เห็นหลินสวินเดินออกจากแท่นมรรค ในบริเวณใกล้เคียงพลันเงียบกริบทั้งแถบ
เงาร่างที่ซ่อนในมุมมืดเหล่านั้นต่างประหลาดใจมาก ล้วนคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะไร้กลัวเกรงและสงบเช่นนี้
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินการประกาศศึกของหลินสวิน ทำเอาในใจพวกเขาล้วนอดเสียววาบไม่ได้
ไม่ใช่มังกรแกร่งไม่ข้ามธาร การที่หลินสวินดูเยือกเย็นเช่นนี้ ความจริงท่าทีกลับแข็งกร้าวถึงขีดสุด ทำให้พวกเขาไม่กล้าผลีผลามลงมือ
ไกลออกไปร้อยจั้ง
ชายร่างสูงใหญ่ดุจภูเขาหัวคิ้วก็ขมวดเช่นกัน แววตาวาบประกาย ภายในใจทั้งแปลกใจและสงสัย
หลินสวินเห็นเช่นนี้มุมปากก็อดเจือรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งขึ้นมาไม่ได้
ไม่อาจไม่พูด คนพวกนี้รอบคอบอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเพราะรอบคอบเช่นนี้ ทำให้สถานการณ์ไม่อาจเปลี่ยนเป็นร้ายแรงเกินไปได้
“เหล่าอิน เจ้ามาทดสอบฝีมือสหายยุทธ์หน้าใหม่ผู้นี้สักหน่อย”
ไกลออกไปเสียงแก่ชรานั่นดังขึ้น
ชายร่างสูงใหญ่ที่ถูกเรียกว่าเหล่าอินพยักหน้า เขาสะบัดมือคราหนึ่ง
ฮูม…
ทันใดนั้นประกายเทพสีม่วงพราวระยับชั้นหนึ่งกลายเป็นม่านฟ้า ปิดครอบฟ้าดินแถบนี้ไว้
นี่คือพลังระเบียบระดับเทพสมบูรณ์อย่างหนึ่ง
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินสวินกล่าวคล้ายขบคิด “ที่แท้ทุกท่านก็ห่วงว่าแรงสะเทือนที่เกิดจากการต่อสู้จะรุนแรงเกินไป และจะถูกคนอื่นๆ รับรู้สินะ”
ไม่ได้แตกตื่น ไม่ได้ประหม่า ท่าทางนิ่งสงบนั่นของหลินสวินทำให้ผู้ที่แอบอยู่ในมุมมืดเหล่านั้นยิ่งมองไม่ออกมากขึ้น
ยังไม่ทันต่อสู้ เสียงหญิงสาวที่เย็นเยียบนั่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เหล่าอิน พวกเรากับสหายยุทธ์ผู้นี้ไร้แค้นไร้พยาบาท เอาแค่พอประมาณก็พอ”
“ได้”
ชายเงาร่างสูงใหญ่ตอบรับ
“สหายยุทธ์มีความเห็นอย่างไร” เสียงหญิงสาวที่เย็นเยียบนั่นเอ่ยถามหลินสวิน
“ได้”
หลินสวินเอ่ยง่ายๆ
“ล่วงเกินแล้ว”
ชายร่างสูงใหญ่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เงาร่างประหนึ่งภูเขาแผ่แสงมรรคนิรันดร์สีทองอร่ามออกมา อานุภาพทั่วร่างพลันพุ่งทะยานถึงขีดสุด
กลิ่นอายระดับนั้นแกร่งกร้าวกว่าเกาหยางไหว เจียงเถาที่อยู่ขั้นสรรสร้างสัมบูรณ์เช่นกันด้วยซ้ำ!
“ทะยาน!”
เขาตะโกนคราหนึ่ง ดุจดั่งฟ้าร้อง ธารเพลิงสีทองสายหนึ่งปรากฏกลางอากาศเบื้องหน้าเขา พลันกลายเป็นกระบี่มรรคสีทองเล่มหนึ่งทันควัน
กระบี่มรรคนี้แม้ยาวเพียงสองฉื่อ ทว่าเจตกระบี่ที่ปลดปล่อยออกมากลับตระหง่านหนักแน่นราวภูเขาเทพหมื่นกาล คล้ายสามารถสยบจักรวาลฟ้าดินได้
กระบี่ยอดสยบเพลิงทอง!
เงาร่างในมุมมืดไกลออกไปเหล่านั้นเห็นภาพนี้ ในใจล้วนมาดมั่นไม่น้อย
นี่เป็นสิ่งที่หลอมรวมขึ้นจากอภินิหารสูงสุดของเหล่าอิน เป็นการสำแดงพลังอันแข็งแกร่งที่สุดของเขา อานุภาพหนึ่งกระบี่สามารถสยบโลกใหญ่ใบหนึ่ง บดขยี้สุริยันจันทราฟ้าดาราได้!
จุดนี้เห็นได้ว่าเหล่าอินมองอีกฝ่ายเป็น ‘มังกรแกร่งข้ามธาร’ แล้ว ไม่ได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด
“ไป!”
ชายร่างสูงใหญ่นัยน์ตาดุจสายฟ้าเย็นเยียบ โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง
ฟ้าดินปั่นป่วน กระบี่มรรคสีทองอร่ามนั่นพุ่งขวางกลางอากาศออกไป
สวบ!
เจตกระบี่ไพศาลประหนึ่งเปลวเพลิงสีทองแผดเผาเก้าชั้นฟ้า
กระบี่เช่นนี้ในขั้นสรรสร้างเรียกได้ว่าเป็นการโจมตีชั้นยอด แข็งแกร่งเป็นเลิศ
กลับเห็นหลินสวินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพียงยื่นมือออกไปตบกลางอากาศคราหนึ่ง
ก็ได้ยิน…
ปึง!
เสียงระเบิดทึบหนักสายหนึ่งดังกึกก้อง เปลวเพลิงสีทองท่วมฟ้าแหลกสลายโครมคราม แผ่กระจายออกไป
กระบี่มรรคสีทองของชายร่างสูงใหญ่คนนั้นถึงกับถูกฝ่ามือเดียวตบแตกง่ายๆ!
“นี่…”
เหล่าคนในมุมมืดนัยน์ตาหดรัด สภาวะจิตพบเจอการโจมตีครั้งใหญ่ยิ่ง
และพร้อมกันนั้นเงาร่างหลินสวินหายไปจากจุดเดิมกลางอากาศ
หนึ่งกระบี่ที่แกร่งที่สุดถูกฝ่ามือเดียวตบทำลายเช่นนั้น ทำให้ชายร่างสูงใหญ่ที่เดิมก็สะท้านสะเทือนอยู่แล้ว ยามเมื่อตระหนักได้ว่าหลินสวินโจมตีเข้ามา มีหรือเขายังจะกล้าโอ้เอ้ รีบใช้วิชาก้นกรุออกมาทันที
“ไป!”
เกราะศึกสีแดงทึบที่ปกคลุมบนร่างสูงใหญ่พลันสาดแสงมรรคสะดุดตา สัญลักษณ์อัคคีเร้นลับคลุมเครือมากมายกำลังผสานควบรวมกลางอากาศ กลายเป็นประทับผนึกป้องกันสามสิบหกชั้น พลังกฎเกณฑ์ที่บรรจุภายในกร้าวแกร่งถึงขีดสุด
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินฟันหนึ่งฝ่ามือลงจากฟากฟ้าแล้ว ประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ทุบค้อนกระแทกใส่โลกมนุษย์
ปึงๆๆ!
เสียงปะทะก้องกระหึ่มดังกึกก้องต่อเนื่อง สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าว่าภายใต้หมัดนี้ของหลินสวิน ประทับผนึกป้องกันเป็นชั้นๆ นั่นแตกระเบิดประหนึ่งกระจกแก้วเปราะบางเป็นชั้นๆ ปลิวกระเด็นออกเป็นละอองแสงระเบียบประดุจเกลียวคลื่น
สุดท้ายพร้อมกับเสียงกระหึ่มจนฟ้าดินสะเทือนไหวสายหนึ่ง ร่างกำยำดุจภูเขาของชายบเกราะแดงถูกหนึ่งหมัดซัดกระเด็นออกไปตรงๆ สุดท้ายร่วงลงบนพื้นกว้างไกลออกไปพันจั้งพร้อมกับเสียงโครมคราม ฝุ่นควันคลุ้งฟ้า
“เหล่าอิน!”
“เหตุใดถึง…”
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
…เสียงร้องอุทานระลอกหนึ่งดังขึ้น ในฟ้าดินมืดมิดทั่วสี่ทิศแปดทางมีเงาร่างพุ่งออกมาสายแล้วสายเล่า เข้าไปหาชายร่างสูงใหญ่นั่นในทันที
“ข้าแพ้แล้ว…”
ชายร่างสูงใหญ่ตะกายขึ้นจากพื้น สีหน้ายังคงหลงเหลือแววแตกตื่นหวาดผวาอยู่ เสียงก็เจือแววท้อแท้และขมขื่น
เมื่อเห็นว่าชายร่างสูงใหญ่ไม่ได้รับบาดเจ็บ เงาร่างเหล่านี้ก็พากันถอนหายใจโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
จากนั้นสายตาของพวกเขามองไปทางหลินสวินที่อยู่ไกลๆ สีหน้าล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลง เจือแววกริ่งเกรงขึ้นมา
ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้เป็นมังกรแกร่งข้ามธารที่กร้าวแกร่งยิ่งยวดจริงๆ!
ในหมู่พวกเขา พลังต่อสู้ของชายร่างสูงใหญ่เป่นอันดับต้นๆ ทว่ากลับต้านการโจมตีเดียวไม่อยู่ แค่คิดก็รู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหน
และในเวลาเดียวกันหลินสวินก็มองเงาร่างสามสายที่ปรากฏตัวในที่นั้นได้ชัดเจนแล้ว เป็นชายสองหญิงหนึ่ง
คนหนึ่งคือชายที่นั่งขัดสมาธิบนเขาเล็กก่อนหน้านี้ สวมชุดขาว ศีรษะสวมเกี้ยวประดับสูง หน้าตาหล่อเหลาดุจเด็กหนุ่ม
อีกคนเป็นชายชราแก่หง่อม แผ่นหลังโค้งค่อมผอมแห้ง สะพายกล่องกระบี่สีดำขนาดใหญ่ใบหนึ่ง
ส่วนอีกคนเป็นหญิงสวมชุดดำ เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้างามเกลี้ยงเกลาขาวเนียน
สามคนนี้ล้วนมีปราณขั้นสรรสร้างสัมบูรณ์เหมือนกับชายร่างสูงใหญ่คนนั้น
หากอยู่ในโลกยอดนิรันดร์ตอนนี้ ย่อมไม่มีทางเจอยอดบุคคลเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
ต่อให้อยู่แหล่งสถานศุภโชค ก็มีเพียงขุมอำนาจเผ่าเทพสิบอันดับแรกเท่านั้นจึงจะมีบุคคลระดับนี้ดูแลอยู่ หนำซ้ำยังถูกหลินสวินจัดการเรียบตั้งแต่แรกอีกด้วย
และตอนนี้เพิ่งมาถึงเขตผนึกทะเลโชคชะตาก็เจอยอดบุคคลเช่นนี้ถึงสี่คนแล้ว ทำให้ในใจหลินสวินอดเสียววาบไม่ได้เช่นกัน
แน่นอน เขาคาดเดาล่วงหน้าถึงสถานการณ์เช่นนี้ไว้ก่อนแล้ว
อย่างไรที่นี่ก็คือทะเลโชคชะตา ไม่กี่ปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นสิบสองเผ่าเทพนิรันดร์น่านฟ้าที่เก้า หรือเฒ่าดึกดำบรรพ์จากสี่หอบรรพจารย์ ล้วนมายังที่แห่งนี้เพื่อช่วงชิงโอกาสไปแหล่งสถานอัศจรรย์
ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ ทำให้ทะเลโชคชะตากลายเป็นพื้นที่อันตรายซึ่งระดับนิรันดร์ต่อสู้กันแล้ว!
