนี้จะผลาญพลังของข้าได้ ฝันไปเถอะ!”
พลังจิตของเงาร่างสีทองแผดเสียงคำราม ยื่นมือออกมาทันที
ตูม!
เมฆาเคราะห์ในส่วนลึกฟ้าดารานั้นพลันม้วนซัด กลายเป็นวังวนลึกลับ ขณะเดียวกันระฆังมรรคแผ่ไอคลุมเครือใบหนึ่งปรากฏออกมาจากวังวนเมฆาเคราะห์
พริบตานี้เวลาเหมือนหยุดนิ่ง ฟ้าดาราที่พังทลายนานแล้วเผยสัญญาณเงียบสงัดไม่ขยับอย่างหนึ่ง คล้ายถูกอานุภาพกดดันไร้รูปพันธนาการแน่นหนา
อานุภาพของระฆังมรรคนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ราวร่างจำแลงของยอดสิ่งต้องห้าม ยังไม่ปรากฏบนโลกอย่างแท้จริงเมืองเทพศุภโชคก็ถูกโจมตีอย่างหนัก สั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นมาทันใด
พวกอู๋ยางที่อยู่ในเมืองมีแค่ความรู้สึกเดียว…
ฟ้าจะถล่มแล้ว!
ทุกอย่างกำลังพังทลายภายใต้ระฆังมรรคนี้!
นั่นคือพลังที่ทำให้ผู้คนปลุกใจไปต้านทานไม่ได้อย่างหนึ่ง ทำให้คนเหมือนจมดิ่งอยู่ในความสิ้นหวัง น่ากลัวถึงขั้นไม่อาจจินตนาการ
เวลานี้หลินสวินพลันหน้าเปลี่ยนสี ในใจเย็นวาบอย่างไม่อาจระงับ กลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตเหมือนดาบแหลมคม กระตุ้นจนเขาเกร็งไปทั้งตัว
ระฆังแรกปฐม!!
สมบัติอัปมงคลที่เคยทำให้จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ประสบเคราะห์ชิ้นนั้น!
หลินสวินคิดไม่ถึงว่าจะเจอสมบัติชิ้นนี้เวลานี้ เมื่อเขาคิดหลบหลีก พลังทั่วร่างกลับเหมือนถูกกักขัง ไม่อาจขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที!
เมื่อมองไปในเมฆาเคราะห์นั่นอีกครั้ง ไอคลุมเครือพวยพุ่ง ทิ้งตัวลงมาบนโลก ระฆังมรรคใบนั้นพลันกำราบลงมา ฟ้าดาราแถบนี้เหมือนเงาอากาศทันที ตกอยู่ในห้วงอากาศปั่นป่วนดุดัน
เมืองเทพศุภโชคที่เก่าแก่สูงใหญ่ส่งเสียงสะเทือนรุนแรงราวรับไม่อยู่ เหมือนว่าจะพังทลายได้ทุกเมื่อ
ภาพนั้นไม่ต่างอะไรกับการผลาญโลกจริงๆ
อย่าว่าแต่หลินสวิน แม้แต่ขั้นไร้ขอบเขตจิตใจก็คงสลายเป็นเถ้าถ่าน สิ้นหวังอย่างสมบูรณ์!
แต่ก็เป็นเวลานี้เอง…
แสงดำสายหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากท้องฟ้าเหนือเมืองเทพศุภโชคราวกับสายฟ้าฟาด วาบผ่านพันธนาการเวลาด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ ทลายไอคลุมเครือแน่นหนา พุ่งเข้าไปในวังวนเมฆาเคราะห์นั่น
เคร้ง!!
แสงดำราวอสนีบาตโจมตีใส่ระฆังแรกปฐมเต็มแรง ระหว่างทั้งสองมีพลังน่าหวาดกลัวที่อยู่เหนือความเข้าใจทั้งหมดบนโลกระเบิดออกมา
จากนั้นทั้งแหล่งสถานศุภโชคพลันสั่นสะเทือน โลกยุคสมัยซึ่งกระจายอยู่ในแหล่งสถานศุภโชคล้วนได้รับแรงโจมตี ฟ้าดินสั่นไหว สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในโลกยุคสมัยเหล่านั้นถูกทำให้ตื่นตระหนก ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
กลางฟ้าดาราเบื้องหน้าหลินสวินพลันมืดมัว ถูกพลังน่ากลัวที่เกิดขึ้นยามปะทะกันกระเทือนมาถึง เงาร่างถูกซัดลอยออกไปอย่างแรง ร่างกายบาดเจ็บสาหัส สะบักสะบอมเกินทน
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจคือพลังของระฆังแรกปฐมที่พันธนาการตนนั้นหายไปแล้ว!
