ตอนที่ 3100 มารเฒ่าฉู่สองสามีภรรยา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 3100 มารเฒ่าฉู่สองสามีภรรยา

หลินสวินเดาได้รางๆ แล้ว

อาจารย์น่าจะมีชีวิตอยู่มาหลายยุคสมัย ทั้งยังชื่อเสียงเกรียงไกรสุดขีดในทะเลโชคชะตาแห่งนี้ ถึงทำให้ผู้ยิ่งใหญ่อย่างจอมมรรคซานเฟิงยังรู้เรื่องในอดีตของเขา

ก่อนหน้านี้นานมากแล้วเขาเคยได้ยินจ้งชิวบอกว่าอาจารย์เคยช่วยบรรพจารย์หยวนชูแห่งลัทธิแรกกำเนิด และบรรพจารย์ซวีอิ่นแห่งลัทธิวิญญาณช่วงชิงโอกาสมุ่งหน้าไปแหล่งสถานอัศจรรย์ในทะเลโชคชะตาแห่งนี้

และล่วงเกินบรรพจารย์เทียนอูลัทธิพ่อมดเทียนอูกับบรรพจารย์ซื่อแห่งลัทธิฌานเพราะเหตุนี้

นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมลัทธิแรกกำเนิดกับลัทธิวิญญาณล้วนปกป้องผู้สืบทอดคีรีดวงกมลถึงเพียงนั้น

เวลานี้สิงเจี้ยนสยาถามว่า “ซานเฟิง ในยุควิถียุทธ์ตอนนี้เหลือกี่คนหรือ”

“นอกจากข้าก็เหลือแต่ไป๋เจ๋อ เซียวเหอ และเหล่ามู่แล้ว”

จอมมรรคซานเฟิงในชุดม่วงทั้งชุดกล่าวทอดถอนใจ “ยิ่งคนน้อย ยามช่วงชิงโอกาสก็ยิ่งยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอย่างการต่อสู้คราวก่อน ข้ากับพวกเหล่าไป๋เจ๋อ เซียวเหอ เหล่ามู่ร่วมมือกัน สุดท้ายก็ยังกลับมาในสภาพยับเยิน เหล่าไป๋เจ๋อและเหล่ามู่ยิ่งบาดเจ็บสาหัสเพราะเหตุนี้ ครั้งนี้ไม่ได้เข้ามาด้วยซ้ำ”

“ใครเป็นคนทำร้ายพวกเขาสองคน”

สิงเจี้ยนสยาขมวดคิ้ว

จอมมรรคซานเฟิงหัวเราะลั่น “ในการต่อสู้มหามรรคไม่ว่าใครก็เป็นศัตรูทั้งนั้น ถ้าอยากแก้แค้นจริง เช่นนั้นศัตรูคงเยอะเกินไปแล้ว”

“ข้ารู้แค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายพวกเขาสองคน”

สิงเจี้ยนสยาแน่วแน่ยิ่งอย่างเห็นได้ชัด

จอมมรรคซานเฟิงนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้ารู้ เจ้าอยากแก้แค้นแทนเฒ่าชราสองคนนั้น แต่เรื่องนี้ช่างมันไปเถอะ”

“ต่อให้เจ้าไม่พูดข้าก็จะสืบหาออกมา”

สิงเจี้ยนสยาแค่นเสียงเย็นคราหนึ่งแล้วกล่าว “ครั้งนี้มีเพียงเจ้ากับเซียวเหอมาเท่านั้นหรือ”

จอมมรรคซานเฟิงพยักหน้า “ไม่ผิด”

“เซียวเหอเล่า”

“เอ่อ…”

จอมมรรคซานเฟิงอึ้งไป หยกประดับชิ้นหนึ่งลอยปรากฏบนฝ่ามือ ก่อนสงบจิตสัมผัส

ครู่หนึ่งให้หลังเขานัยน์ตาหดรัด สีหน้าเปลี่ยนไป “กลิ่นอายของเซียวเหอเดี๋ยวแข็งแกร่งเดี๋ยวอ่อนแอ นี่กำลังเผชิญการต่อสู้อยู่ชัดๆ!”