“สหายยุทธ์พลังต่อสู้กร้าวแกร่ง ก่อนหน้านี้เป็นพวกเราล่วงเกินแล้ว”
ไกลออกไป หญิงชุดดำประสานหมัด “ตอนนี้สหายยุทธ์จากไปได้แล้ว พวกเราจะไม่ขัดขวางสหายยุทธ์อีก”
และพร้อมกันนั้นชายร่างสูงใหญ่โบกมือ สลายพลังระเบียบระดับเทพที่แผ่ครอบฟ้าดินแถบนี้ออก
แต่หลินสวินกลับไม่คิดจากไป กล่าวว่า “ในเมื่อทุกท่านยอมแพ้แล้ว เช่นนั้นตอนนี้พวกเราพอจะพูดคุยกันดีๆ ได้แล้วหรือไม่”
ในใจเขามีข้องสงสัยมากมาย แทนที่จะบุ่มบ่ามไปสืบข่าวด้วยตัวเอง ไม่สู้อาศัยตอนนี้สืบข้อมูลที่อยากรู้จากปากอีกฝ่าย
หญิงชุดดำและคนอื่นๆ สบตากันปราดหนึ่ง ไม่ได้ปฏิเสธใดๆ อีก
“สหายยุทธ์ ขอกล่าวโดยไม่ปิดบัง หลายปีมานี้พวกเราสี่คนได้แต่เคลื่อนไหวอยู่รอบนอกแดนผนึกนี้ ถึงจะรู้เรื่องราวไม่น้อยแต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น”
หญิงชุดดำเอ่ยเสียงเบา
“ไม่เป็นไร” หลินสวินกล่าว “ข้าขอแค่เข้าใจสถานการณ์โดยรวมของทะเลโชคชะตานี่ก็พอ”
หญิงชุดดำหยิบม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้หลินสวินผ่านอากาศ “สิ่งที่บันทึกในม้วนหยกนี้ สหายยุทธ์ลองดูก่อนก็แล้วกัน”
หลินสวินถือม้วนหยกในมือแล้วเริ่มเปิดอ่าน
ทะเลโชคชะตา แปลงมาจากพลังต้นกำเนิดของแหล่งสถานคุนหลุน
ทุกครั้งก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยจะมาเยือน ทะเลโชคชะตาจะปรากฏในแดนผนึกไร้นามแห่งนี้
และมีเพียงช่วงนี้เท่านั้นที่ ระดับนิรันดร์ถึงจะมีโอกาสช่วงชิงโอกาสการไปแหล่งสถานอัศจรรย์ในที่แห่งนี้ได้
ฟ้าดินที่แผ่ครอบทะเลโชคชะตากว้างใหญ่ไพศาลสุดขีด
ในยุคสมัยก่อนหน้านี้ก็มีผู้แข็งแกร่งที่เหยียบย่างระดับนิรันดร์จำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
และสิ่งที่วิเศษอัศจรรย์อย่างยิ่งคือ ระดับนิรันดร์แต่ละยุคสมัย หลังจากมาถึงทะเลโชคชะตา พื้นที่ที่เข้าไปล้วนแตกต่างกัน
เหมือนอย่างโลกแถบนี้ที่พวกหลินสวินอยู่ในตอนนี้ ก็เป็นพื้นที่ที่ถือกำเนิดใหม่ในยุคสมัยนี้ ไม่ว่าระดับนิรันดร์ในยุคสมัยนี้คนใดก็ตามมุ่งหน้ามา ล้วนจะถูกย้ายมาอยู่ในโลกนี้ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นพื้นที่นี้จึงถูกขนามนามอีกอย่างว่า ‘โลกวิญญาณยุทธ์’
และจากที่บันทึกในม้วนหยก
ในทะเลโชคชะตาแห่งนี้ยังแบ่งออกเป็นโลกอื่นๆ อีกมากมาย โลกเหล่านั้นล้วนถือกำเนิดในยุคสมัยก่อนหน้า
หากเปรียบแดนผนึกไร้นามเป็นบัวดอกหนึ่ง เช่นนั้นโลกที่ถือกำเนิดในแต่ละยุคสมัยนั่นก็เหมือนกลีบดอกเป็นชั้นๆ
และทะเลโชคชะตานั่นก็พาดขวางอยู่บนบัวดอกนี้
นี่ก็คือโครงสร้างทั้งแดนผนึกไร้นาม
และในโลกวิญญาณยุทธ์ตอนนี้ แบ่งออกเป็นพื้นที่แกนกลางและพื้นที่รอบนอก
พื้นที่แกนกลางคือบริเวณที่อยู่ใกล้ทะเลโชคชะตาที่สุด ฉะนั้นในพื้นที่แกนกลางจึงมีความหวังในการช่วงชิงโอกาสการไปแหล่งสถานอัศจรรย์ได้มากที่สุดเช่นกัน
พื้นที่แกนกลางในตอนนี้ถูกขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ยึดครองและควบคุมไว้นานแล้ว
อย่างเช่นเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูล สี่หอบรรพจารย์
ส่วนพื้นที่รอบนอก ที่กระจายอยู่ล้วนเป็นพวกที่ไม่ว่าจะเป็นรากฐานพลังหรือพลังต่อสู้ล้วนเทียบกับคนในขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นไม่ติด
เหมือนอย่างพวกหญิงชุดดำสี่คน ก็ทำได้เพียงเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่รอบนอกของโลกวิญญาณยุทธ์เท่านั้น
ขณะเดียวกันในม้วนหยกยังมีบันทึกเรื่องอื่นๆ บางส่วนด้วย
อย่างในพื้นที่แกนกลางยังถูกขนามนามอีกชื่อว่าเป็นแดนแห่ง ‘ต้นกำเนิดหมื่นมรรค’ ของโลกวิญญาณยุทธ์ หากระดับนิรันดร์ฝึกปราณอยู่ในนั้นย่อมสามารถได้รับประโยชน์ที่ไม่อาจประเมินได้
เหมือนทุกๆ ช่วงเวลา ทะเลโชคชะตาก็จะเกิดการเคลื่อนไหวแปลกๆ ครั้งหนึ่ง ประหนึ่งกระแสน้ำหลาก เมื่อนั้นจะปรากฏ ‘บัวชะตามหามรรค’ ขึ้นมาดอกหนึ่ง
และโอกาสการไปแหล่งสถานอัศจรรย์นั่นก็ซุกซ่อนอยู่ในบัวชะตามหามรรค!
บัวชะตามหามรรคแต่ละดอก สุดท้ายก็จุระดับนิรันดร์ได้เพียงสามคนเท่านั้น พาพวกเขาลัดเลาะทะเลโชคชะตามุ่งหน้าไปยังบริเวณที่แหล่งสถานอัศจรรย์นั่นตั้งอยู่
สามารถจินตนาการได้ว่ายามเมื่อโอกาสเช่นนี้ปรากฏ ต้องชักนำลมคาวฝนเลือดอันน่ากลัวขึ้นครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน!
และจากบันทึกในม้วนหยก
จนถึงตอนนี้ทะเลโชคชะตาเคยเกิดการเคลื่อนไหวประหลาดนี้สามครั้งแล้ว บัวชะตามหามรรคอุบัติออกมาสามดอก
แต่น่าเสียดาย โอกาสไปแหล่งสถานอัศจรรย์สามครั้งนี้ล้วนถูกพวกน่าสะพรึงจากยุคอื่นช่วงชิงไป ทั้งโลกวิญญาณยุทธ์ไม่มีใครชิงโอกาสนี้ได้สำเร็จเลยสักคน
เมื่อรู้เรื่องเหล่านี้แล้ว คราวนี้หลินสวินถึงเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
และเพิ่งจะรู้ในที่สุด ว่าที่แท้โอกาสการไปแหล่งสถานอัศจรรย์นั่น ถึงกับซุกซ่อนอยู่ในบัวชะตามหามรรคที่ถือกำเนิดในทะเลโชคชะตา!