เพราะก่อนหน้านี้ถูกโจมตี หลินสวินบาดเจ็บสาหัสมาก ร่างกายแตกหัก เลือดไหลเต็มตัว
แต่เมื่อเทียบกับบาดแผลเหล่านี้ การจับพลังจิตของเงาร่างสีทองนั่นให้ได้สำคัญกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย!
สวบ!
เงาร่างของเขาเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทะยานออกไป
ที่เหนือความคาดหมายของหลินสวินก็คือพลังจิตของเงาร่างสีทองราวกับยอมแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีความคิดจะต้านทาน ถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกำราบโดยตรง
ง่ายดายจนทำให้หลินสวินอดอึ้งไม่ได้
การหายไปของเมฆาเคราะห์สร้างความกระทบกระเทือนต่อเงาร่างสีทองนี้มากเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่หลินสวินคร้านจะสนใจว่าในใจอีกฝ่ายคิดอย่างไร เขาถอนหายใจยาว ทอดสายตามองรอบๆ ผ่อนคลายลงทั้งตัว
“ในที่สุดก็จบลงแล้ว…”
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ
ตอนนี้ฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาลนี้ทรุดทลายไปนานแล้ว พังพินาศทั้งหมด ไร้ซึ่งคลื่นชีวิตแม้แต่เสี้ยวเดียว
มีเพียงเมืองเทพศุภโชคตั้งตระหง่านอยู่ในห้วงอากาศพังพินาศ ดูสะดุดตาผิดปกติ และทำให้คนรู้สึกวางใจหาใดเปรียบ
หลินสวินมองไปบนห้วงอากาศเหนือเมืองเทพศุภโชคตามจิตใต้สำนึก ที่นั่นปกคลุมด้วยหมอกที่คลุมเครือปานม่านนภาชั้นหนึ่ง และลายธารก็พิทักษ์อยู่ในนั้น
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ยอดบุคคลเฉินซีสร้างเมืองนี้ขึ้นเองกับมือ ทั้งทิ้งลายธารพิทักษ์ที่แห่งนี้ หนึ่งเพื่อปกป้องพลังต้นกำเนิดศุภโชค สองเพื่อต้านทานอานุภาพของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ
อย่างพวกอู๋ยาง หลายปีมานี้ฝึกปราณอยู่ในเมืองมาโดยตลอด ไม่เคยถูกเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพโจมตี
และวันนี้ในฟ้าดาราเหนือเมืองเทพศุภโชคนี้ ลายธารก็สำแดงประโยชน์ในการโจมตีระฆังแรกปฐมที่แปลกประหลาดอัปมงคลนั่นจนถอยไป!
เท่ากับช่วยชีวิตหลินสวินอ้อมๆ!
“ขอบคุณมาก”
หลินสวินประสานหมัดจากไกลๆ
จากนั้นเขาหมุนตัวมุ่งหน้าไปยังเมืองเทพศุภโชค
……
ยอดเขาราตรีสงัด
จนกระทั่งเห็นหลินสวินปรากฏในสายตา พวกอู๋ยางจึงเหมือนตื่นจากฝัน ได้สติจากความตะลึงลึกล้ำนั่น
ทันใดนั้นในใจพวกเขากระเพื่อมไหว ล้วนพูดไม่ออก
วันนี้พวกเกาหยางไหว เจียงเถานำกำลังพลอันแข็งแกร่งอย่างระดับนิรันดร์จากเผ่าเทพหลากตระกูลมาเยือน
ภาพนี้สามารถทำให้ทุกคนบนโลกสิ้นหวังได้
แต่เมื่อหลินสวินปรากฏตัว กลับใช้กำลังของตนคนเดียวกวาดล้างขั้นล่วงกฎนับร้อย กำจัดเฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นสรรสร้างสิบเก้าคน เผยความองอาจไร้เทียมทานที่โดดเด่นที่สุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน!
แต่ยังไม่รอให้คนดีใจ เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพก็มาเยือนกะทันหัน…
ไม่มีใครคิดว่าหลินสวินจะเลือกปะทะกับเคราะห์นี้
ยิ่งไม่มีใครคิดว่าในการต่อสู้กับเงาร่างสีทอง หลินสวินที่บาดแผลเต็มตัวกลับสามารถฟันร่างของอีกฝ่ายด้วยกระบี่เดียวในช่วงสุดท้ายได้!
แต่นี่ยังไม่จบ
ยามระฆังแรกปฐมปรากฏจากวังวนเมฆาเคราะห์ ทุกคนต่างสิ้นหวัง ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่นและหดหู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ปาฏิหาริย์กลับเกิดขึ้น พวกเขาไม่ตาย หลินสวินเองก็ไม่ตาย ระฆังแรกปฐมที่ทำให้คนสิ้นหวังนั่นถูกโจมตีจนถอยกลับไป!