หัวใจสิงเจี้ยนสยาบีบรัด กล่าวว่า “แล้วยังมัวอึ้งอยู่ทำไม ไป!”

“ได้!”

จอมมรรคซานเฟิงนำทางอยู่เบื้องหน้าทันที

สิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลี และหลินสวินตามอยู่ข้างหลังเขา

ระหว่างทางสิงเจี้ยนสยาสื่อจิตบอกเล่าเรื่องราวส่วนหนึ่งให้หลินสวินรู้

ที่แท้สิงเจี้ยนสยา จอมมรรคซานเฟิง และพวกเซียวเหอก็รู้จักกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานแล้ว พวกเขาล้วนเคยก้าวผ่านยุคสมัยมากมาย เคยประสบเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพหลายครั้ง

แต่ต่อมาหลังจากยุคสมัยก่อนดับสิ้น สิงเจี้ยนสยาเลือกเข้าสู่ยุควิญญาณยุทธ์พร้อมกับหยวนชูอาจารย์ของเขา

เป็นผลให้ยามเคราะห์แห่งยุคสมัยครั้งนี้มาเยือน สิงเจี้ยนสยาจึงเข้าสู่โลกวิญญาณยุทธ์ในทะเลโชคชะตานี้

อันที่จริงสถานการณ์เช่นนี้พบได้บ่อย ไม่แปลกใหม่ในโลกยุคสมัยแต่ละแห่งในทะเลโชคชะตา

ทุกครั้งที่แต่ละยุคสมัยดับสิ้น บางคนเลือกอยู่รอคอยต่อที่ทะเลโชคชะตา บางคนก็เลือกเข้าไปแสวงมรรคฝึกปราณในยุคสมัยที่ถือกำเนิดใหม่

นี่ก็หมายความว่าผู้แข็งแกร่งที่เข้าไปฝึกปราณในยุคสมัยใหม่ ยามเข้าสู่ทะเลโชคชะตาก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยครั้งใหม่มาเยือนก็จะปรากฏตัวในโลกที่สอดคล้องกับยุคสมัยใหม่นั้น

อย่างสิงเจี้ยนสยาก็เข้าสู่โลกวิญญาณยุทธ์

ส่วนบรรดาผู้แข็งแกร่งที่อยู่ทะเลโชคชะตาตลอดก็จะอยู่ในโลกยุคสมัยเดิมของพวกเขาตลอดเวลา

อย่างจอมมรรคซานเฟิง ปีนั้นก็เลือกอยู่ต่อในโลกวิถียุทธ์ในทะเลโชคชะตา

ฉะนั้นแม้ว่าเขาและสิงเจี้ยนสยาจะเป็นสหายเก่า แต่ในทะเลโชคชะตาแห่งนี้ โลกยุคสมัยที่แต่ละฝ่ายอยู่กลับเป็ฯคนละที่กัน

หลินสวินย่อมรู้จุดนี้ดี

คราแรกยามถามการตัดสินใจของพวกจ้งชิว รั่วซู่ เขาก็เคยพิจารณาปัญหาข้อนี้แล้ว

เพราะหากบรรดาศิษย์พี่เหล่านั้นเลือกอยู่ต่อในทะเลโชคชะตาตลอด ก็ไม่สามารถข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้ พลังปราณของพวกเขาอย่างมากสุดก็เคี่ยวกรำได้ถึงขั้นสรรสร้างสัมบูรณ์เท่านั้น

หากบรรดาศิษย์พี่เหล่านั้นเลือกมุ่งหน้าไปฝึกปราณในยุคสมัยใหม่ คราวต่อไปยามพวกเขาต้องต่อสู้เพื่อไปยังแหล่งสถานอัศจรรย์ แน่นอนว่าก็ยังต้องรอคอยเป็นเวลาแสนยาวนานสุดขีด

เพราะมีเพียงช่วงก่อนเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถไปข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้ และถึงจะสามารถแจ้งมรรคขั้นไร้ขอบเขต รวมถึงมีโอกาสเข้าสู่ทะเลโชคชะตาอีกครั้ง