เมื่อมองไปบนเวิ้งฟ้าอีกครั้ง หลินสวินก็เห็นภาพน่าเหลือเชื่อ…
ระฆังแรกปฐมที่มีอานุภาพผลาญโลก ถึงกับถูกแสงดำลึกลับสายนั้นต้านทานไว้อย่างแข็งกร้าว ไม่อาจพุ่งออกมาจากวังวนเมฆาเคราะห์นั้นได้ ทั้งสองสู้กันดุเดือด แม้แต่คลื่นพลังน่ากลัวที่ระเบิดออกมายังถูกขวางไว้ในวังวนเมฆาเคราะห์ สิ่งที่แผ่ออกมาเป็นแค่ส่วนน้อย
แต่กลิ่นอายทำลายล้างเล็กน้อยนั้นกลับบดทลายห้วงอากาศแถบนี้ กระเทือนจนทั่วแหล่งสถานศุภโชคเกิดแรงกระเพื่อมรุนแรง!
เป็นลายธาร!
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน รู้ว่าแสงดำคล้ายอสนีบาตสายนั้นคือลายธารที่ปกป้องบนท้องฟ้าเหนือเมืองเทพศุภโชคในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ยอดสมบัติชิ้นหนึ่งที่เฉินซีเหลือไว้!
ตูม!
เสียงกัมปนาทราวฟ้าถล่มดินทลายดังก้องต่อเนื่อง ไม่นานระฆังแรกปฐมพลันส่งเสียงกึกก้อง ถึงกับหายไปจากส่วนลึกของเมฆาเคราะห์นั่น
“ไม่! เป็นไปไม่ได้! สมบัติมรรคของนายท่านของข้าถูกต้านทานได้อย่างไร”
เงาร่างสีทองที่เหลือแค่พลังจิตแผดเสียงคำรามขุ่นเคือง ดวงตาแทบถลน ยากจะยอมรับทุกอย่างนี้
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ในฐานะทูตชะตาสวรรค์ เขารู้ความแข็งแกร่งของระฆังแรกปฐมดีที่สุด สามารถกำจัดบุคคลอย่างเขาได้โดยง่าย แต่ตอนนี้กลับถูกขวางกั้น!
เขาจะยอมรับทุกอย่างนี้ได้อย่างไร
ตูม!
เมื่อระฆังแรกปฐมที่อบอวลกลิ่นอายแรกกำเนิดหายไป วังวนเมฆาเคราะห์ที่ม้วนซัดรุนแรงไม่หยุดนั้นก็พังทลายดังสนั่นในยามนี้
พลังของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพหายไปจากฟ้าดาราที่พังทลายนี้ทันที
ขณะเดียวกันลายธารกลายเป็นแสงดำไหววูบเบาๆ กลับไปในม่านนภาขมุกขมัวบนท้องฟ้าเหนือเมืองเทพศุภโชคและหายลับไป
พริบตานี้เงาร่างสีทองคล้ายตระหนักถึงอะไรได้ เขาเหมือนถูกฟ้าผ่า “ไม่ อย่าทิ้งข้า อย่า…!”
เมื่อเสียงดังขึ้นเงาร่างสีทองกลายเป็นแสงสายหนึ่งพุ่งไปยังส่วนลึกของฟ้าดาราราวกับทุ่มสุดตัว
แต่เมฆาเคราะห์ขมุกขมัวแถบนั้นหายไปนานแล้ว ทำให้เงาร่างสีทองไร้ ‘หนทางกลับ’ โดยสิ้นเชิง
เขาเหมือนถูกทอดทิ้งทันที ทั้งตัวล้วนพังทลาย หวีดร้องตะโกนลั่น “นายท่าน ทำไมถึงทอดทิ้งข้า เพราะเหตุใด…”
เสียงเจือความตื่นตระหนก หมดหนทาง ไม่ยินยอมดังก้องทั่วทิศ
เหมือนว่าสำหรับเงาร่างสีทอง การไม่อาจย้อนกลับทางเดิมก็คือบทลงโทษที่เหี้ยมโหดที่สุดบนโลก
เวลานี้หลินสวินนัยน์ตาเยียบเย็นดุจอสนี พุ่งทะยานไปหาเงาร่างสีทองแล้ว!
…………………….