ทั้งหมดนี้นำพาความตะลึงและแรกสะเทือนมาให้อย่างยิ่งใหญ่
จนกระทั่งตอนนี้เห็นหลินสวินกลับมา พวกเขาถึงขั้นรู้สึกเหมือนฝันไป แต่ละคนสีหน้างุนงง จิตใจไม่สามารถสงบได้
แต่หลินฝานและซูไป๋กลับนิ่งสงบมาก
เพราะหลังจากเงาร่างสีทองนั่นปรากฏตัว การรับรู้ทั้งหมดของพวกเขาก็ถูกบดบัง แม้แต่ตัวพวกเขายังถูกพวกอู๋ยางคุ้มกัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
คำว่า ‘ผู้ไม่รู้ย่อมไม่กลัว’ ก็เป็นเช่นนี้
ทว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองเห็นภาพที่หลินสวินกวาดล้างระดับนิรันดร์ทั้งกลุ่ม เมื่อเห็นหลินสวินปรากฏตัวตรงหน้าพร้อมบาดแผลเต็มตัว จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าแม้แต่เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพนั่นก็ทำอะไรหลินสวินไม่ได้
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินฝานทั้งตื่นเต้นทั้งกังวล ส่งเสียงเป็นคนแรก
ซูไป๋เองก็กังวลมาก
ร่างกายหลินสวินบาดเจ็บ เลือดเต็มตัว จะไม่ให้เป็นห่วงได้อย่างไร
“ไม่เป็นไร”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ เมื่อแสงมรรคแผ่ออกรอบตัว ร่างกายและบาดแผลที่แตกหักสมานกันทั้งหมด แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่บาดแผลภายนอก
ในการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้หลินสวินได้รับบาดเจ็บภายในเช่นกัน แม้ไม่ถึงกับอันตรายถึงชีวิตแต่ก็รุนแรงไม่น้อย โชคดีที่หลินสวินไม่ขาดโอสถเทพรักษาแผล
สำหรับเขา บาดแผลเหล่านี้ไม่มีผลกระทบใดๆ
“เจ้ารีบไปรักษาตัว อย่าได้เสียเวลาอีก มีเรื่องอะไรรอบาดแผลของเจ้าหายแล้วค่อยว่ากัน” อู๋ยางส่งเสียงเร่ง
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นๆ พยักหน้ารัว
หลินสวินเองก็ไม่บ่ายเบี่ยง เดินเข้าตำหนักโดยตรง
จนกระทั่งเงาร่างเขาหายไป พวกอู๋ยางจึงสบตากัน อดถอนหายใจยาวไม่ได้
“ผ่านเรื่องวันนี้แหล่งสถานศุภโชคคงโกลาหลแล้ว”
ซิงเจียส่งเสียงถอนหายใจ
วันนี้ระดับนิรันดร์ที่เผ่าเทพตระกูลต่างๆ ทั่วหล้าส่งออกมาล้วนร่วงหล่นหน้าเมืองเทพศุภโชคทั้งหมด หากข่าวกระจายออกไปแค่คิดก็รู้ว่าจะเกิดความวุ่นวายขนาดไหน
“พวกเขารนหาที่ตายเอง โทษคนอื่นไม่ได้”
จักรพรรดินรกเลือดทมิฬหัวเราะเยาะ “ตระกูลเกาหยางกับตระกูลเจียงที่เลือกเป็นสุนัขรับใช้ให้ผู้บงการหลังม่านนั่นตายไปก็ไม่น่าเสียดาย ส่วนเผ่าเทพอื่นๆ ยินยอมเป็นสุนัขรับใช้ให้ตระกูลเกาหยางกับตระกูลเจียงอีกที ก็ไม่มีอะไรให้เสียดายเช่นกัน หากข้าเป็นหลินสวิน จะต้องไปกวาดล้างเผ่าเทพเหล่านั้นอย่างแน่นอน!”
เขาไอสังหารพลุ่งพล่าน
สถานการณ์วันนี้อันตรายถึงขีดสุด หากหลินสวินประสบเคราะห์ พวกเขาถูกก็ไม่มีโอกาสรอดต่อไปได้โดยไม่ต้องสงสัย
นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้จักรพรรดินรกเลือดทมิฬเดือดดาล
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแหล่งสถานศุภโชคเรียกได้ว่าเป็นมังกรไร้หัว สถานการณ์ทั่วหล้าก็ถูกกำหนดให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ใครจะจินตนาการได้ว่าทั้งหมดนี้กลับเป็นฝีมือของหลินสวินคนเดียว”
มีคนถอนหายใจ
อารยธรรมแห่งยุคสมัยนับร้อยในแหล่งสถานศุภโชคแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าตั้งแต่วันนี้ไปล้วนถูกหลินสวินคนเดียวเหยียบไว้ใต้เท้า
ถึงขั้นที่หากหลินสวินต้องการ สามารถเป็นนายเหนือหัวแท้จริงของแหล่งสถานศุภโชคนี้ได้!