ทว่าหากเข้าสู่ทะเลโชคชะตาในตอนนั้น พวกเขาก็ไม่อาจมายังโลกวิญญาณยุทธ์แห่งนี้ได้อีก แต่จะปรากฏตัวในโลกที่สอดรับกับยุคสมัยใหม่นั้นแทน

ที่ต้องเอ่ยถึงคือ…

ทุกครั้งก่อนที่เคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือน ระดับนิรันดร์ส่วนใหญ่ล้วนถูกเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพกวาดล้าง

แต่เช่นเดียวกัน ก็มีพวกกร้าวแกร่งเย้ยฟ้ารอดชีวิตจากการโจมตีของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพก่อนที่เคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนได้หลายต่อหลายครั้ง

แน่นอนว่าระดับนิรันดร์ส่วนใหญ่จะเลือกเข้าสู่แหล่งสถานคุนหลุนเพื่อซ่อนตัวจากหายนะระดับนี้

กล่าวง่ายๆ คือบางคนตายเพราะข้ามเคราะห์ บางคนข้ามเคราะห์สำเร็จ และบางคนก็เลือกไปหลบซ่อนในทะเลโชคชะตา

ขั้นไร้ขอบเขต ถูกเรียกว่ายอดอิสระ ยอดเสรี สามารถท่องไปในหลากหลายยุคสมัย

นี่ไม่เกินจริงสักนิด

เพราะการรอดชีวิตจากเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาได้ก็ไม่ง่ายอย่างที่สุดแล้ว

และขั้นไร้ขอบเขตใหญ่เหล่านั้นล้วนเคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาแล้วสามครั้งขึ้นไป

กล่าวอีกอย่างคือ คนอย่างพวกสิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลี เหรินฟู่เทียน และพวกซินหู เหลยซ่ง ล้วนเผชิญการสับเปลี่ยนของยุคสมัยมาหลายยุคแล้วกว่าจะมีมรรควิถีในปัจจุบัน

และยิ่งจำนวนครั้งที่เคยข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมากเท่าไร มรรควิถีก็ยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น นี่คือเรื่องที่ทุกคนรู้กันทั่ว

เพราะอย่างไรอานุภาพของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สามารถมีชีวิตรอดภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า มรรควิถีย่อมกร้าวแกร่งโดยไม่ต้องกังขา

แต่ว่ากันถึงที่สุด ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่สุดท้ายก็ยังอยู่ในข่าย ‘ขั้นไร้ขอบเขต’

ขั้นไร้ขอบเขตเล็กอย่างเจวี๋ยอู๋เทียนยังสามารถต้านทานขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ได้ ก็เป็นเพราะเดิมรากฐานของเขาเย้ยฟ้าสุดขีดอยู่แล้ว พลังต่อสู้ที่เขามีจึงแข็งแกร่งเช่นนี้

เหตุที่ถูกเรียกว่าขั้นไร้ขอบเขตเล็ก เพียงแค่เพราะเคยเผชิญเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพสูงสุดสามครั้งก็เท่านั้น

หากให้เขาเผชิญหน้ากับการโจมตีของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมากกว่านี้ ด้วยพลังของเขาย่อมสามารถต้านทานผ่านไปได้แน่นอน

กล่าวง่ายๆ คือ จำนวนครั้งที่ข้ามเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพเป็นตัดสินว่าพลังต่อสู้ของขั้นไร้ขอบเขตแข็งแกร่งหรือไม่

แต่ไม่ใช่มาตรฐานเพียงหนึ่งเดียว

ขั้นไร้ขอบเขตเล็กอย่างเจวี๋ยอู๋เทียน จี้เทียนชิง จื่อเชอชงก็เป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่

ส่วนขั้นสรรสร้างอย่างหลินสวิที่หลุดพ้นจากการสับเปลี่ยนยุคสมัยไปแล้ว มรรคาที่เหยียบย่างย่อมแตกต่างจากขั้นไร้ขอบเขตของมยุคสมัยส่วนใหญ่นานแล้ว

