บทที่ 1148 ตอนพิเศษ (46/1)
บทที่ 1148 ตอนพิเศษ (46/1)
หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว ลู่ฉาวจิ่งก็เงียบไป
หลิวจิ่วจู๋รู้สึกไม่สบายใจนัก “เจ้าโกรธหรือ?”
นางใช้เงินปล่อยตัวหลิ่วจินเปยออกมา ทั้งยังจงใจแนะนำหลิ่วจินเปยให้เข้าบ้านคหบดีจาง วิธีนี้น่ารังเกียจจริง ๆ ตอนนี้เขารู้แล้วจะต้องรู้สึกว่านางเป็นสตรีเจ้าเล่ห์อย่างแน่นอน
ตอนที่ลู่ฉาวจิ่งเอ่ยถาม นางจะปิดบังก็ย่อมได้ อย่างไรก็ตาม หลิวจิ่วจู๋ไม่อยากโกหกเขา
นางทำสิ่งใดลงไป วางแผนอะไร เขาถามนางก็ตอบ เพียงแต่ หลังจากตอบแล้วนางกลับกังวลว่าเขาจะเกลียดตนเอง
“เจ้าฉลาดมาก” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “เพียงแต่มันอันตรายเกินไป หากภายหน้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก เจ้าควรปกป้องตนเองก่อน รอให้ข้ากลับมาจัดการ”
“ท่านไม่เกลียดข้าหรือ?”
“คนโง่ ผู้อื่นรังแกเจ้า หากเจ้ายังไม่รู้จักสู้กลับ รู้จักเพียงรอคอยความตาย เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปให้ท่านหมอตรวจดูว่าสมองของเจ้ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ถึงทำให้เจ้าโง่เขลาเพียงนี้”
หลิวจิ่วจู๋กระโดดเข้าหาลู่ฉาวจิ่ง
ชายหนุ่มรีบรับตัวนางไว้
ข้างเท้าเขามีหลุมหนึ่งหลุม ลู่ฉาวจิ่งบังเอิญก้าวเท้าเข้าไปในหลุมนั้น หลิวจิ่วจู๋รีบวิ่งมาเช่นนี้ เขาจึงเสียการทรงตัวแล้วล้มลง
ลู่ฉาวจิ่งรีบรับร่างกายของหลิวจิ่วจู๋ไว้โดยเร็ว
หลิวจิ่วจู๋ตัวเล็ก แก้มกลม ดวงตาคู่นั้นฉ่ำวาวราวกับลูกองุ่น ยามนี้กำลังมองมาที่ลู่ฉาวจิ่งด้วยความสุขและชื่นชม คนทั้งคนซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“สามีของข้าดีที่สุด”
ลู่ฉาวจิ่งเป็นเบาะรองให้นาง
โชคดีที่ด้านล่างมีพรมหญ้า เมื่อนอนลงไปจึงไม่รู้สึกระคายเคืองนัก อย่างไรก็ตาม มีแม่นางน้อยตัวหอม เนื้อนุ่มนิ่มทำตัวออดอ้อนเช่นนี้อยู่ในอ้อมแขน เขาที่ถึงวัยเจริญพันธ์ุแล้วพลันรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาทั้งร่าง
“เก็บสมุนไพรเสร็จแล้วหรือ?”
“ใช่แล้ว ชิงซือยังรอข้าอยู่นี่!” หลิวจิ่วจู๋ลุกจากเขาไป
ลู่ฉาวจิ่งพรูลมหายใจเบา ๆ
บ้านหยางชวน หลิวจิ่วจู๋ทายาให้หยางชิงซือพลางตำหนินางที่ทำเรื่องบุ่มบ่ามเช่นนี้ ลำคอเป็นจุดที่เปราะบาง หากตอนนั้นหยางชิงซือควบคุมแรงไม่อยู่ ตอนนี้อาจจะต้องซื้อโลงศพให้แทนแล้ว
หยางชิงซือฟังคำอบรมสั่งสอนอย่างว่าง่าย
พี่สะใภ้หยางเอ่ย “สามีจู๋จือ เจ้าพอจะมีความคิดอะไรหรือไม่ ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าว่าชิงซือของเราควรทำอย่างไร?”