ถึงอย่างไรอย่าว่าแต่ขั้นสรรสร้างเหล่านั้น แม้แต่เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพยังไม่สามารถฆ่าหลินสวินได้
“ข้ากลับอยากรู้ถึงฐานะของทูตชะตาสวรรค์นั่น รวมถึงเรื่องที่เขารู้เกี่ยวกับผู้บงการหลังม่านนั่น”
อู๋ยางพูดเสียงเบา
คำพูดนี้ทำให้สายตาของเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าวูบไหวไม่หยุด
พวกเขาเป็นขั้นล่วงกฎ ที่ไม่เคยถูกโจมตีจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพเพราะหลายปีนี้ซ่อนตัวฝึกปราณอยู่ในเมืองเทพศุภโชคมาโดยตลอด
แต่พวกเขารู้ว่านอกจากชาตินี้พวกเขาไม่จากไป ไม่เช่นนั้นต่อไปล้วนต้องระวังการโจมตีจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ!
“เชื่อว่าพวกหลินสวินเองก็อยากรู้เรื่องพวกนี้ที่สุดเช่นกัน พวกเรารอข่าวอยู่ที่นี่ก็พอ”
หลงเซี่ยงกล่าว
เวลาเดียวกันภายในตำหนัก
หลินสวินนั่งขัดสมาธิ กลืนโอสถเทพฟื้นฟูบาดแผลภายใน พลางแผ่จิตรับรู้แทรกเข้าไปในพลังจิตของเงาร่างสีทองที่ถูกกักขังอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
อีกฝ่ายมีดวงตาสีเงิน รูปลักษณ์ราวกับชายหนุ่ม แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกจากตัวกลับเก่าแก่มาก
ตอนนี้พลังจิตของเขาราวกับสูญสิ้นทุกสิ่ง เหม่อลอยไม่เอ่ยคำ
และเป็นยามนี้เช่นกันที่หลินสวินสัมผัสได้อย่างฉับไว ว่ากลิ่นอายแสงเคราะห์บนพลังจิตของเงาร่างสีทองสลายไปแล้ว เผยให้เห็นกลิ่นอายมรรควิถีที่มีในตอนแรก
กลิ่นอายนี้แม้จะอ่อนจางหาใดเปรียบ แต่หลินสวินแยกออกได้ทันทีว่ามรรควิถีที่อีกฝ่ายมีเหนือกว่าขอบเขตของขั้นสรรสร้าง
หรือก็คือ เงาร่างสีทองเดิมเป็นขั้นไร้ขอบเขต!
‘มิน่า ยามประชันซึ่งหน้าด้วยพลังร่างต้นของข้ายังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ แม้ใช้สี่กายมรรคก็ทำได้เพียงฝืนสู้อย่างสูสีเท่านั้น ที่แท้ก็เป็นขั้นไร้ขอบเขตคนหนึ่ง…’
ยามนี้หลินสวินเข้าใจกระจ่างแล้ว
ขั้นสรรสร้างอย่างพวกเกาหยางไหว เจียงเถา แต่ละคนล้วนอยู่ในขั้นสัมบูรณ์ของขอบเขตนี้ แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
แต่เห็นได้ชัดมากว่าที่เงาร่างสีทองแข็งแกร่งขนาดนี้ไม่ใช่เพียงเพราะสามารถใช้พลังของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้ แต่ยังเป็นเพราะอีกฝ่ายมีพลังปราณขั้นไร้ขอบเขตด้วย
นี่ต่างหากจึงจะเป็นจุดสำคัญ!