ฉะนั้นย่อมไม่สามารถใช้มาตรฐานของขั้นไร้ขอบเขตทั่วไปมาประเมินมรรคาของหลินสวินได้แน่นอน

และทุกคนล้วนรู้ดีว่าผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยคือ ‘ราชันไท่ชู’ แต่ราชันไท่ชูก็ทำได้เพียงแทรกแซงและยืมใช้พลังของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้เท่านั้น

ทูตชะตาสวรรค์อย่างอิงซานอิงก็สามารถยืมใช้พลังระดับนี้ได้

หรืออย่างระฆังแรกปฐมที่มาจากมือราชันไท่ชู สมบัตินี้ก็สามารถใช้พลังของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้เช่นเดียวกัน

ส่วนต้นกำเนิดของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพมาจากไหน สำหรับตอนนี้หลินสวินได้แต่สันนิษฐาน ว่าเคราะห์นี้เป็นไปได้สูงยิ่งว่าอาจมาจากแหล่งสถานอัศจรรย์

นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมยอดบุคคลรุ่นก่อนอย่างเจ้าแห่งคีรีดวงกมล เฉินหลินคง จักจั่นทองจึงมุ่งหน้าไปยังแหล่งสถานอัศจรรย์

เช่นเดียวกัน ที่หลินสวินตัดสินว่าเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพเพียงถูกราชันไท่ชูผู้นั้นก่อกวนและใช้งาน สาเหตุก็เพราะคำพูดที่อิงซานอิงเคยกล่าวไว้ ว่าก่อนหน้านี้นานมาแล้วราชันไท่ชูที่ถูกมองเป็นผู้บงการหลังม่านคนนั้นก็ถูกขังอยู่ในแหล่งสถานอัศจรรย์!

และก็เป็นสาเหตุว่าทำไมราชันไท่ชูจึงลึกลับอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้น

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็มีเพียงพวกที่เข้าสู่แหล่งสถานอัศจรรย์เท่านั้นจึงจะมีโอกาสสืบหาตัวตนของราชันไท่ชู!

ส่วนพลังของราชันไท่ชูที่ปกคลุมรอบแหล่งสถานศุภโชค นั่นไม่เกี่ยวข้องกับเคราะห์แห่งยุคสมัย แต่แปลงมาจาก ‘กฎระเบียบไท่ชู’

จุดนี้ยามหลินสวินกำราบกฎระเบียบไท่ชูเสี้ยวนั้นที่สั่งสมในรูปปั้นไท่ชูก็สันนิษฐานได้แล้ว

จอมมรรคซานเฟิงนำทางอยู่เบื้องหน้า เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งเค่อ เสียงอึงอลของการต่อสู้ระลอกหนึ่งก็ลอยมาแต่ไกล

เวลานี้แม้แต่ในจิตรับรู้ของหลินสวินยังสัมผัสได้ว่ากลางฟ้าดินไกลโพ้นนั่น ชายชุดดำคนหนึ่งกำลังพบเจอการโจมตีขนาบจากคู่ต่อสู้สองคน

คู่ต่อสู้ชายหนึ่งหญิงหนึ่งสองคนนั้น ฝ่ายชายสวมเกี้ยวบัวเหนือศีรษะ ใส่ชุดนักพรตเพลิง ดุจดั่งจอมราชันคนหนึ่ง ทุกย่างก้าวการเคลื่อนไหวซัดพลังกฎระเบียบสีทองม่วงไพศาลดุจท้องทะเลขึ้นมาด้วย

ฝ่ายหญิงสวมชุดหงส์ ผมยาวราวหิมะ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา มือถือพัดใบกล้วยสีเขียวเล่มหนึ่ง ทุกครั้งที่สะบัดโบกล้วนมีลมที่แปลงมาจากกฎระเบียบสีเขียวหอบม้วนออกมาเป็นชั้นๆ โหมกระหน่ำรุนแรง กลิ่นอายทำลายล้างน่าตกใจ