“นางจัดการได้ดีทีเดียว” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “อีกฝ่ายจะไม่กล้าบีบบังคับจนเกินไป ปกตินางมักทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่านางกล้าทำเรื่องสุ่มเสี่ยง ขอเพียงนางกัดไม่ปลอย เรื่องนี้คงต้องแล้วกันไป”
หยางชิงซือเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “แม้กระทั่งสามีจู๋จือยังเอ่ยเช่นนี้ ดูท่าแล้ววิธีการของข้าคงไม่ผิด”
“วันนี้ดึกมากแล้ว สามีจู๋จือ เจ้ากับจู๋จือพักอยู่ในห้องเก็บฟืนเป็นอย่างไร?” หยางชวนกล่าว “ขออภัยจริง ๆ ที่บ้านนี้ ไม่มีห้องดี ๆ ไว้รับรองพวกเจ้าเลย”
“ไม่เป็นไร” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “เช่นนั้นต้องรบกวนแล้ว”
วันรุ่งขึ้น หลิวจิ่วจู๋ยังคงรั้งอยู่ในหมู่บ้าน ลู่ฉาวจิ่งมีเวลาหยุดพักเพียงวันเดียวก็ต้องกลับไปรายงานต่อนายกองเซี่ยว เขากำชับหลิวจิ่วจู๋เพียงไม่กี่คำแล้วก็จากไป
ลู่ฉาวจิ่งรู้ว่าหลิวจิ่วจู๋จะไม่กลับจนกว่าเรื่องของหยางชิงซือจะคลี่คลาย เขาจึงใช้เวลาช่วงนี้ทำเรื่องต่าง ๆ อยู่ทางนั้น เมื่อมีเวลาก็จะกลับมา อย่างไรเสีย การให้หลิวจิ่วจู๋อยู่เพียงลำพังที่นี่เขาก็ไม่วางใจ นอกจากนี้เขายังได้รับจดหมายจากพี่ชาย เรื่องต่าง ๆ ต้องดำเนินต่อไป ท้ายที่สุด ตอนนี้ก็มีเพียงกุ้งหอยปูปลาตัวเล็ก ๆ เท่านั้นที่โผล่พ้นน้ำ ผู้บงการตัวจริงเบื้องหลังยังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
ก่อนออกเดินทาง ลู่ฉาวจิ่งไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน
ทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่าเขากลายเป็นขุนนางผู้หนึ่งในค่ายทหารแล้ว
แม้จะไม่รู้ว่ามีหน้าที่ทำอะไร ทว่าสำหรับชาวบ้านที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตอยู่กับดินกับหญ้า ขอเพียงอีกฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับศาลาว่าการ พวกเขาก็ไม่อาจยุ่งด้วย ไม่แน่ว่าอาจนำพามาซึ่งความเดือดร้อนได้
ลู่ฉาวจิ่งไปหาหัวหน้าหมู่บ้านก็เพื่อ ‘ใช้อำนาจข่มเหงคน’
หัวหน้าหมู่บ้านเห็นแก่หน้าเขา ยามจัดการเรื่องหยางชิงซือก็จะเข้าข้างพวกเขา อีกทั้งหยางชิงซือก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้รวดเร็วขึ้น
“จู๋จือ สามีเจ้าไปอีกแล้วหรือ?” หยางชิงซือเห็นหลิวจิ่วจู๋ยืนอยู่ที่ประตูบ้าน มือนางอุ้มอิงฮวาพลางกล่อม “คนผู้นี้ยุ่งเสียจริง อีกอย่าง จู๋จือ เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า นับวันหน้าตาสามีเจ้ายิ่งหล่อเหลาขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเขาปรากฏตัวเมื่อวานนี้ แม่นางน้อยหลายคนล้วนจับจ้อง! เจ้าต้องระวังหน่อยละ ตอนนี้เขาเป็นขุนนางแล้ว หากมีแม่นางคนอื่นเอาอกเอาใจ ระวังเขาจะกลายเป็นเฝิงซิ่วไฉคนที่สอง”
“เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหล เขาไม่ใช่คนเช่นนั้น” หลิวจิ่วจู๋กล่าว “คอเป็นอย่างไรบ้าง? ยังเจ็บอยู่หรือไม่? ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ข้าจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เจ้า”
“ยังคงเป็นจู๋จือที่ดีที่สุด” หยางชิงซือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารีบมาดูอิงฮวาสิ นางยิ้มให้ข้าแล้ว”
ลู่ฉาวจิ่งรีบรุดกลับไปยังที่ที่เรียกว่าค่ายทหาร
แน่นอนว่า ที่นั่นไม่ใช่ค่ายทหาร หากแต่เป็นเทือกเขาแห่งหนึ่ง
ครั้งแรกที่เขามาที่นี่ เขาถูกผูกผ้าปิดตาไว้ บัดนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขารู้เส้นทางรอบ ๆ ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะรู้ดีแก่ใจว่า แม้นายกองเซี่ยวจะเชื่อใจตนเองเพราะ ‘ภารกิจ’ นั้น ทว่าความไว้วางใจเท่านี้ยังไม่เพียงพอให้เขาล่วงรู้ความลับที่สำคัญยิ่งกว่า
“นายกอง ท่านกำลังตามหาข้าอยู่หรือ” ลู่ฉาวจิ่งเดินเข้าไปในกระโจมของนายกองเซี่ยว
นายกองเซี่ยวนั่งอยู่ที่นั่น แววตาเฉยชา
เบื้องหน้าเขามีหลายคนคุกเข่าอยู่ คนเหล่านั้นถูกควบคุมตัวไว้จึงไม่เห็นหน้าค่าตา อย่างไรก็ตาม ดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ก็ยังพอมองออกว่าคงเป็น ‘ทหารใหม่’
“คนพวกนี้ทำผิดกฎของที่นี่” นายกองเซี่ยวกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้านำตัวพวกมันไปจัดการซะ!”
ลู่ฉาวจิ่งขมวดคิ้วขณะมองดูคนเหล่านั้น
เมื่อคนสองสามคนได้ยินว่ากำลังจะถูกลงโทษก็ดิ้นรนด้วยความโกรธ
การกระเสือกกระสนครั้งนี้ทำให้ลู่ฉาวจิ่งมองเห็นรูปร่างหน้าตาของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
“ซู่เกินหรือ?” ลู่ฉาวจิ่งมองหนึ่งในนั้นด้วยความประหลาดใจ
จงซู่เกินได้ยินเสียงของลู่ฉาวจิ่งก็เงยหน้าขึ้น
“พี่ชายลู่”
“เจ้ารู้จักหรือ?” นายกองเซี่ยวเอ่ยอย่างใจเย็น
“นายกอง นี่เป็นพี่น้องของข้าเอง” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว “มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่?”
“เข้าใจผิดหรือ?” หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น “จงซู่เกินผู้นี้ปล่อยให้คนสองสามคนหลบหนีไป หากไม่ใช่เขาใจดี แบกคนผู้หนึ่งไว้บนหลัง เขาคงหายไปพร้อมกับคนอื่นแล้ว”
“พระอาจวิ่งหนีได้ ทว่าวัดไม่อาจวิ่งหนีได้” นายร้อยหลี่กล่าว “แต่ละคนมาจากหมู่บ้านใด ที่บ้านมีผู้ใดบ้าง พวกเราล้วนมีบันทึก พวกเขาหลบหนีได้ คนที่บ้านจะหลบหนีได้หรือ?”
“พวกเจ้าจะเอาอย่างไร?” จงซู่เกินเอ่ย “ผู้หนึ่งทำผู้หนึ่งรับผิดชอบ หากมีอะไรก็มาหาข้า อย่าได้ทำร้ายคนในครอบครัวข้า”
“เจ้าเด็กคนนี้เลือดร้อนยิ่งนัก” นายร้อยหลี่กล่าว “เจ้าปล่อยให้คนหลบหนีไปสองสามคน ไม่ควรชดใช้หน่อยหรือ?”
“อยากฆ่าก็ฆ่า เชิญตามสะดวก”
“พอได้แล้ว” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ยขัดจังหวะจงซู่เกิน “ฆ่าแกงอะไรกัน ท่านนายกองรักคนมีพรสวรรค์ ย่อมไม่ฆ่าคนไม่เลือกหน้า นายกอง จงซู่เกินคนผู้นี้ใช้การได้ คนเช่นนี้ฆ่าไปคงน่าเสียดาย ไม่สู้ให้เขารั้งอยู่ข้างกายคอยทำงานให้ท่าน ท่านไม่ต้องกังวลว่าเขาจะทรยศ เขาอยากแต่งภรรยาจึงคิดจะสร้างผลงานรับราชการ ขอเพียงท่านให้เงินเขามากพอ เขาจะต้องทำตามคำสั่งอย่างแน่นอน”