พลังจิตของเงาร่างสีทองคล้ายสัมผัสถึงการสำรวจของจิตรับรู้หลินสวิน จึงสั่นเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้ารู้ว่าเจ้าเก็บพลังจิตของข้าไว้เพื่ออะไร แต่ข้าไม่อาจไม่บอกเจ้าว่าแม้เจ้าจะค้นวิญญาณข้า ก็ไม่มีทางรู้เรื่องราวใดๆ ของนายท่าน”
“หรือพูดอีกอย่างว่าขอเพียงเจ้าค้นวิญญาณของข้า รอยประทับในความทรงจำของข้าที่นายท่านประทับไว้จะรู้ตัว และสังหารพลังจิตของข้าในทันที”
ตอนที่พูดคำว่า ‘นายท่าน’ เขาดูผิดหวังและเสียใจหาใดเปรียบ
เห็นได้ชัดว่าเขายังคงเศร้าโศกที่ไม่สามารถไปยัง ‘หนทางกลับ’ ในเมฆาเคราะห์นั่นได้
“เช่นนั้นเจ้าสามารถบอกอะไรข้าได้บ้าง”
จิตรับรู้ของหลินสวินส่งเจตจำนงหนึ่งออกไป
เงียบไปครู่ใหญ่ พลังจิตของเงาร่างสีทองพลันเอ่ยว่า “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้าล้วนสามารถบอกเจ้าได้”
“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องของเจ้า” หลินสวินเอ่ยเย็นเยียบ
“เหอะๆ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าข้าเป็นทูตชะตาสวรรค์ได้อย่างไร”
เงาร่างสีทองสีหน้าแปลกประหลาดมาก เหมือนโศกเศร้า ทั้งเหมือนขมขื่น และเหมือนคิดคำนึงถึงอะไร ดูพิกลนัก
ครั้งนี้ไม่รอหลินสวินพูด ในดวงตาเขาเผยแววย้อนระลึก เอ่ยว่า
“ข้าคืออิงซานอิง ทายาทตระกูลอิงซานเผ่าวิญญาณแรกกำเนิดแห่ง ‘ยุคมรรค’ ตอนอายุน้อยพรสวรรค์โดดเด่น เป็นอันดับหนึ่งในตระกูล! ยามอายุสิบสามก็ถูกคัดเลือกเป็นกรณีพิเศษ ได้กราบอาจารย์เข้าฝึกปราณใน ‘โถงสามพิสุทธิ์’ สำนักอันดับหนึ่ง ไม่ถึงร้อยปีข้าก็ก้าวสู่ ‘ระดับจอมมรรค’ แล้ว หรือก็คือมรรคาอมตะในของยุคพวกเจ้านี้”
ตอนนี้เงาร่างสีทองที่เรียกตัวเองว่าอิงซานอิงจมอยู่ในความทรงจำโดยสมบูรณ์ พึมพำด้วยเสียงต่ำลึก
“ตอนนั้นข้าจิตใจฮึกเหิม มั่นใจว่าด้วยมรรคของข้าสามารถสะเทือนหมื่นกาล กำราบคนรุ่นเดียวกันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน กระทั่งหลังจากนั้นข้าสู้ศึกเพียงลำพังมาแปดร้อยปี ไร้ศัตรูในระดับจอมมรรคแล้ว ผู้คนบนโลกล้วนเรียกข้าว่า ‘เจ้ามรรคอิงซาน’ สรรพชีวิตมากมายล้วนยกย่องชื่อข้า แม้แต่คนระดับเดียวกันเจอข้ายังต้องก้มหัว เรียกว่า ‘เจ้ามรรค’…”
สีหน้าของเขาปรากฏความทอดถอนใจและพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก รวมถึงความภาคภูมิที่ปกปิดไม่อยู่
“จนกระทั่งสามพันปีหลังจากนั้น ข้าผ่านเคราะห์แห่งยุคสมัยและแจ้งมรรคนิรันดร์ และภายในไม่ถึงหกร้อยปี ก็กลายเป็นหนึ่งในสี่ราชันที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคมรรค”
“ตอนนั้นผู้คนล้วนเรียกข้าว่า ‘ราชันอิงซาน’ แต่ข้าในตอนนั้นไม่ได้สนใจชื่อเรียกจอมปลอมนี้ สิ่งที่ข้าเสาะหาคือมรรคคาที่ล้มล้างอดีตปัจจุบัน เป็นหนึ่งในโลก ในใจก็ปรารถนามาโดยตลอดว่าสักวันจะสามารถหลุดพ้นจากการสับเปลี่ยนยุคสมัยอย่างแท้จริง!”
“จนกระทั่งเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือน ข้ามุ่งมั่นจะไปแหล่งสถานคุนหลุน ช่วงชิงในทะเลโชคชะตา ต่อสู้สังหารกับระดับนิรันดร์ทั้งหมด สุดท้ายได้รับโอกาสเดินทางไปยังแหล่งสถานอัศจรรย์!”
พูดถึงตรงนี้ในดวงตาเขาวาบแสงประกาย นั่นเป็นท่าทีเหยียดหยัน มั่นใจ และเย่อหยิ่ง
ก็เป็นตอนนี้เองที่หลินสวินซึ่งไม่มีการตอบสนองมากโดยตลอดในใจสั่นสะท้าน
เจ้าหมอนี่ถึงกับเคยไปแหล่งสถานอัศจรรย์หรือ
——