ส่วนชายชุดดำที่ถูกชายหญิงคู่นี้โจมตีขนาบ เรือนกายสูงใหญ่กำยำ สองมือกุมกระบี่ยักษ์สีดำเล่มหนึ่ง ปราณกระบี่ตัดสลับพลุ่งพล่าน กร้าวแกร่งสุดขีดเช่นกัน

เพียงแต่สถานการณ์ของเขากลับไม่สู้ดีอย่างเห็นได้ชัด ถูกกดข่มจนแทบเงยหัวไม่ขึ้น

พริบตาสีหน้าจอมมรรคซานเฟิงก็เปลี่ยนเป็นไม่น่ามองขึ้นมา “เป็นชายโฉดหญิงชั่วอย่างมารเฒ่าฉู่และอวิ๋นเซียงจื่อคู่นี้อีกแล้ว!”

“เป็นพวกเขาอีกแล้วหรือ หรือว่าก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยลงมือกับเซียวเหอเช่นนี้”

สิงเจี้ยนสยาสีหน้าขรึมลง

ชายชุดดำที่ถูกชายหญิงคู่นั้นกรอบคนนั้นก็คือเซียวเหอนั่นเอง

และชายหญิงคู่นั้นก็คือมารเฒ่าฉู่และอวิ๋นเซียงจื่อจากยุคมรรคมาร ล้วนเป็นขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ทั้งคู่

“เดี๋ยวค่อยอธิบายกับเจ้าทีหลัง”

จอมมรรคซานเฟิงยกมือเรียกดาบศึกเล่มหนึ่งออกมา พุ่งตะลุยไปทางสนามรบ “เซียวเหอ ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว!”

“พวกเราก็ตามไปด้วย”

สิงเจี้ยนสยากระตุ้นเจดีย์สมบัติอสนีโดยไม่ลังเลใดๆ พุ่งเข้าไปเช่นกัน

ฟู่หนานหลีและหลินสวินตามหลังเขาติดๆ

“จุ๊ๆ เซียวเหอ ผู้ช่วยของเจ้ามาแล้ว ช่างเถอะ ปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตไปก่อนระยะหนึ่ง คราวหน้าค่อยมารับชีวิตเจ้า”

ไกลออกไปชายสวมเกี้ยวดอกบัวใส่ชุดนักพรตเพลิงเห็นเช่นนี้ก็สบสายตากับหญิงชุดหงส์คนนั้นปราดหนึ่ง ไม่รอพวกสิงเจี้ยนสยาบุกมาก็ถอนตัวถอยหนีทันที

สวบ! สวบ!

เงาร่างพวกเขาวาบกะพริบ เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศอย่างเด็ดขาด ไม่อ้อยอิ่งล่าช้าสักนิด เห็นชัดว่าตระหนักได้ว่ายามนี้ไม่มีโอกาสฆ่าเซียวเหอแล้ว

“มารเฒ่าฉู่ แน่จริงอย่าหนีสิ!!”

จอมมรรคซานเฟิงตะโกนเสียงดัง ไอสังหารล้นทะลัก

“ซานเฟิงอย่าไล่ตาม”

เซียวเหอรีบขวางเขาไว้เป็นพัลวัน “หากชายหญิงชาติสุนัขคู่นี้อยากหนี ก็ยากจะมีคนไล่ตามพวกเขาได้”

“ฮ่าๆๆ เซียวเหอ ซานเฟิง อย่าคิดว่าครั้งนี้พวกสิงเจี้ยนสยาเข้าโลกบัวชะตาก็จะสามารถช่วยพวกเจ้าได้ พวกเราคอยดูกันต่อไป”

เสียงหัวเราะกำเริบเสิบสานของมารเฒ่าฉู่ลอยมาจากไกลๆ

“ไม่เจอหลายปี เจ้าเฒ่าสวะอย่างฉู่ปู้จิ้วนับวันยิ่งโอหังขึ้นเรื่อยๆ…”

สิงเจี้ยนสยายังอดขมวดคิ้วไม่ได้ หว่างคิ้วเผยแววโกรธกรุ่นเสี้ยวหนึ่ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท