ดาบสีทองแปลงมาจากโลกธรรมยี่สิบสี่แห่ง
ภายในบรรจุวิชามรรคและชีวิตของซินหู ทันทีที่ดาบนี้โจมตีออกมา ไม่ว่าจะสังหารศัตรูได้หรือไม่เขาก็ต้องร่วงหล่น
และเวลานี้ดาบนี้แตกหักแล้ว!
ไม่ว่าใครต่างรู้ชัดว่าซินหูไม่อาจรอดชีวิตอีกต่อไปแล้ว
เหลยซ่งและเย่เจวี๋ยหน้าเปลี่ยนสี ใจร่วงหล่น
การโจมตีที่ซินหูแลกด้วยชีวิตยังไม่สามารถสังหารศัตรูได้ นี่ทำให้พวกเขารู้สึกเศร้าไปด้วยไม่ได้
และความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ที่หลินสวินสำแดงออกมาทำให้พวกเขาต่างตกใจ
ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่อย่างซินหูถึงขั้นสามารถประชันกับยอดบุคคลของอารยธรรมยุคสมัยอื่นในโลกบัวชะตาได้
แต่หลินสวินกลับรับการโจมตีเต็มกำลังของซินหูได้ทั้งอย่างนั้น!
แม้แต่ฟู่หนานหลีกับเหรินฟู่เทียน ตอนนี้ก็ตะลึงไปเช่นกัน
ส่วนหลินสวินนั้น การสังหารฆ่าซินหูกลับทำให้เขาสะใจ
ต่อให้กระบี่นี้จะใช้พลังของเขาไปเจ็ดแปดส่วน แต่อย่างไรก็กำจัดซินหูได้แล้ว นับว่าแก้แค้นให้ศิษย์พี่ใหญ่สำเร็จ!
“ผู้อาวุโส บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินสวินมองไปยังสิงเจี้ยนสยาที่อยู่ห่างออกไป
ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะสิงเจี้ยนสยาลงมือเต็มกำลัง ขวางพลังกว่าครึ่งของดาบสีทองนั่นไว้ กระบี่เมื่อครู่ของเขาคงยากจะกำราบพลังของซินหู
และตอนนี้เห็นได้ชัดว่าสิงเจี้ยนสยาบาดเจ็บสาหัส สีหน้าซีดเซียวอย่างที่สุด
“บาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น ไม่กระทบการต่อสู้”
สิงเจี้ยนสยาสูดหายใจลึกคราหนึ่ง หัวเราะเสียงดังออกมา
ท่าทางของเขาสะบักสะบอมมาก แต่ความองอาจยังคงไม่ลดแม้แต่น้อย
“ฆ่า!”
ครู่ต่อมาสิงเจี้ยนสยาและหลินสวินบุกเข้าใส่เหลยซ่งที่กำลังต่อสู้กับฟู่หนานหลีโดยไม่ต้องนัดแนะ
เหลยซ่งมีพลังต่อสู้ไม่ด้อยกว่าซินหู แต่เขาถูกฟู่หนานหลีฉุดรั้งไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ พยายามหนีอยู่หลายครั้งก็ล้วนล้มเหลว
ยามเห็นภาพที่ซินหูตายอนาถก็ทำให้สภาวะจิตของเขาถูกโจมตีแล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินกับสิงเจี้ยนสยายังโจมตีมาพร้อมกัน ทำให้สถานการณ์ของเหลยซ่งยิ่งสะบักสะบอมและลำบากแสนเข็ญ
ถึงตอนท้ายเขาเองก็สู้สุดชีวิตโดยไม่สนใจทุกอย่าง
เพียงแต่น่าเสียดายที่เขากับซินหูไม่เหมือนกัน ที่เผชิญหน้าคือฟู่หนานหลี สิงเจี้ยนสยา และหลินสวิน แม้สู้สุดชีวิตก็ถูกกำราบทั้งอย่างนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ของตนได้
เพียงพริบตาเท่านั้นเหลยซ่งก็ถูกสังหาร!
มีการสกัดกั้นของสิงเจี้ยนสยาและหลินสวิน กระบี่บินของฟู่หนานหลีสบโอกาสตวัดแทง ทำลายร่างมรรคของเหลยซ่งเป็นเสี่ยงๆ บดขยี้พลังจิตแหลกละเอียด หายไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง
จากนั้นพวกหลินสวินมองไปยังเหรินฟู่เทียนโดยพร้อมเพรียง
เพียงแต่ยังไม่รอพวกเขาเข้าไปช่วย เย่เจวี๋ยที่บาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็ถูกทวนศึกของเหรินฟู่เทียนสังหารร่วงหล่น
ถึงตอนนี้ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่หกคนอย่างพวกซินหูล้วนถูกสังหารสิ้น!
ในนั้นพวกจื่อเชออู๋จี้ ชางหลงเยวี่ย ผานอู่ฝูเซิงถูกหลินสวินฆ่า
ส่วนซินหูถูกหลินสวินและสิงเจี้ยนสยาร่วมมือกันฆ่า
เหลยซ่ง ถูกหลินสวิน สิงเจี้ยนสยาและฟู่หนานหลีร่วมมือกันฆ่า
คนเดียวที่หลินสวินไม่ได้ออกแรงก็คือเย่เจวี๋ย
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกสิงเจี้ยนสยาล้วนรู้ดีว่ากุญแจสำคัญที่ตัดสินแพ้ชนะในครั้งนี้คือใคร
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคิดเลย ว่าในโลกวิญญาณยุทธ์แห่งนี้จะสามารถส่งพวกเจ้าเฒ่าซินหูไปลงนรกด้วยตัวเองได้”
สิงเจี้ยนสยาถอนหายใจ
ภูผาธาราโรยรา สรรพสิ่งกลายเป็นฝุ่นผง พื้นดินรอบๆ ล้วนทรุดตัว เหมือนพื้นที่หักพังรกร้าง สายลมพัดโชยมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในอากาศยังคงปะปนกลิ่นอายต่อสู้น่าสลด
มีเพียงภูเขาเทพใบบัวที่ตั้งตระหง่าน ถูกระเบียบระดับเทพชั้นแล้วชั้นเล่าคุ้มครอง ไม่เคยถูกทำลายใดๆ
“เมื่อก่อนพวกเราเป็นเหมือนสัตว์ที่ถูกขัง สถานการณ์ล่อแหลม ใครจะกล้าจินตนาการ ว่าตั้งแต่วันนี้ในโลกวิญญาณยุทธ์จะไม่มีใครที่เป็นศัตรูได้อีกแล้ว”
ฟู่หนานหลีหัวเราะออกมา ทอดถอนใจมากเช่นกัน
ในอดีตอัปยศอดสูมากแค่ไหน ตอนนี้ความอับอายถูกล้างจนสิ้นแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาให้พวกเขาได้ลืมตาอ้าปาก!
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณสหายน้อยหลินสวิน”
เหรินฟู่เทียนยิ้มกว้าง “ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดผู้ที่สามารถพลิกสถานการณ์อันตรายได้มีไม่รู้เท่าไร แต่คนที่สามารถพลิกสถานการณ์ทั่วหล้าได้ด้วยพลังของตนเพียงคนเดียวอย่างเจ้ากลับมีเพียงไม่กี่คน”
นี่เป็นคำชื่นชมที่ใหญ่ยิ่งแล้ว
“ไม่ผิดๆ”
สิงเจี้ยนสยาและฟู่หนานหลีต่างพยักหน้า
ตั้งแต่หลินสวินปรากฏตัว ทำให้พวกเขามีโอกาสกำจัดพวกซินอิ้ง เหวินไจ้ สิงเทียนหยวน อูหงจื่อ กวาดล้างฐานที่มั่นของศัตรู
จากนั้นยังทำให้พวกเขากำจัดขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ที่เหลืออย่างพวกซินหูจนสิ้นซากหน้าภูเขาเทพใบบัวในวันนี้!
สามารถพูดได้ว่าหากไม่มีหลินสวิน ทุกอย่างล้วนไม่ต้องพูดถึง
กับคำชื่นชมเช่นนี้ หลินสวินเองก็อดยิ้มขื่นไม่ได้ “ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกเราควรกลับไปรักษาแผลแล้วหรือไม่”
ทุกคนชะงัก ต่างอดหัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้
บนภูเขาเทพใบบัวที่อยู่ห่างออกไป พวกกู่เยวี่ยหมิง ซุ่นไหวเจี่ย เสวี่ยเย่ได้พาเหล่าผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิด ลัทธิวิญญาณและคีรีดวงกมลออกมาต้อนรับ
สีหน้าของทุกคนล้วนเผยความดีใจจากใจจริง
……
วันนั้น
บนภูเขาเทพใบบัวจัดงานเลี้ยง ทุกคนต่างดื่มกันอย่างสะใจ ผ่อนคลายและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
และหลินสวินก็กลายเป็นคนที่ถูกจับตามองที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นคนที่ถูกมอมมากที่สุด
งานเลี้ยงครึกครื้นดำเนินจนถึงกลางดึกจึงจบลง
หลินสวิน สิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลีต่างปิดด่าน เริ่มรักษาแผล
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เพียงแค่หลินสวินที่เสียพลังไปมาก พวกสิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลีต่างบาดเจ็บ โดยเฉพาะสิงเจี้ยนสยาที่บาดเจ็บรุนแรงมาก
สามเดือนหลังจากนั้น
หลังการหารือของหลินสวิน สิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลี พวกเขาพาคนทั้งหมดในภูเขาเทพใบบัวจากไปด้วยกัน มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ใกล้ทะเลโชคชะตาที่สุด
ซึ่งก็คือสถานที่ที่พวกลัทธิพ่อมด ลัทธิฌานครอบครองในตอนแรก
ในพื้นที่แถบนั้นสามารถหลอมพลังชะตามหามรรคได้มากที่สุด ยามบัวชะตามหามรรคปรากฏครั้งถัดไปก็สามารถทะยานเข้าไปได้ในเวลาอันสั้น
ตำแหน่งของภูเขาเทพที่เดิมทีลัทธิฌานยึดครองเยี่ยมยอดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
และหลังจากพวกหลินสวินย้ายมา ก็เปลี่ยนชื่อภูเขานี้เป็น ‘ภูเขาเทพถกมรรค’
กระทั่งหลังจากปักหลักในฐานที่มั่นใหม่ได้แล้ว สิงเจี้ยนสยาก็ให้ผู้แข็งแกร่งลัทธิแรกกำเนิดประกาศเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้กับทั่วหล้า
ทันใดนั้นทั้งโลกวิญญาณยุทธ์ฮือฮา เกิดความโกลาหล
“หลินสวินคนเดียวก็เปลี่ยนสถานการณ์ของโลกวิญญาณยุทธ์แห่งนี้ได้แล้วหรือ”
“คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ…”
“บุคคลอย่างหลินสวิน นับทั้งยุคเกรงว่าคงเจอแค่ไม่กี่คน”
“ไม่ว่าอย่างไรด้วยการล่มสลายของขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้น ในที่สุดพวกพวกเราก็มีโอกาสเข้าสู่พื้นที่แกนกลางแล้ว!”
“จะว่าไปพวกเราก็ต้องขอบคุณหลินสวิน หากไม่ใช่เพราะเขาปรากฏตัว แม้เคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนพวกเราก็คงไม่มีโอกาสเข้าสู่พื้นที่แกนกลาง”
…ระดับนิรันดร์ไม่รู้เท่าไรตื่นเต้นดีใจหาใดเปรียบ
เพราะยามกระจายข่าวลัทธิแรกกำเนิดได้ประกาศว่าอนุญาตให้ผู้ฝึกปราณที่อยู่พื้นที่รอบนอกมาโดยตลอดอย่างพวกเขาเข้าสู่พื้นที่แกนกลาง
ใครเล่าจะไม่ตื่นเต้น
และในใจพวกเขาล้วนรู้สึกขอบคุณหลินสวิน ไม่ว่าใครต่างรู้ดีว่าหากไม่มีหลินสวิน พวกเขาย่อมไม่มีทางได้โอกาสเช่นนี้!
……
ตอนทั้งโลกกำลังฮือฮา
ในถ้ำสถิตแห่งหนึ่งของภูเขาเทพถกมรรค
หลินสวินสงบจิตทำสมาธิ ในฝ่ามือเขามุกชะตามหามรรคเม็ดหนึ่งปลดปล่อยพลังชะตามหามรรคปานกระแสน้ำ และถูกเขาดูดซับทั้งหมดทำการหลอมรวม
ขุมอำนาจศัตรูเหล่าถูกกวาดล้างสิ้นซากแล้ว
และตอนนี้สิ่งที่หลินสวินต้องทำมีเพียงสามเรื่อง
เรื่องแรกคือแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขต
เรื่องที่สองคือรอคอยบัวชะตามหามรรคปรากฏ ช่วงชิงโอกาสการไปแหล่งสถานอัศจรรย์!
เรื่องที่สามคือช่วยชีวิตศิษย์พี่ใหญ่ก่อนจะไปแหล่งสถานอัศจรรย์
การแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขตจำเป็นต้องใช้จุดเปลี่ยนแห่งตน และหลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดกับขั้นไร้ขอบเขตใหญ่อย่างพวกซินหูครั้งก่อน ทำให้หลินสวินรับรู้ถึงสัญญาณเสี้ยวหนึ่งอย่างฉับไว
เมื่อตกตะกอนถึงขีดสุดจึงจะสามารถปลดปล่อยสุดขีดได้
หลังจากปลดปล่อยเต็มกำลัง ก็สามารถทำให้พลังแห่งตนเกิดการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนในระหว่างความเป็นความตาย
ก็เหมือนกระบี่สมบัติที่ต้องตีพันครั้งหลอมร้อยครั้งจึงจะสามารถสร้างความทนทานและคมปริบออกมาได้
สำหรับหลินสวินในตอนนี้ มีเพียงต่อสู้ไม่หยุดจึงจะทำให้ตนครอบครองจุดเปลี่ยนการแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขต!
โลกวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ไม่มีศัตรูอีกต่อไปแล้ว
นี่ก็หมายความว่า หากอยากสู้ก็ต้องรอจนบัวชะตามหามรรคปรากฏขึ้น และไปเข่นฆ่ากับยอดบุคคลของโลกยุคสมัยอื่นในโลกบัวชะตา
และนี่ก็คือสิ่งที่หลินสวินรอคอยที่สุด
สำหรับการมุ่งหน้าไปแหล่งสถานอัศจรรย์กลับเป็นเรื่องรอง
เพราะในเวลาแปดร้อยกว่าปีหลังจากนี้ โอกาสที่บัวชะตามหามรรคจะปรากฏยังมีอีกมาก และก่อนจากไปหลินสวินจะต้องช่วยชีวิตศิษย์พี่ใหญ่กลับคืนมาอย่างสุดความสามารถ
สามปีหลังจากนั้น
ในถ้ำสถิต หลินสวินยากจะมีเวลาว่างสงบสุขเช่นนี้ เขาลงมือทำอาหารเต็มโต๊ะ กินพลางพูดคุยกับซย่าจื้อ
เมื่อสองปีที่แล้วซย่าจื้อตื่นจากเรือนิรันดร์ ตั้งแต่ตอนนั้นซย่าจื้อก็อยู่เคียงข้างหลินสวินมาโดยตลอด
“เป็นอย่างไรบ้าง”
หลินสวินคีบอาหารให้ซย่าจื้อพลางถามไปเรื่อย
ซย่าจื้อกินไปด้วยพูดงึมงำไปด้วย “แม้พลังชะตามหามรรคเหล่านั้นไม่ธรรมดา แต่ก็เพียงช่วยการฝึกของข้าได้เท่านั้น พลังกฎระเบียบโชคชะตาที่สามารถดูดซับและหลอมได้น้อยเกินไป ไม่เพียงพอสักนิด”
หลินสวินเอ่ยเสียงขรึม “ดูท่าคงต้องรอยามบัวชะตามหามรรคปรากฏค่อยลองอีกครั้ง”
หลังจากซย่าจื้อตื่นขึ้นมาเมื่อสองปีก่อน หลินสวินก็มอบมุกชะตามหามรรคเม็ดหนึ่งให้กับซย่าจื้อ จากความเห็นเขา ซย่าจื้อครอบครองพลังโชคชะตา พลังชะตามหามรรคนี้น่าจะส่งผลลัพธ์อย่างมหัศจรรย์ต่อการฝึกปราณของนาง
ใครจะคิดว่าหลังจากซย่าจื้อหลอมแล้วกลับส่ายหน้า บอกว่ากฎระเบียบโชคชะตาที่มุกชะตามหามรรคสั่งสมน้อยเกินไป ไม่ได้ผลมากนัก
หลินสวินกลับไม่เชื่อเรื่องนี้ ในสองปีนี้รวบรวมมุกชะตามหามรรคมากมายให้กับซย่าจื้อ
แต่วันนี้ได้ยินคำพูดของซย่าจื้อ ทำให้หลินสวินตัดใจอย่างสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ หรือกับซย่าจื้อ พลังชะตามหามรรคก็เพียงแค่มีประโยชน์ต่อการฝึกปราณเท่านั้น ประโยชน์ต่อการหยั่งรู้กฎระเบียบโชคชะตากลับน้อยมาก
ทั้งสองกำลังพูดคุยกินข้าว จู่ๆ ถ้ำสถิตก็สั่นไหวระลอกหนึ่ง พร้อมกันนั้นหลินสวินก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายพิบัติเคราะห์น่าตกใจ
“เอ๋ เป็นใครชักนำเคราะห์มรรคนิรันดร์มาในตอนนี้”
หลินสวินลุกขึ้นทันที เดินออกจากถ้ำสถิตโดยมีซย่าจื้อตามหลังไป
บนท้องฟ้าธารโชคชะตาที่กว้างใหญ่ไพศาลไหลพราก
และเวลานี้เมฆาเคราะห์ที่หนาหนักชั้นหนึ่งปรากฏเหนือห้วงอากาศบนภูเขาเทพถกมรรค กลิ่นอายพิบัติเคราะห์ที่แผ่ออกมาทำให้ท้องฟ้ามืดสลัว ราวกับจมสู่ท้องฟ้ารัตติกาลที่ประหนึ่งสีหมึก
ก็เห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ เงยหน้ามองท้องฟ้า เสื้อผ้าโบกสะบัดจนเกิดเสียง เย่อหยิ่งองอาจ